หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 4

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 4
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 4
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 4
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 มกราคม 2562

มีความสุขกันทุกคน ตอนนี้อากาศก็รู้สึกว่าจะเย็นลง อากาศเปลี่ยนแปลง พายุ พายุเข้าทางปักษ์ใต้เห็นว่าทำลายหลายสิ่งหลายอย่าง มาไม่ถึงภาคอีสาน ภาคอีสานนี่ก็รู้สึกว่าจะอากาศจะลดลง อากาศก็เริ่มเย็น มีปีนี้รู้สึกว่าหนาวหลายวัน เย็นลงหลายวัน น่าจะเย็นลงสัก 2-3 เดือนนะอากาศก็คงจะดี จะเย็นหรือไม่เย็น จะเย็นหรือร้อนก็อย่าลืมดูรู้ใจของเรา พยายามหมั่นวิเคราะห์ใจ แก้ไขใจของเรา ให้ใจของเราสงบเยือกเย็น ไม่ให้ใจของเราเป็นทุกข์เร่าร้อน แก้ไขใจของเรา

ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ทุกอิริยาบถ รู้ตัวปุ๊บ รู้การหายใจเข้าออกปั๊บ รู้ใจปุ๊บ เรามาสร้างผู้รู้ มาเจริญสติเข้าไปแก้ไขใจของเราอยู่ตลอดเวลา ขาดตกบกพร่องอะไรเราก็รีบแก้ไข ทุกเรื่องในชีวิต ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย สมมติต่างๆ ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว

ตั้งแต่เกิดโน่นแหละ ตั้งแต่เกิดเติบโตขึ้นมา อาศัยพ่อ อาศัยแม่ อาศัยสิ่งแวดล้อม อาศัยอาหารกับข้าวกับปลา เจริญเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กได้เข้าโรงเรียน เข้าโรงเรียนก็ค่อยพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จากเด็กเล็กเป็นเด็กใหญ่ จากเด็กใหญ่เป็นหนุ่มเป็นสาว เรียนจบมีครอบครัว มีภาระหน้าที่การงาน ทำความเข้าใจ ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ นั้นเป็นการดำรงชีวิตในระดับของสมมติไม่ให้ลำบาก บางคนบางท่านก็ยังลำบากอยู่ บางคนบางท่านก็สมบูรณ์แบบ

ที่นี้เราก็มาทำความเข้าใจกับจิตวิญญาณในกายของเรา ใจของเราทำไมถึงเกิด ใจของเราทำไมถึงเป็นทาสของกิเลส แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เหตุการณ์จากภายนอกทำให้เกิด หรือเกิดขึ้นจากใจของเรา ในกายของเรามีอะไรดีๆ เยอะที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ แต่พวกเรามองเห็นเป็นตัวเป็นตน เป็นอัตตาตัวตน คือกายก็ของเรา อันโน้นก็ของเราอันนี้ก็ของเรา ในทางสมมติเป็นของเราอยู่

แต่ในทางหลักธรรมแล้ว ท่านให้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์จำแนกแจกแจง ลองดู เราก็จะเห็นความเป็นจริง มีแต่ความว่างเปล่า พระพุทธเจ้าท่านว่ามีแต่ความว่างเปล่า แต่ใจของเรามาหลงมายึด จึงทำให้เกิดอัตตาตัวตน ทำให้เกิดกิเลส


ใจของคนเรานี้หลงหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด พวกเราก็ว่าเราไม่หลงนะ แต่พระพุทธเจ้าท่านว่าหลง หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ในเมื่อหลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างร่างกายขึ้นมา ท่านก็ให้เจริญสติลงที่กาย หัดวิเคราะห์ หัดสังเกต จำแนกแจกแจงจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เราก็จะเห็น เราก็จะรู้ลักษณะหน้าตาอาการเป็นกองเป็นขันธ์ ที่ท่านว่า ‘เป็นกอง’ ตัววิญญาณนี่ท่านว่า ‘เป็นกองตัววิญญาณ’ ส่วนร่างกายท่านก็เรียกว่า ‘กองรูป’

กองรูป กองนาม กองสังขาร ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม เขามีอยู่ในกายของเรา ถ้าเราไม่ได้เจริญสติมาสร้างผู้รู้ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงแล้วก็ไปอบรมใจของเราก็จะเข้าไม่ถึงตรงนี้ ใจของเราก็เกิดอาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ อาจจะเกิดอยู่ในคุณงามความดี

ท่านถึงให้มาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์จำแนกแจกแจงแล้วก็สร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมี ใจเกิดความโลภ ก็พยายามละความโลภด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ใจเกิดความโกรธ เราก็พยายามละความโกรธด้วยการให้อภัย เรามีความเกียจคร้านเราก็พยายามสร้างความขยันสร้างความรับผิดชอบ รู้จักแก้ไข รู้จักช่วยเหลือตัวเรา รู้จักช่วยเหลือตัวเอง

ท่านจึงบอกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน เพียงแค่เป็นที่พึ่งในระดับแค่สมมติ เราก็พยายามทำให้สมบูรณ์แบบ อย่างไปปิดกั้นตัวเรา โอกาสเปิดกาลเวลาเปิดสถานที่เปิด ทุกเรื่องนั่นแหละ ตั้งแต่ตื่นขึ้น ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เราต้องเจริญสติรู้ให้ชัดเจน ให้ชัดแจ้ง อันนี้คือสติอันที่เราสร้างขึ้นมา ถ้าเราสร้างขึ้นมาได้ต่อเนื่องก็จะมีกำลังจนรู้ทันการเกิดของใจ จนรู้ลักษณะการเกิดของขันธ์ห้ากับใจเคลื่อนเข้าไปรวมกัน ถ้าเรารู้ทัน ใจก็จะคลายออกจากขันธ์ห้าหงายขึ้นมา ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ กำลังสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละก็จะตามเห็นการเกิดการดับส่วนใจก็ว่างรับรู้อยู่ ถ้าใจเข้าไปร่วมเราก็ดับ เราก็หยุด

ความรู้ตัวของเรา ถ้าเห็นตรงนี้แล้ว กำลังสติของเราก็จะพุ่งแรง ตามดู เห็นความเกิดความดับของขันธ์ห้า ว่าเป็นเรื่องอะไร เราก็จะเข้าใจคำว่า อัตตา อนัตตา เข้าใจเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายของเรา เข้าใจในวิญญาณในกายของเรา กำลังสติของเราถึงจะเป็นมหาสติตามค้นคว้าจนไม่มีอะไรเหลือที่จะให้ค้นคว้า จนสติของเรากลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาจนกลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร

ส่วนใจของเราเกิดกิเลส เราก็มาละกิเลสที่ใจ มาปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้อยู่ในความเข้มแข็ง เข้มแข็ง อ่อนโยน หนักแน่น ใจมีทิฏฐิมานะ เราก็มาละทิฏฐิมานะละความเห็นแก่ตัว ละกิเลส ใจมีความทะเยอทะยานอยากเราก็มาละความทะเยอทะยานอยากด้วยการสร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมี หมั่นปรับสภาพใจ อบรมใจของตัวเราเองนั่นแหละ อยู่ตลอดเวลา กำลังสติหรือกำลังปัญญาของเราก็จะชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน

อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่างไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสกันหมดทุกคนจะถึงช้าหรือถึงเร็ว ถ้าเรารู้จักมองเห็นหนทางเดิน แต่พวกเราก็เดินอยู่ แต่เดินที่ยังสะเปะสะปะคือยังเดินอยู่ในการสร้างบารมี อยู่ในระดับการสร้างบุญสร้างทานกันอยู่ แต่การเจริญภาวนาชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ว่าอะไรคือใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่เป็นสมาธิเป็นอย่างไรสมาธิด้วยการข่มเอาไว้ หรือสมาธิที่รู้ด้วยปัญญาแยกแยะ มองเห็นความเป็นจริง จนกระทั่งดับความเกิดของใจได้ หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทนทุกเรื่อง

กายทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูทำหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ เพราะเขาเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ใจมีหน้าที่รับรู้ ผิดถูกชั่วดี สติปัญญาไปแก้ไข ก็ต้องพยายามกันนะ

การพูดง่ายอยู่หรอก แต่การลงมือจริงๆ ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ ขัดเกลากิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่เรายิ่งทำความเข้าใจ แล้วเราจะค่อยละไปเรื่อยๆ มันก็จะเหือดแห้งไปเหือดแห้งไป อยู่ด้วยบุญกุศล ท่านถึงบอกว่าให้ทำกายให้เป็นบุญ ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง

ข้อวัตรปฏิบัตินั้นแล้วแต่พวกเราจะเลือกสรรเข้ามาใช้ ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ในความหมายแล้วก็เพื่อที่จะละกิเลส ก็เพื่อที่จะคลายความหลง ให้เรารอบรู้ทั้งข้อวัตร ทั้งข้อปฏิบัติ ทั้งการขัดเกลากิเลส เหมือนกับต้นไม้ มันก็มีทั้งเปลือก ทั้งแก่น ทั้งกระพี้ ถ้าเราจะเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่ได้ธรรมถ้าต้นไม้ไม่มีเปลือกไม่มีแก่นไม่มีกระพี้เขาก็ตาย ถ้าเขามีครบทุกอย่างเขาก็เอื้ออำนวยอนุเคราะห์กันอยู่

การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน เราก็อาศัยสมมติ สมมติ อาศัยพิธีรีตอง อาศัยการเจริญสติภาวนาคำว่าศีล ความปกติ ความหมายของคำว่าศีลเป็นลักษณะอย่างไร ศีล 5 ศีล 8 ศีลสมมติ ศีลวิมุตติ เราก็ต้องศึกษาให้ละเอียด

ตามความเป็นจริงนั้น เราอาศัยสมมติอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับสมมติ เคารพสมมติ ถึงเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากสมมติ ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริงซึ่งมีอยู่กันทุกคน ก็ต้องพยายามกันนะ อย่างน้อยๆ ก็น้อมใจให้อยู่ในอานิสงส์แห่งบุญ หมั่นสร้างบุญ สร้างกุศลกันไว้ เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไปในวันข้างหน้า

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมแต่เพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันทำความเข้าใจต่อให้ได้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง