หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 31 วันที่ 5 พฤษภาคม 2563

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 31 วันที่ 5 พฤษภาคม 2563
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 31 วันที่ 5 พฤษภาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 31
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วยวัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2563

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งไปด้วย ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย

ตามความเป็นจริง ตั้งแต่ตื่นขึ้น พวกเราได้เจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้ตัว ให้มีให้เกิด และก็ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันแล้วหรือยัง ตรงนี้แหละสำคัญ เรารู้จักวิธีการ รู้จักแนวทางพยายามสังเกตวิเคราะห์ หรือว่าเจริญให้มี ให้เกิดขึ้น

ความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง หรือว่าสติสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม รู้การหายใจเข้าออก อันนี้เขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอา ไปคิดเอา สติปัญญาทางโลกีย์ทางโลกของเรา จะมีมากมายถึงขนาดไหน เราก็อย่าเอามา เราอย่าพึ่งเอามาคิด เราต้องมาสร้างความรู้ตัว รู้เท่า รู้ทัน รู้จักทำความเข้าใจ รู้จักลักษณะของใจ รู้จักลักษณะของอาการของใจ อาการของขันธ์ห้า หรือว่าความคิดที่เราคิดอยู่ทุกวันนี่แหละ ความคิดที่เกิดจากตัวใจบ้าง เกิดจากขันธ์ห้ารวมกับใจบ้างหรือว่ารวมทั้งปัญญา ทั้งส่วนสมองบ้าง รวมกันไปทั้งก้อน

เราต้องมาสร้างความรู้ตัว แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปอบรมใจของเรา เอาไปชี้เหตุชี้ผล จนใจคลายออก หรือว่าแยกรูปแยกนาม หรือว่าหงายขึ้นมาได้ รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย จนหมดความสงสัย หมดความลังเล รู้เห็นเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์

คำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ เป็นอย่างไร ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกาย’ เป็นอย่างไร ‘ความไม่เที่ยงสมมติ วิมุตติ’ เป็นอย่างไร การเดินปัญญาแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฎฐิ ความเห็นถูก เห็นถูกระดับไหน เห็นถูกระดับของสมมติ เห็นถูกระดับวิมุตติ ตามคำสอนของพระพุทธองค์ เพียงแค่ใจคลายออกหงายขึ้น หงายออกจากขันธ์ห้า อันนี้เขาเรียกว่าเห็นถูกเพียงแค่เริ่มต้น ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจ แล้วก็ขัดเกลากิเลส กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดซึ่งมีอยู่ในกายในใจของเรา เราต้องพยายามศึกษาค้นคว้า น้อมเข้าไปดู รู้ อันนี้กองรูป อันนี้กองนาม ที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ซึ่งมีอยู่ในกายของเราทุกคน กายของเรานี่แหละคือสนามรบอันยิ่งใหญ่

ตามสภาวะเดิมนั้น จิตของทุกคนนั้นสะอาดบริสุทธิ์ ความไม่เข้าใจทำให้วิญญาณในกายของเรานี่เกิด แล้วก็หลง หลงเข้าไปยึด แล้วก็เป็นทาสกิเลส เรามาขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราแต่ละวันใจของเรามีความโลภหรือไม่ ใจของเรามีความโกรธหรือเปล่า ใจของเรามีความยินดียินร้าย ผลักไสหรือดึงเข้ามา ใจของเรามีกิเลสหยาบ หรือกิเลสละเอียด แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ ที่จะเอาไปวิเคราะห์ใจของเราได้ เพียงแค่การเจริญ เพียงแค่การสร้าง ทำให้ต่อเนื่อง ตรงนี้ก็ยังยากอยู่ ส่วนมากก็มีตั้งแต่ความคิดเก่าๆ ปัญญาเก่าๆ ปัญญาโลกีย์ อาจจะเห็นถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ยังไม่ใช่ ยังมีความเห็นผิดในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์

ธรรมะนั้นมีอยู่กับทุกคน จะมีมากมีน้อย เราก็พยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้น เรื่องจิตนี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ก็ยากที่จะเข้าใจ ถ้าเราเกียจคร้านก็ยิ่งจะห่างไกลการฝึกหัดปฏิบัติอย่างคร่ำเคร่งมากมาย ถึงขนาดไหน วิธีไหนก็ช่าง จุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะคลายความหลง และก็เพื่อที่จะละกิเลสออกให้หมด จากจิตจากใจของเรา

ทุกคนก็มีกิเลสกันหมดนั่นแหละ มีมาก มีน้อย ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ ชี้เหตุ ชี้ผล รู้จักหน้าตาอาการเขาเรียกว่าอย่างโน้นบ้าง อย่างนี้บ้าง เรื่องอดีต เรื่องอนาคต อาการของกาย อาการของใจ อาการของขันธ์ห้า อันนี้เขาเรียกว่าหลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ ใจส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร ใจหลงได้อย่างไร

หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่พูดให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปฝึก ไปทำให้มีให้เกิดก็ยากที่จะเข้าใจ เพียงแค่ความขยันก็พยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้น ความขยัน ความรับผิดชอบ ความเสียสละ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การเจริญพรหมวิหาร ความเมตตา ให้มีให้เกิดขึ้น มองโลกในทางที่ดี คิดดีไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอา ไปทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ ต้องค่อยเป็นค่อยไป

วันนี้ เรา สติของเราต่อเนื่องได้แล้วหรือยัง เราพลั้งเผลอไปกี่ครั้ง กิเลสเล่นงานเราสักกี่เที่ยว ใจของเราเกิดส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เหตุจากภายนอกมาทำให้ใจเกิด หรือเกิดจากภายในเราต้องจำแนกแจกแจง อันนี้สติที่เราเจริญขึ้นมาเอาไปใช้ อันนี้ใจเรารู้ไม่ทัน เราก็รู้จักดับ รู้จักหยุด ใช้สมถะเข้าไปดับเข้าไปหยุด ก็ต้องทำบ่อยๆ ทำบ่อยๆ ให้เกิดความเคยชิน เพียงแค่เรื่องการเจริญสตินี่ก็ยาก ที่จะเอาสติปัญญาไปใช้ก็ยากอีก ที่จะเข้าไปละกิเลสก็ยิ่งยากเข้าไปอีก แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ถ้าเราจะเข้าใจ ถ้าเราเข้าใจแล้วอะไรก็ง่ายขึ้น ถ้าวิบากกรรมคลาย อะไรก็จะง่ายขึ้น อย่าไปท้อ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ เพียงแค่ระดับของสมมติเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ถ้าเราเกียจคร้านระดับของสมมติ เรื่องวิมุตติหลุดพ้นเราก็จะยิ่งจะห่างไกล

ความเป็นอยู่ สมมติ เราเกิดมา เราก็อาศัยปัจจัยสี่ อาศัยสมมติอยู่ อาศัยโลกธรรมอยู่ อะไรคือโลก อะไรคือธรรม ก็ต้องพยายามกันนะ ทั้งพระ ทั้งชี ทั้งโยม การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ ใจที่สงบเป็นสมาธิ สมาธิระดับไหน สมาธิด้วยการข่มเอาไว้ หรือสมาธิรู้ด้วยปัญญา จำแนกแจกแจงด้วยปัญญา ให้เป็นธรรมชาติ ใจที่ปราศจากกิเลส เขาก็บริสุทธิ์ ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง ความนิ่งนั่นแหละคือความเที่ยงคิดเที่ยง นิพพานก็เที่ยง อยากเจอก็หาเอาเอง หาไม่ถูกที่ถูกทาง กระทั่งวันตายก็ไม่เจอ ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง