ตามความเป็นจริง_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 41 วันที่ 12 พฤษภาคม 2557

ตามความเป็นจริง_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 41 วันที่ 12 พฤษภาคม 2557
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
ตามความเป็นจริง_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 41 วันที่ 12 พฤษภาคม 2557
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
ตามความเป็นจริง ชุดที่ 3 (ลำดับที่ 41-60)
ถอดความฉบับเต็ม
ตามความเป็นจริง ลำดับที่ 41
วันที่ 12 พฤษภาคม 2557


ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ถึงเราไม่ได้ทำให้ต่อเนื่อง ก็ขอให้สร้างขณะที่เรากำลังนั่งอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย อันอื่นค่อยว่ากัน


ตอนนี้เรารู้จักการสร้าง หรือว่าเจริญสติให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงเสียก่อน คำว่า ‘รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ หมายถึง รู้กาย ความรู้สึกรับรู้เวลาลมสัมผัสของการหายใจเข้าหายใจออกกระทบปลายจมูกของเรา


อย่าไปเพ่ง อย่าไปบังคับ อย่าไปจดจ่อ ถ้าความรู้สึกไม่เด่นชัด ก็พยายามสูดลมหายใจยาวๆ แล้วก็ผ่อนออกมายาวๆ เราคอยสังเกตดูรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เหมือนกับนายประตูทวารนั่งอยู่ที่ประตู รถคันไหนวิ่งเข้าก็รู้ รถคันไหนวิ่งออกก็รับรู้อยู่ตลอดเวลา วิ่งเข้าวิ่งออก


อันนี้ลมหายใจเข้าหายใจออก มีความรู้สึกที่ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ความรู้ตัวทั่วพร้อม รู้ให้เป็นเส้น รู้ให้มันยาว รู้ให้ต่อเนื่อง เราต้องสร้างขึ้นมา


ส่วนการเกิดการดับของใจนั้นมีอยู่ตลอด การเกิดการดับของขันธ์ห้านั้นมีอยู่ตลอด ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้ลึกลงไปอีก เวลาใจมันก่อตัว เวลาใจเกิด เวลาใจคิด เราก็จะเห็นการก่อตัวของเขา ส่วนมากเราจะรู้เมื่อเขาคิดไปแล้ว หรือว่ารวมกัน


เรารู้ไม่ทัน เราก็รู้จักดับเอาไว้ หยุดเอาไว้ บางทีบางครั้งก็มีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด มันโผล่ขึ้นมา มันผุดขึ้นมา เขาเรียกว่า ‘ความคิดแบบลอยๆ’ น่ะเข้ามา แล้วก็ไปด้วยกัน เราต้องมาสร้างความรู้ตัวเข้าไปรู้ให้ทัน รู้ไม่ทันก็รู้จักหยุดรู้จักดับ กระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออกของเราใหม่ หรืออยู่กับคำบริกรรมใหม่ ใจของเราก็จะสงบระงับตั้งมั่นขึ้น อะไรเกิดขึ้นมา เราดูใหม่ ดูไม่ทัน เราก็ดับไปอีก จนกว่ากำลังสติของเราจะเร็วไวขึ้น ใจของเราก็จะช้าลงๆ จนเห็นการเกิดการดับ เห็นแยกคลายได้ ตามทำความเข้าใจได้นี่แหละ


จุดนี้แหละ คนเรามองข้าม จะเอาตั้งแต่ธรรม อยากจะหาตั้งแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักเจริญสติเข้าไปควบคุม ไม่รู้จักสังเกต ถ้าใจแยกแยะได้ ตามดูได้ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจคำว่า ‘อัตตา-อนัตตา’ เข้าใจคำว่า‘อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา’ รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา


ขณะนี้เวลานี้ สติรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ สติรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ตาทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ เราก็จะมีตั้งแต่ความสุขในการดู ในการรู้ กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เราก็ละมันเมื่อนั่นแหละ ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา มันเกิดขึ้นตอนนี้ ก็ละเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ว่ามันเกิดขึ้นตอนนี้ จะไปละเอาพรุ่งนี้ มันไม่ทันหรอก เราต้องเตรียมตัวอยู่ตลอดเวลา สติของเราต้องตั้งมั่น รู้ ดูอยู่ตลอดเวลาจนเป็นธรรมชาติ จนใจมองเห็นความเป็นจริง ยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน


การพูดง่าย การกระทำต้องเป็นคนที่มีความเพียรทุกอิริยาบถ การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือ ต้องพยายามทำให้ได้ตลอดเวลานะ


สร้างความรู้สึกรับรู้ให้ชัดเจน ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน


พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง