ตามความเป็นจริง_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 79 วันที่ 10 กันยายน 2557

ตามความเป็นจริง_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 79 วันที่ 10 กันยายน 2557
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
ตามความเป็นจริง_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 79 วันที่ 10 กันยายน 2557
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
ตามความเป็นจริง ชุดที่ 4 (ลำดับที่ 61-80)
ถอดความฉบับเต็ม
ตามความเป็นจริง ลำดับที่ 79
วันที่ 10 กันยายน 2557


เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน

ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัว แล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง รู้ความปกติของใจ รู้การเกิดการดับของใจแล้วหรือยัง ถ้ายัง ก็พยายามเริ่มเสียนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกลมหายใจเข้าออกเขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง

รู้กาย แล้วก็รู้ใจ แล้วก็อบรมใจ แล้วก็สังเกตวิเคราะห์ใจ ลักษณะของใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร ทำไมใจถึงหลง มีเรื่องเดียวนี่แหละ ที่จะต้องศึกษาให้รู้ต้นตอ ต้นสายปลายเหตุ แล้วก็จะทำความเข้าใจได้ทุกเรื่อง


เราพยายามหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ รู้ลักษณะของสติ รู้จากการเจริญสติให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย วิเคราะห์ใจของตัวเรา ส่วนมากเรารู้อยู่ รู้อยู่เมื่อเขาเกิดแล้ว รู้อยู่เมื่อเขาไปตั้งไกลแล้ว ถ้าไม่หลงไม่เกิด เพียงแค่เกิดทางด้านจิตวิญญาณนั่นเขาก็หลง เขาหลงมาชั้นหนึ่งแล้ว คือมาสร้างกายเนื้อ เข้ามาปิดกั้นเอาไว้ ส่วนตัววิญญาณนั้นยังเกิดต่อ ขันธ์ห้าก็ยังมาปรุงแต่งต่อ แต่เขาก็ยังอาศัยกายอยู่ กลับไปกลับมาอยู่ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปสังเกต


เพียงแค่การเจริญสติ พวกเราก็ยังทำไม่ต่อเนื่อง ยังทำไม่เชื่อมโยง เพราะว่าความเพียรมีไม่เพียงพอ ก็ต้องพยายามสร้างตบะ สร้างบารมี หมั่นขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา


เรารู้จักวิธี รู้จักแนวทาง รู้จักการดำเนินแล้ว อยู่คนเดียวเราก็รู้เรา แก้ไขเรา ปรับปรุงเรา เราขาดตกบกพร่องอะไร เป็นเรื่องของเราทั้งนั้น ชีวิตของเรา เราต้องแก้ไข แต่ในภาพรวม เราก็อิงอาศัยกันอยู่ในระดับของรูปธรรม ของสมมติ


เราก็มีโอกาสช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ถึงวาระเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง เราพยายามดำเนินขณะที่เรายังมีลมหายใจ ยังมีกำลังอยู่ สร้างประโยชน์ สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิด สร้างบุญสร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม ก่อนที่ธาตุขันธ์ของเราจะเสื่อมสภาพ กลับคืนสู่สภาวะเดิม


เรามีกายเนื้อ เราก็พยายามรีบตักตวง สร้างคุณงามความดีอยู่ที่กายเนื้อของเรา ลงลึกลงไปอยู่ที่วิญญาณของเรา จนคลายความหลง ละกิเลสออกให้มันหมดจรด ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี


มีเรื่องเดียวนี่แหละ ที่จะต้องศึกษาตัวเรา แก้ไขตัวเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน ที่ไร่ ที่นา ที่ทำการทำงาน ดูแลใจของเรา ไม่ให้เกิดกิเลส ดูแลใจของเรา ไม่ให้เกิดความทุกข์ความเครียด อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ อยู่กับสมมติอย่างมีความสงบความสุข


แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีน้อย แทบจะไม่ได้สร้างกัน เอาตั้งแต่ปัญญาของสมมติ ปัญญาของโลกีย์ มันก็ปิดกั้นตัวเองอยู่อย่างนั้นแหละ แต่ก็ยังอาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติเท่านั้นเอง แต่ในหลักธรรมแล้วยังหลง ยังหลงอยู่ ถ้าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็ว่าเรามีสติมีปัญญา ถ้าใจของเรายังไม่ได้คลายออกจากขันธ์ห้า เราก็ว่าเราไม่หลง ถ้าคลายออกเมื่อไหร่แล้วถึงจะรู้ว่าเราหลง ตามดูได้เมื่อไหร่ ทำความเข้าใจได้เมื่อไหร่ แล้วค่อยละอีก มันมีเยอะ อยู่ในกายเนื้อของเรานี่มีเยอะ เราต้องศึกษาให้ละเอียด ถ้าขาดการศึกษา ขาดการทำความเพียร เราก็ยากที่จะเข้าใจ ก็ต้องพยายามกัน


หลวงพ่อก็พูดตั้งแต่ของเก่า เรื่องเก่านี่แหละ ไม่เอาเรื่องไหนหรอก เอาตั้งแต่เรื่องเก่า สาวเข้าไปหาต้นเหตุให้เจอเสียก่อน ถ้ารู้ต้นเหตุแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะรู้ตามมาอีกเยอะมากมาย แล้วค่อยละ


สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ


พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง