หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 5 วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 5 วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 5
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันพระ วันแรมแปดค่ำ เดือนสาม อากาศก็เปลี่ยนแปลงเยอะเดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็ร้อน สภาพร่างกายก็ดูแลรักษากัน ได้ข่าวว่าอะไร โรคอะไร โรคหวัดหรือโรคอะไร ระบาดไปทั่วโลก ระวังเด้อ ไปไหนมาไหนก็ระวัง ถ้าไม่มีวิบากกรรมก็คงจะไม่ไปได้เร็ว
ทุกคนเกิดมาก็เกิดมาด้วยแรงกรรม แต่เราก็ต้องศึกษาเรื่องกรรมให้รู้เรื่องกรรม มีกรรมส่วนรูปกรรมส่วนนาม กรรมส่วนนามธรรม ก็คือ ความคิด กรรมส่วนรูป ก็คือ ร่างกายของเรา
ร่างกายของเรานี้เป็นรัง เป็นรังแห่งโรค สารพัดโรค เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็เป็นโน่น เดี๋ยวก็เป็นนี่ สารพัดอย่าง เราก็ดูแลกันไปจนกว่าจะหมดหน้าที่ หมดสภาวะ ถึงเวลาไปก็ได้ไป ถึงเวลาไม่ได้ไป จะทำอะไรก็ไม่ได้ไป ทุกคนก็เกิดมาก็เพื่อที่จะทำความเข้าใจ ให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน คือไม่ต้องกลับมาเกิด
แต่การเกิดก็มีอยู่ 2 อย่าง เกิดทางด้านนาม เกิดทางด้านรูป เกิดทางด้านรูป คือร่างกายของเรานี่ได้เกิดมาแล้ว ทีนี้ก็ทางด้านจิตใจเกิดอยู่ตลอดเวลา จิตใจ ตัวจิตตัววิญญาณนี่เกิด เกิดยังไม่พอ ยังมีอาการของขันธ์ห้าอีกหลายอย่าง ยังเป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดหลายอย่าง
ถ้าเรามาเจริญสติ ค้นคว้าลงไป เราจะเห็นเยอะมากมาย เห็นมากมาย ความคิดทั้งเป็นกุศลอกุศล ทั้งเป็นกลางๆ ความเกิดความดับในชั้นละเอียดที่สุด ก็คือความเกิด ถ้าไม่เห็น ไม่หลงก็ไม่เกิด นี่เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด คือยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในตัววิญญาณนี่ หลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อย ภพใหญ่ อันนั้นเราอาจจะไม่รู้เรื่องหรอก
พระพุทธองค์ท่านให้มาดูอยู่ในกายของเรา ดูวิญญาณตัวที่มาเกิดในภพมนุษย์นี้ มีร่างกายเราก็เจริญสติลงที่กาย
อบรมใจของเราให้ได้ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล คือแยกรูปแยกนาม หรือว่าคลายใจออกจากความคิด ต้องวิเคราะห์ให้เห็น เห็นการเกิดการดับ เห็นการแยกการคลาย เห็นการทำความเข้าใจที่ท่านว่าเห็นเหตุเห็นผล เหตุผลสมมติ เหตุผลวิมุตติ มีหมดทุกอย่าง
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง รีบๆ ตักตวง ตักตวงเอาหากำไรในกายก้อนนี้ให้ได้ หมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป เพราะว่ามีแต่จิตวิญญาณ ขณะที่วิญญาณยังอยู่ในกายนี้ เรามีสติคอยอบรมได้ สอนใจ แก้ไขได้ ปรับปรุงได้ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขใหม่ ทำหน้าที่ของเราให้ดีอยู่ขณะที่ยังมีลมหายใจ ศึกษาให้ละเอียด
เรามาช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส เพราะว่าใจของคนเราชอบคิดชอบเที่ยว ถ้าเรามาเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล สร้างตบะสร้างบารมี ให้มีให้เกิดขึ้นที่กายที่ใจของเรา
ใจเกิดความโลภ ละความโลภ ใจเกิดความโกรธ ดับความโกรธ ด้วยการให้อภัย อโหสิกรรมใจเกิดความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง เราก็มาปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความอ่อนโยนอ่อนน้อม มีความหนักแน่น
ใจของเรามีพรหมวิหาร หรือไม่มีพรหมวิหาร ใจของเรามีกิเลส มีความอิจฉาริษยา เราก็รู้จักแก้ไข แก้ไขปรับปรุงให้ได้ขณะที่ยังมีกำลังกายอยู่ หมดกำลังกายแล้วก็จบ แต่ใจยังไปต่อ ก็ต้องจัดการกับใจอีก ดับความเกิดของใจให้สั้นลง เราดับความเกิดของใจขณะที่ยังอาศัยกายนี่แหละ ก่อนที่จะดับความเกิดได้ เราก็ต้องชี้เหตุชี้ผลเสียก่อน เห็นเหตุเห็นผล เดินปัญญาแยกรูปแยกนาม ซึ่งแนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาจำแนกแจกแจงให้พวกเราได้ดำเนินตาม
การเจริญสติเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ศรัทธาของเรามีความพร้อม มีความเชื่อมั่นใจในพระรัตนตรัย เราก็ลงมือปฏิบัติ แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา เป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ส่วนการสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมี ระดับสมมติเรามีโอกาสได้ร่วมกันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเราก็ได้ทำอยู่ตลอดเวลามาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ปู่ย่าตายาย บุญสมมติตรงนี้พากันทำกันอยู่ตลอด มีเป็นอุปนิสัยติดตามตัวเรามา
แต่การเจริญสติ เราต้องรู้จักคำว่า “ปัจจุบันธรรม” ทุกขณะลมหายใจหายใจออก ทุกขณะจิตก่อนที่จะเป็นทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก เราก็ต้องมาสร้างเสียก่อน สติไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้นมาให้มี ความพลั้งเผลอของสติ เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เพียงแค่สร้าง แค่ทำให้มีให้เกิดขึ้น ก็ทำให้ได้กันเสียก่อน แล้วก็รู้จักเอาไปใช้
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณในกายเป็นอย่างไร ที่ท่านบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร คำว่า ’กองสังขาร’ ในกายของเรา กองรูปกองนามที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ธาตุสี่ ขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ชื่อ หน้าตา อาการ อาการเขาเป็นอย่างไร เราต้องรู้ รู้ด้วยเห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็ตามดูได้ด้วย ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ต้องแก้ไขตัวเรา เป็นเรื่องของเราทุกคน
ส่วนการทำบุญ ทางสมมติเรามีโอกาสได้ทำ หลวงพ่อก็พาทำทุกอย่างเท่าที่จะเป็นบุญ ที่จะอนุเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ถ้าเราแก้ไขเราไม่ได้ ก็ไม่มีใครแก้ไขให้เราได้นอกจากตัวของเรา
ธรรม ก็มีกันทุกคน จะธรรมดำ ธรรมขาว จะเป็นกุศลหรืออกุศลเราก็ต้องศึกษากัน เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ส่วนมากก็จะมีเรื่องของอื่น คนโน้น คนนี้ คนนั้นเป็นอย่างงั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่รู้จักว่าขณะนี้ใจของเราเป็นอย่างไร กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไรหน้าที่ของเราเป็นอย่างไร เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือเปล่า เพียงแค่ทำสมมติของเราให้สมบูรณ์แบบ ตรงนี้ก็ให้ขยันหมั่นเพียรกัน
ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ความเป็นอยู่ปัจจัยสี่ โลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว มันเกี่ยวเนื่องกันหมด เราจะไปทิ้งสมมติก็ช่วงหมดลมหายใจนั่นแหละ จะทิ้งก้อนร่างกายก้อนนี้ แต่การทิ้งที่แท้จริงก็คงต้องเดินปัญญาภายในด้วย การแยกรูปแยกนาม การละกิเลสหยาบละกิเลสละเอียด การดับความเกิด อันนี้เป็นมันของละเอียดอ่อน ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศเป็นบุคคลที่มีความเพียรในการขัดเกลากิเลส ไม่มีใครอยากจะทุกข์ ก็ต้องพยายามกัน พระเราก็ขยันหมั่นเพียร ชีเราก็ขยันหมั่นเพียร
หลวงพ่อให้ทุกคนช่วยเหลือตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ให้ความอิสรภาพทุกอย่างเพื่อความประพฤติปฏิบัติจะไปได้เร็วได้ไว ความหมายของหลวงพ่อต้องการให้ทุกคนรีบแก้ไขตัวเรา ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นได้บอกได้แก้ไข ให้รีบแก้ไขตัวเรา แต่ละวันเราตื่นขึ้นมา เราขาดตกบกพร่องอะไร หน้าที่ของเราอยู่ตรงไหนให้รีบทำ
อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ส่วนรูปส่วนนาม แก้ไขตัวเราทันที ทุกเวลา ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจเข้าออก ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาบอกต้องกำชับกำชา โตกันทุกคนแล้ว อะไรดีอะไรชั่วก็รู้กันแล้ว
ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ เจริญพรหมวิหาร มองโลกในทางที่ดี คิดดี รู้จักควบคุมกาย แล้วก็วาจา ลึกลงไปก็ใจ ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด เราดับ ตั้งแต่ภายใน ดับตั้งแต่ต้นเหตุ ดับต้นเหตุได้แล้วจะออกทางกาย ทางวาจาเราก็รีบแก้ไข ถ้าแก้ไขไม่ได้ก็ต้องพิจารณาตัวเอง
แล้วชีคนไหนหล่ะที่กลั่นแกล้งกันมีไหม หรือว่าไม่มี ถ้ามีก็รู้จักพิจารณาตัวเอง ถ้าบอกไม่เชื่อฟังก็กลับไปอยู่บ้านทันทีนะ พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน แทนที่จะอยู่ดีมีความสุข ทุกสิ่งทุกอย่างก็ทำให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน อาหารตา อาหารกาย อาหารใจ พยายามลำบากมาตั้งหลายปีทำให้ทุกอย่าง เพียงแค่เรามาจัดการตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ยังจะมาสร้างเหตุ สร้างความปั่นป่วน อย่างนี้ใช้การไม่ได้ ก็ต้องรีบแก้ไขทันที เห็นว่าปล่อยปละละเลย.. ไม่ใช่ อยากให้ทุกคนมีอุปนิสัยช่วยเหลือตัวเอง
แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง มันถึงจะถูกต้อง ไม่ใช่ว่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาบังคับเคี่ยวเข็ญ เราบังคับตัวเราแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา มันถึงจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ที่ไหนที่เขาคร่ำเคร่งๆ อยากจะไปตรงนั้นก็ไป มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ให้คนอื่นเขาบังคับ มีก็แต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ยอมให้เขาสับเขาโขก คนฉลาดฟังนิดเดียว การแก้ไขเป็นอย่างงี้ การละกิเลสเป็นอย่างงี้การทำความเข้าใจเป็นอย่างงี้ เดินถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว ประกาศด้วยตัวเองว่าเราถึงไหน ไปถึงไหน เราละกิเลสได้กี่ตัว กิเลสเกิดขึ้นในระดับไหน ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ จะไปมัวตั้งแต่ไปให้เที่ยวให้คนอื่นเขาบังคับ ต้องคอยกำชับกำชาเวลาโน้นเวลานี้ต้องประพฤติปฏิบัติ ต้องแก้ไขปรับปรุง มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ทำอย่างงั้น ก็ต้องพยายามกัน
วันนี้วันพระ คุณหมอก็พากันสมาทานศีลกันเสียก่อนนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันพระ วันแรมแปดค่ำ เดือนสาม อากาศก็เปลี่ยนแปลงเยอะเดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็ร้อน สภาพร่างกายก็ดูแลรักษากัน ได้ข่าวว่าอะไร โรคอะไร โรคหวัดหรือโรคอะไร ระบาดไปทั่วโลก ระวังเด้อ ไปไหนมาไหนก็ระวัง ถ้าไม่มีวิบากกรรมก็คงจะไม่ไปได้เร็ว
ทุกคนเกิดมาก็เกิดมาด้วยแรงกรรม แต่เราก็ต้องศึกษาเรื่องกรรมให้รู้เรื่องกรรม มีกรรมส่วนรูปกรรมส่วนนาม กรรมส่วนนามธรรม ก็คือ ความคิด กรรมส่วนรูป ก็คือ ร่างกายของเรา
ร่างกายของเรานี้เป็นรัง เป็นรังแห่งโรค สารพัดโรค เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็เป็นโน่น เดี๋ยวก็เป็นนี่ สารพัดอย่าง เราก็ดูแลกันไปจนกว่าจะหมดหน้าที่ หมดสภาวะ ถึงเวลาไปก็ได้ไป ถึงเวลาไม่ได้ไป จะทำอะไรก็ไม่ได้ไป ทุกคนก็เกิดมาก็เพื่อที่จะทำความเข้าใจ ให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน คือไม่ต้องกลับมาเกิด
แต่การเกิดก็มีอยู่ 2 อย่าง เกิดทางด้านนาม เกิดทางด้านรูป เกิดทางด้านรูป คือร่างกายของเรานี่ได้เกิดมาแล้ว ทีนี้ก็ทางด้านจิตใจเกิดอยู่ตลอดเวลา จิตใจ ตัวจิตตัววิญญาณนี่เกิด เกิดยังไม่พอ ยังมีอาการของขันธ์ห้าอีกหลายอย่าง ยังเป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดหลายอย่าง
ถ้าเรามาเจริญสติ ค้นคว้าลงไป เราจะเห็นเยอะมากมาย เห็นมากมาย ความคิดทั้งเป็นกุศลอกุศล ทั้งเป็นกลางๆ ความเกิดความดับในชั้นละเอียดที่สุด ก็คือความเกิด ถ้าไม่เห็น ไม่หลงก็ไม่เกิด นี่เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด คือยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในตัววิญญาณนี่ หลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อย ภพใหญ่ อันนั้นเราอาจจะไม่รู้เรื่องหรอก
พระพุทธองค์ท่านให้มาดูอยู่ในกายของเรา ดูวิญญาณตัวที่มาเกิดในภพมนุษย์นี้ มีร่างกายเราก็เจริญสติลงที่กาย
อบรมใจของเราให้ได้ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล คือแยกรูปแยกนาม หรือว่าคลายใจออกจากความคิด ต้องวิเคราะห์ให้เห็น เห็นการเกิดการดับ เห็นการแยกการคลาย เห็นการทำความเข้าใจที่ท่านว่าเห็นเหตุเห็นผล เหตุผลสมมติ เหตุผลวิมุตติ มีหมดทุกอย่าง
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง รีบๆ ตักตวง ตักตวงเอาหากำไรในกายก้อนนี้ให้ได้ หมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป เพราะว่ามีแต่จิตวิญญาณ ขณะที่วิญญาณยังอยู่ในกายนี้ เรามีสติคอยอบรมได้ สอนใจ แก้ไขได้ ปรับปรุงได้ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขใหม่ ทำหน้าที่ของเราให้ดีอยู่ขณะที่ยังมีลมหายใจ ศึกษาให้ละเอียด
เรามาช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส เพราะว่าใจของคนเราชอบคิดชอบเที่ยว ถ้าเรามาเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล สร้างตบะสร้างบารมี ให้มีให้เกิดขึ้นที่กายที่ใจของเรา
ใจเกิดความโลภ ละความโลภ ใจเกิดความโกรธ ดับความโกรธ ด้วยการให้อภัย อโหสิกรรมใจเกิดความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง เราก็มาปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความอ่อนโยนอ่อนน้อม มีความหนักแน่น
ใจของเรามีพรหมวิหาร หรือไม่มีพรหมวิหาร ใจของเรามีกิเลส มีความอิจฉาริษยา เราก็รู้จักแก้ไข แก้ไขปรับปรุงให้ได้ขณะที่ยังมีกำลังกายอยู่ หมดกำลังกายแล้วก็จบ แต่ใจยังไปต่อ ก็ต้องจัดการกับใจอีก ดับความเกิดของใจให้สั้นลง เราดับความเกิดของใจขณะที่ยังอาศัยกายนี่แหละ ก่อนที่จะดับความเกิดได้ เราก็ต้องชี้เหตุชี้ผลเสียก่อน เห็นเหตุเห็นผล เดินปัญญาแยกรูปแยกนาม ซึ่งแนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาจำแนกแจกแจงให้พวกเราได้ดำเนินตาม
การเจริญสติเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ศรัทธาของเรามีความพร้อม มีความเชื่อมั่นใจในพระรัตนตรัย เราก็ลงมือปฏิบัติ แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา เป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ส่วนการสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมี ระดับสมมติเรามีโอกาสได้ร่วมกันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเราก็ได้ทำอยู่ตลอดเวลามาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ปู่ย่าตายาย บุญสมมติตรงนี้พากันทำกันอยู่ตลอด มีเป็นอุปนิสัยติดตามตัวเรามา
แต่การเจริญสติ เราต้องรู้จักคำว่า “ปัจจุบันธรรม” ทุกขณะลมหายใจหายใจออก ทุกขณะจิตก่อนที่จะเป็นทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก เราก็ต้องมาสร้างเสียก่อน สติไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้นมาให้มี ความพลั้งเผลอของสติ เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เพียงแค่สร้าง แค่ทำให้มีให้เกิดขึ้น ก็ทำให้ได้กันเสียก่อน แล้วก็รู้จักเอาไปใช้
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณในกายเป็นอย่างไร ที่ท่านบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร คำว่า ’กองสังขาร’ ในกายของเรา กองรูปกองนามที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ธาตุสี่ ขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ชื่อ หน้าตา อาการ อาการเขาเป็นอย่างไร เราต้องรู้ รู้ด้วยเห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็ตามดูได้ด้วย ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ต้องแก้ไขตัวเรา เป็นเรื่องของเราทุกคน
ส่วนการทำบุญ ทางสมมติเรามีโอกาสได้ทำ หลวงพ่อก็พาทำทุกอย่างเท่าที่จะเป็นบุญ ที่จะอนุเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ถ้าเราแก้ไขเราไม่ได้ ก็ไม่มีใครแก้ไขให้เราได้นอกจากตัวของเรา
ธรรม ก็มีกันทุกคน จะธรรมดำ ธรรมขาว จะเป็นกุศลหรืออกุศลเราก็ต้องศึกษากัน เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ส่วนมากก็จะมีเรื่องของอื่น คนโน้น คนนี้ คนนั้นเป็นอย่างงั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่รู้จักว่าขณะนี้ใจของเราเป็นอย่างไร กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไรหน้าที่ของเราเป็นอย่างไร เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือเปล่า เพียงแค่ทำสมมติของเราให้สมบูรณ์แบบ ตรงนี้ก็ให้ขยันหมั่นเพียรกัน
ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ความเป็นอยู่ปัจจัยสี่ โลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว มันเกี่ยวเนื่องกันหมด เราจะไปทิ้งสมมติก็ช่วงหมดลมหายใจนั่นแหละ จะทิ้งก้อนร่างกายก้อนนี้ แต่การทิ้งที่แท้จริงก็คงต้องเดินปัญญาภายในด้วย การแยกรูปแยกนาม การละกิเลสหยาบละกิเลสละเอียด การดับความเกิด อันนี้เป็นมันของละเอียดอ่อน ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศเป็นบุคคลที่มีความเพียรในการขัดเกลากิเลส ไม่มีใครอยากจะทุกข์ ก็ต้องพยายามกัน พระเราก็ขยันหมั่นเพียร ชีเราก็ขยันหมั่นเพียร
หลวงพ่อให้ทุกคนช่วยเหลือตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ให้ความอิสรภาพทุกอย่างเพื่อความประพฤติปฏิบัติจะไปได้เร็วได้ไว ความหมายของหลวงพ่อต้องการให้ทุกคนรีบแก้ไขตัวเรา ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นได้บอกได้แก้ไข ให้รีบแก้ไขตัวเรา แต่ละวันเราตื่นขึ้นมา เราขาดตกบกพร่องอะไร หน้าที่ของเราอยู่ตรงไหนให้รีบทำ
อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ส่วนรูปส่วนนาม แก้ไขตัวเราทันที ทุกเวลา ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจเข้าออก ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาบอกต้องกำชับกำชา โตกันทุกคนแล้ว อะไรดีอะไรชั่วก็รู้กันแล้ว
ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ เจริญพรหมวิหาร มองโลกในทางที่ดี คิดดี รู้จักควบคุมกาย แล้วก็วาจา ลึกลงไปก็ใจ ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด เราดับ ตั้งแต่ภายใน ดับตั้งแต่ต้นเหตุ ดับต้นเหตุได้แล้วจะออกทางกาย ทางวาจาเราก็รีบแก้ไข ถ้าแก้ไขไม่ได้ก็ต้องพิจารณาตัวเอง
แล้วชีคนไหนหล่ะที่กลั่นแกล้งกันมีไหม หรือว่าไม่มี ถ้ามีก็รู้จักพิจารณาตัวเอง ถ้าบอกไม่เชื่อฟังก็กลับไปอยู่บ้านทันทีนะ พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน แทนที่จะอยู่ดีมีความสุข ทุกสิ่งทุกอย่างก็ทำให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน อาหารตา อาหารกาย อาหารใจ พยายามลำบากมาตั้งหลายปีทำให้ทุกอย่าง เพียงแค่เรามาจัดการตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ยังจะมาสร้างเหตุ สร้างความปั่นป่วน อย่างนี้ใช้การไม่ได้ ก็ต้องรีบแก้ไขทันที เห็นว่าปล่อยปละละเลย.. ไม่ใช่ อยากให้ทุกคนมีอุปนิสัยช่วยเหลือตัวเอง
แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง มันถึงจะถูกต้อง ไม่ใช่ว่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาบังคับเคี่ยวเข็ญ เราบังคับตัวเราแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา มันถึงจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ที่ไหนที่เขาคร่ำเคร่งๆ อยากจะไปตรงนั้นก็ไป มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ให้คนอื่นเขาบังคับ มีก็แต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ยอมให้เขาสับเขาโขก คนฉลาดฟังนิดเดียว การแก้ไขเป็นอย่างงี้ การละกิเลสเป็นอย่างงี้การทำความเข้าใจเป็นอย่างงี้ เดินถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว ประกาศด้วยตัวเองว่าเราถึงไหน ไปถึงไหน เราละกิเลสได้กี่ตัว กิเลสเกิดขึ้นในระดับไหน ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ จะไปมัวตั้งแต่ไปให้เที่ยวให้คนอื่นเขาบังคับ ต้องคอยกำชับกำชาเวลาโน้นเวลานี้ต้องประพฤติปฏิบัติ ต้องแก้ไขปรับปรุง มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ทำอย่างงั้น ก็ต้องพยายามกัน
วันนี้วันพระ คุณหมอก็พากันสมาทานศีลกันเสียก่อนนะ