หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 19

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 19
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 19
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 19
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ ละไม่ได้ ก็ขอให้หยุดขณะที่กำลังนั่งอยู่นี่แหละ นั่งไปด้วย ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกไปด้วย

ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน

เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละ ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็มีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่ปลายจมูกของเรา อันนี้เขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’

เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออก พวกเราก็ขาดการวิเคราะห์ ขาดการพิจารณา จะดูที รู้ลมหายใจที ก็อึดอัดๆ กายก็อึดอัด สัมผัสของการหายใจเข้าออกก็อึดอัด บางทีสมองก็ตึง บางทีหน้าอกก็แน่น เราก็ต้องพยายามหัดวิเคราะห์การสูดลมหายใจที่เป็นธรรมชาติที่สุดเป็นอย่างไร สูดลมหายใจยาวเป็นอย่างไร หายใจสั้นเป็นอย่างไร อันนี้เพียงแค่สติรู้กายเท่านั้น

เราพยายามเจริญสติให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยง เอาไปอบรมใจของเรา เป็นเพื่อนใจของเราอยู่ตลอดเวลา อยู่คนเดียวเราก็รู้ใจ อยู่หลายคนเราก็รู้ใจ รู้ความปกติของใจ รู้การเกิดของใจ รู้การเกิดของอาการของขันธ์ห้า หรือว่าอาการของใจ อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม การตามดูการวิเคราะห์จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ถึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง

ทุกคนมีบุญ ทุกคนมีบารมีในระดับหนึ่งของสมมติ พากันสร้างสะสมมาตรงนี้มีอยู่ แต่การเจริญสติเพื่อที่จะอบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล ตรงนี้ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร ความเพียรเป็นเลิศ ความเพียรอยู่ตลอดเวลาจนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการแก้ไขจิตวิญญาณของเรา ในการแก้ไขกายของเรา

ใจของเรามีความแข็งกร้าว เราก็พยายามละความแข็งกร้าว สร้างความอ่อนน้อมให้มีให้เกิดขึ้น ใจของเรามีความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย ใจของเรามีความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธ ด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี กำลังสติของเราต่อเนื่องหรือไม่ หรือว่าสติของเราพลั้งเผลอ กิเลสเกิดขึ้นที่กาย ใจปรุงแต่งร่วมหรือไม่ หรือว่าเกิดขึ้นที่ใจโดยตรง เหตุจากภายนอกทำให้เกิด หรือเกิดจากภายในของเรา

เราต้องหัดเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ไม่ใช่ว่าฝึกเฉยๆ ถ้าฝึกเฉยๆ ก็ได้แค่ฝึก ก็ต้องฝึกจนเอาไปใช้การใช้งาน อบรมใจของเราได้ ชี้เหตุชี้ผล จนใจของเรามองเห็นความเป็นจริงได้ อะไรคือรูป อะไรคือนาม อยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติ จนไม่มีอะไรที่จะค้นคว้า

ใจที่สะอาดปราศจากกิเลสเขาก็บริสุทธิ์ ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง รู้สมมติ รู้วิมุตติ ทำความเข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ ทำความเข้าใจ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายของตัวเรา กายเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร สติปัญญาทำหน้าที่อย่างไร ที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์

อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา อย่าปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาล วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนนี้มี เดือนหน้ามี ภพนี้มี ภพหน้ามี ก็ต้องพยายามศึกษาค้นคว้าถึงจะรู้ความเป็นจริงในชีวิตของเรา มันไม่ยากหรอกถ้าคนเราจะวิเคราะห์แก้ไขตัวเรา ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเรา ไม่มีใครจะชี้แนะแก้ไขให้เราได้นอกจากเรา

ครูบาอาจารย์ตำราอันนี้มีอยู่ ย่นย่อลงมาก็เป็นกายของเราเนี่ยแหละเป็นตำราใบใหญ่ เราต้องมาศึกษากาย ศึกษาใจของเราให้ได้ ตามแนวทางของพระพุทธองค์ ถ้าเราเจริญสติจนใจคลายออก แยกรูปแยกนามได้ ใจหงายขึ้นมาได้ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ คำว่า ‘อัตตา’ เป็นอย่างนี้ ‘อนัตตา’ เป็นอย่างนี้ ใจส่งออกไปภายนอกร่วมของอริยสัจเป็นอย่างนี้ นิวรณธรรม มลทินต่างๆ จะรู้ จะเห็นหมด

ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ และก็ค่อยละ เราอาจจะเข้าข้างตัวเราเองว่ากิเลสของเราไม่มี ใจของเรา เรารู้ใจของเรา เราเห็นใจตอนนี้อยู่ในความหลงอยู่ เพราะว่าใจยังเกิด

ความเกิดนี่แหละคือความหลงอันละเอียดที่สุด ถ้าเราไม่หลงก็ไม่เกิด เกิดแล้วก็ยังไม่พอ ก็มายึดติดในขันธ์ห้าอีก เพราะว่าร่างกายอีก ยึดติดในขันธ์ห้า ก็ยังไม่พออีก เป็นทาสกิเลสอีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดอีก ยังไม่พออีก ยังส่งออกไปภายนอกอีก หลายชั้นหลายขั้นหลายตอนมาปกปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา

ถ้าเราไม่วิเคราะห์ หมั่นทำความเข้าใจ หมั่นขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา ก็ยากที่จะเข้าถึงความบริสุทธ์ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็ต้องพยายามนะ แต่เวลานี้แม้แต่กำลังสติ ก็ยังทำกันไม่ค่อยจะต่อเนื่อง ไม่ค่อยจะฝึกไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไหร่ ถ้าจะดูทีก็นานๆ ถึงดูที ก็เลยเอาไปใช้กับการต่อสู้กับกิเลสไม่ได้ ก็ต้องพยายามกัน

สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง