หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 27 วันที่ 28 เมษายน 2563
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 27 วันที่ 28 เมษายน 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 27
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 เมษายน 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ส่วนมากความเคยชินเก่าๆ คิดก็คิดไปเลย ทำก็ทำไปเลย อาจจะถูกผิดอยู่ระดับของสมมติ แต่การเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปอบรมใจของเรา ตรงนี้ไม่ค่อยจะมีกันเท่าไร มีก็นานๆ ทีกว่าจะเจริญระลึกได้ กว่าจะเจริญสติให้ต่อเนื่องกันสักนาทีสองนาทีนี่ก็ยากทั้งวันทั้งเดือนทั้งปีโดนความหลงเข้าเล่นงานไปหมด แต่ก็ไม่รู้ว่าเราหลงนะ
นอกจากบุคคลที่เจริญสติจนสังเกตวิเคราะห์ จนใจคลายออกจากขันธ์ห้านั่นแหละ ถึงจะรู้ว่าหลงถ้าใจยังไม่ได้คลายนี้ก็จะว่าเราไม่หลง ก็อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ ไม่หลงอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วยังหลงอยู่ ก็ถึงจะหลง ถึงจะแยกไม่ได้คลายไม่ได้ ถึงจะละไม่ได้ก็ให้ใจน้อมเข้ามาอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ คิดดีทำดี อะไรไม่ดีเราก็พยายามละซะ แต่ละวันๆ ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ หรือว่ามีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำหรือว่ามีตั้งแต่อกุศลเข้าครอบงำ เราก็พยายามแก้ไขเรา
ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ต้องเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร เป็นบุคคลที่ตื่น รู้จักแก้ไขตัวเรา เราเกียจคร้านเราก็ละความเกียจคร้านเสีย สร้างความขยันเพียงแค่ระดับของสมมติ ความเป็นอยู่ปัจจัยของเราเราก็รู้จักช่วยเหลือตัวเอง แก้ไขตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่กิเลสเข้ามาหมักหมมตัวเอง หนักตัวเรา ไปที่ไหนก็หนักกายก็หนักใจก็หนักสถานที่ หนักทุกที่ทุกทาง ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเรา พยายามพึ่งตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเราให้เป็น ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบทไหนยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราพยายามดูแลช่วยเหลือตัวเรา อยู่ในวัดก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียร อะไรพอช่วยกันได้ก็รีบช่วยกัน ไม่ใช่ว่าหนักไม่เอาเบาไม่สู้ ขอให้กูอยู่ดีมีความสุข
ก่อนที่พวกเราจะได้อยู่ดีมีความสุข มันก็ผ่านความทุกข์ผ่านความลำบาก ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างมาช่วยกันมารุ่นต่อรุ่นๆ พวกเราจากไปรุ่นหลังก็จะได้มาสานต่อไม่ได้ลำบาก ถ้าเราเอาตั้งแต่ความเกียจคร้าน งอมือง้อเท้าละก็เป็นที่รังเกียจตัวเรา เป็นที่รังเกียจของคนอื่น เราก็พยายามรีบแก้ไข
ให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข อยู่ด้วยกันด้วยพรหมวิหาร ด้วยความเมตตา ไม่ใช่ว่าอยู่ด้วยกันแล้วก็คอยทะเลาะเบาะแว้งกัน วาจากระทบกระทั่งกัน วาจาไม่เกิดเข้าใจก็คิดอคติอีกซึ่งกันและกัน อย่างนั้นมีแต่คนโง่ คนฉลาดเขาจะแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา
มองโลกในทางที่ดี มองโลกในทางที่ดีคิดดี การกระทำให้ถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์ มีอะไรก็รีบไขว่คว้า อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่านประโยชน์สูงสุด เราขัดเกลากิเลสของเราอยู่ในปัจจุบันได้ อานิสงส์สูงสุดมันก็จะตามมาเอง ถ้าเราไม่ละกิเลสเราไม่มีใครเขาจะละให้เราได้หรอกนอกจากตัวของเรา
คำสอนแนวทางของพระพุทธองค์นั้นมีมาตั้งนาน อัตตาอนัตตาเป็นอย่างไร อริยสัจการเกิดของใจเป็นอย่างไร ความหลงของใจเป็นอย่างไร ความเกิดของใจของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร มีหมดนั่นแหละ ท่านค้นพบแล้วก็เอามาบัญญัติเอาไว้ให้พวกเราได้ปฏิบัติตาม ทำอย่างไรใจของเราถึงจะเบาบางจากกิเลส ความอยากความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยากนั่นแหละ เพราะว่าการเกิดของใจมีอยู่
หลวงพ่อก็พูดสิ่งนี้มาตั้งแต่ 30 ปี อย่างเดียวไม่ได้พูดเรื่องอื่น พูดเรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องเดียวที่จะเข้าไปดับทุกข์ที่ฐานของใจให้ได้ แล้วก็สร้างบารมีของเราให้เต็มเปี่ยม นอกนั้นก็เป็นการยังชีวิตอยู่ในระดับของสมมติของเราให้สมบูรณ์แบบ อย่าไปเกียจคร้าน
ถ้าเกียจคร้านในระดับของสมมติ เรื่องด้านจิตใจอย่าไปหวังอะไรเลย ให้ขยันหมั่นเพียร ท่านถึงบอกว่าให้มีความเพียรเป็นเลิศ เป็นคนมีความเพียร มีความเสียสละ เป็นคนมีความเป็นระเบียบระเบียบทั้งภายในระเบียบทั้งภายนอก ระเบียบในตัวของเรานั้นแหละ
ตื่นขึ้นมาเรามีความเกียจคร้านละความเกียจคร้าน เรามีนิวรณ์ละนิวรณ์ เรามีกิเลส กิเลสหยาบหรือกิเลสละเอียดมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันก่อตัวอย่างไร เราไม่เข้าถึงตรงนั้น เราก็ขอให้ฝึกความขยันหมั่นเพียรระดับของสมมติของเราให้มันเต็มเปี่ยม มันจะส่งผลถึงวิมุตติได้เอง
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 เมษายน 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ส่วนมากความเคยชินเก่าๆ คิดก็คิดไปเลย ทำก็ทำไปเลย อาจจะถูกผิดอยู่ระดับของสมมติ แต่การเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปอบรมใจของเรา ตรงนี้ไม่ค่อยจะมีกันเท่าไร มีก็นานๆ ทีกว่าจะเจริญระลึกได้ กว่าจะเจริญสติให้ต่อเนื่องกันสักนาทีสองนาทีนี่ก็ยากทั้งวันทั้งเดือนทั้งปีโดนความหลงเข้าเล่นงานไปหมด แต่ก็ไม่รู้ว่าเราหลงนะ
นอกจากบุคคลที่เจริญสติจนสังเกตวิเคราะห์ จนใจคลายออกจากขันธ์ห้านั่นแหละ ถึงจะรู้ว่าหลงถ้าใจยังไม่ได้คลายนี้ก็จะว่าเราไม่หลง ก็อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ ไม่หลงอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วยังหลงอยู่ ก็ถึงจะหลง ถึงจะแยกไม่ได้คลายไม่ได้ ถึงจะละไม่ได้ก็ให้ใจน้อมเข้ามาอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ คิดดีทำดี อะไรไม่ดีเราก็พยายามละซะ แต่ละวันๆ ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ หรือว่ามีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำหรือว่ามีตั้งแต่อกุศลเข้าครอบงำ เราก็พยายามแก้ไขเรา
ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ต้องเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร เป็นบุคคลที่ตื่น รู้จักแก้ไขตัวเรา เราเกียจคร้านเราก็ละความเกียจคร้านเสีย สร้างความขยันเพียงแค่ระดับของสมมติ ความเป็นอยู่ปัจจัยของเราเราก็รู้จักช่วยเหลือตัวเอง แก้ไขตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่กิเลสเข้ามาหมักหมมตัวเอง หนักตัวเรา ไปที่ไหนก็หนักกายก็หนักใจก็หนักสถานที่ หนักทุกที่ทุกทาง ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเรา พยายามพึ่งตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเราให้เป็น ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบทไหนยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราพยายามดูแลช่วยเหลือตัวเรา อยู่ในวัดก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียร อะไรพอช่วยกันได้ก็รีบช่วยกัน ไม่ใช่ว่าหนักไม่เอาเบาไม่สู้ ขอให้กูอยู่ดีมีความสุข
ก่อนที่พวกเราจะได้อยู่ดีมีความสุข มันก็ผ่านความทุกข์ผ่านความลำบาก ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างมาช่วยกันมารุ่นต่อรุ่นๆ พวกเราจากไปรุ่นหลังก็จะได้มาสานต่อไม่ได้ลำบาก ถ้าเราเอาตั้งแต่ความเกียจคร้าน งอมือง้อเท้าละก็เป็นที่รังเกียจตัวเรา เป็นที่รังเกียจของคนอื่น เราก็พยายามรีบแก้ไข
ให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข อยู่ด้วยกันด้วยพรหมวิหาร ด้วยความเมตตา ไม่ใช่ว่าอยู่ด้วยกันแล้วก็คอยทะเลาะเบาะแว้งกัน วาจากระทบกระทั่งกัน วาจาไม่เกิดเข้าใจก็คิดอคติอีกซึ่งกันและกัน อย่างนั้นมีแต่คนโง่ คนฉลาดเขาจะแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา
มองโลกในทางที่ดี มองโลกในทางที่ดีคิดดี การกระทำให้ถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์ มีอะไรก็รีบไขว่คว้า อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่านประโยชน์สูงสุด เราขัดเกลากิเลสของเราอยู่ในปัจจุบันได้ อานิสงส์สูงสุดมันก็จะตามมาเอง ถ้าเราไม่ละกิเลสเราไม่มีใครเขาจะละให้เราได้หรอกนอกจากตัวของเรา
คำสอนแนวทางของพระพุทธองค์นั้นมีมาตั้งนาน อัตตาอนัตตาเป็นอย่างไร อริยสัจการเกิดของใจเป็นอย่างไร ความหลงของใจเป็นอย่างไร ความเกิดของใจของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร มีหมดนั่นแหละ ท่านค้นพบแล้วก็เอามาบัญญัติเอาไว้ให้พวกเราได้ปฏิบัติตาม ทำอย่างไรใจของเราถึงจะเบาบางจากกิเลส ความอยากความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยากนั่นแหละ เพราะว่าการเกิดของใจมีอยู่
หลวงพ่อก็พูดสิ่งนี้มาตั้งแต่ 30 ปี อย่างเดียวไม่ได้พูดเรื่องอื่น พูดเรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องเดียวที่จะเข้าไปดับทุกข์ที่ฐานของใจให้ได้ แล้วก็สร้างบารมีของเราให้เต็มเปี่ยม นอกนั้นก็เป็นการยังชีวิตอยู่ในระดับของสมมติของเราให้สมบูรณ์แบบ อย่าไปเกียจคร้าน
ถ้าเกียจคร้านในระดับของสมมติ เรื่องด้านจิตใจอย่าไปหวังอะไรเลย ให้ขยันหมั่นเพียร ท่านถึงบอกว่าให้มีความเพียรเป็นเลิศ เป็นคนมีความเพียร มีความเสียสละ เป็นคนมีความเป็นระเบียบระเบียบทั้งภายในระเบียบทั้งภายนอก ระเบียบในตัวของเรานั้นแหละ
ตื่นขึ้นมาเรามีความเกียจคร้านละความเกียจคร้าน เรามีนิวรณ์ละนิวรณ์ เรามีกิเลส กิเลสหยาบหรือกิเลสละเอียดมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันก่อตัวอย่างไร เราไม่เข้าถึงตรงนั้น เราก็ขอให้ฝึกความขยันหมั่นเพียรระดับของสมมติของเราให้มันเต็มเปี่ยม มันจะส่งผลถึงวิมุตติได้เอง
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจ