หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 098

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 098
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 098
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาให้รีบสำรวจตัวเรา แก้ไขตัวเรา เวลาจะขบจะฉันก็ยิ่งได้อานิสงส์ใหญ่ กายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก เรารู้จักควบคุม รู้จักพิจารณา ไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจเลย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวของเราตั้งมั่นแล้วหรือยัง รู้กายรู้ใจ รู้จักหน้าที่ รู้จักความรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ ความขยันหมั่นเพียร หรือว่ามีความเกียจคร้าน นิวรณ์เข้าครอบงำ เราก็รีบกำจัดออกจากใจของเรา ออกจากกายของเรา

ถ้าเราไม่ฝึกฝนตัวเราแล้ว จะไปรอเวลาโน้น เวลานี้ พลาดโอกาส ต้องมีความตั้งมั่นด้วยสติด้วยปัญญา มีความขยัน ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะ อยู่ในสถานการณ์อย่างไร คนที่มีปัญญาเขาจะรีบแก้ไขตัวเอง ไม่ปล่อยโอกาสทิ้ง อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ในระดับสมมติวิมุตติ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ไม่ให้ใจเกิดความอยาก ใจรับรู้พิจารณา อาศัยกาล อาศัยเวลา อาศัยความเพียรที่ถูกต้อง ถ้าเราไม่ศึกษาก็เสียดายโอกาส เสียดายเวลา

การได้เข้ามาบวชนี่ก็ยากแสนยาก กว่าจะผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านการศึกษาผ่านการเล่าเรียน วิบากกรรมสมมติทางโน้นผ่านมากันหมด ถึงได้มีโอกาสได้เข้ามาบวช มาบวชเเล้วก็พยายามสร้างอานิสงส์ใหญ่ให้มีให้เกิดขึ้นกับตัวเรา กับใจของเรา กับสถานที่ กับพี่กับน้อง กับบริวารของเรา ให้มีความสุข เรามาอาศัยสถานที่อยู่ เราก็พยายามยังสถานที่ของเราให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะมีพร้อมมูล ก็ต้องร่วมแรง ร่วมกาย ร่วมใจกันทำ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ มีอะไรเราก็ช่วยกัน ช่วยกันดูแล ช่วยกันทำ ช่วยกันแก้ อยู่ใกล้อยู่ไกลก็ได้มาร่วมกัน ระวัง เพิ่มความเพียรให้มากๆ การเพียรละกิเลส

ขโมยก็เยอะนะ ขโมยก็เยอะ ให้ระวัง รู้สึกว่าขโมยเยอะมากเลยช่วงนี้ ขโมยของกันเยอะ คนเราเกิดมาเป็นขโมย ก็ยกให้เป็นวิบากกรรมของเขา เขาก็ขโมยทีเราเผลอ ก็ไปขโมยของพระก็เยอะ มาขโมยกัน เขาขโมยช่วงที่ไปบิณฑบาตบ้าง มาฉันข้าวบ้าง ทีเราเผลอบ้าง บางทีก็แอบอยู่ในวัดนี่ก็มี บางคนก็มาหลายรูปแบบ มาแฝงตัวอยู่ในวัดก็มี มากินข้าววัด ขโมยของวัด ก็โดนตำรวจเขาเอาไปลงบันทึกแล้วแหล่ะ

ใส่แต่งตัวปอนๆ มาก็วันที่ไม่พอ คนที่ไม่ว่าไม่พอนั่นแหล่ะเป็นแก๊งเขาเลย ก็มา 2- 3คนวันนั้นน่ะ โน่นมันไปสั่งการอยู่ที่ปางประสูติโน่น พอตำรวจมา เจ้าขาเป๋ไปกับคนที่คู่กัน นั่งอยู่ข้างนอกนั่น ก็ทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พอเขาเอาไปแล้ว เขาก็รีบออกไป ไปเปลี่ยนชุดอยู่ที่ห้องน้ำที่โรงเรียน มันไปเปลี่ยนชุดใหม่ พวกโยมณรงค์ก็สังเกตดู เขาก็ไปตามจับเอา เรียกตำรวจมาเอา อยู่ที่อุบลนั่น

มากินข้าววัด มานอนที่วัด มาก็มาดูว่าตรงไหน ไปอย่างไร มาอย่างไร ไปหาสำรวจ งัดหมดทุกกุฏิ มีของมีค่าสำคัญก็เก็บเอาไว้ติดตัว ไม่ใช่ว่าครั้งหนึ่งครั้งเดียว เราก็พยายามยกให้เป็นกรรม กฎหมายลงโทษไม่ได้ ก็กรรมลงโทษเอา เราก็ถือว่าได้ให้ทาน ได้ทำบุญให้ทานนะ อย่าไปโกรธ อย่าไปอคติเขา อย่าให้มาเป็นราคีในใจของเรา

เราพอรักษาของเราได้ เราก็รักษา รักษาไม่ได้ ก็เขาอยากจะได้ก็ยกให้เขาไป บางคนก็เป็นโดยสันดาน บางคนก็เหตุการณ์บังคับ หลายสิ่งหลายอย่าง ก็ให้รีบแก้ไข แก้ไขไม่ได้ ก็วิบากกรรม กรรมสมมติก็ยังแก้ไม่ได้ เรื่องวิมุตติ ทางด้านจิตใจก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก แก้ไขจากหนักให้เป็นเบา จากเบาก็ไม่ให้มี รู้สึกว่าของในวัดนี่หายประจำ แม้แต่กุฏิหลวงพ่อมันก็ขึ้น แต่ก็ไม่ได้อะไร ก็ได้ไปนิดๆ หน่อยๆ หลายเที่ยวด้วย หลวงพ่อไม่มีสตางค์ให้มัน

ก็ต้องพยายามเอา พราะเรามีอะไรก็ไปไหนมาไหนก็ปิดประตูหน้าต่างให้ดีๆ ถ้ามันจะเอาก็ไปงัดเอา เหมือนกับหลวงปู่โต เขาเอาหนังมาฉายให้ดู ขโมยมันไปขโมยของหลวงปู่โต หลวงปู่โตก็นั่งอยู่ มันก็มีช่องแยงมือขึ้นไป มือมันไม่ถึง หลวงปู่โตก็เอาของส่งให้ๆ พออันสุดท้าย มุ้ง มันก็ไปกระชากมุ้ง สายมันหูมันมัดอยู่ มันไม่ไป หลวงปู่โตก็ลุกไป ไปปลดสายมุ้งค่อยยื่นลงไปให้ เอาไปเอามา วิบากกรรมตามทัน ออกป่าไม่ได้ ก็เดินวนเวียนอยู่ในป่า ตื่นเช้าขึ้นมาชาวบ้านมาเห็น เขาจะรุมยำเอาสิ หลวงปู่โตก็บอกว่ารีบไปๆ เขาจะมาฆ่าเอา ท่านให้อภัยทานอโหสิกรรม ให้หมดทานให้หมด เดี๋ยวนี้ใครจะได้สักเสี้ยวหนึ่งของหลวงปูโตหรือเปล่า หรือยังเป็นของกูๆ ถูกอยู่อย่างนั้น

ก็พยายามเอานะ มีอะไรก็ช่วยกัน อย่าไปนั่น เราจะได้ฝึกฝนตัวเรา อย่างน้อยๆ เราก็ได้ความขยันหมั่นเพียรติดตามตัว ได้ความรับผิดชอบ ถึงเราเดินปัญญา แยกรูปแยกนาม ละกิเลสไม่ได้หมดจด เราก็ได้ความขยัน มาสร้างความขยัน มาสร้างบารมีกัน ถึงเวลาเดินปัญญา เราก็คงจะเดินปัญญาได้ อย่างช่วงเดินปัญญาไม่ได้ เราก็มาสร้างความเพียร สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเราก็ได้
สมัยก่อนหลวงพ่ออยู่องค์เดียว พวกเด็กๆ มาบวชอยู่ด้วย สามเณรหลายคน 4-5 คน แต่ละวันตื่นเช้าหลวงพ่อก็พาให้ทำงาน ทำโน่นทำนี่ เณรก็ชอบเล่น เด็กๆ ก็ชอบเล่น 5 - 6 คน ก็ต้องให้ทำงานเสียก่อน ให้ทำงานเสียก่อน พอตื่นเช้าขึ้นมา เขาก็จะถามหลวงพ่อหลวงลุง วันนี้จะให้พวกผมทำอะไรว่าอย่างนั้น รีบถาม ต้องทำอันโน้นอันนี้ แต่มีข้อแม้ ถ้าทำงานเสร็จให้ได้ลงเล่นน้ำ ว่าอย่างนั้น

ตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องรีบทำการทำงานให้เสร็จ ค่อยพากันไปเล่นน้ำ ของเด็ก ประสาเด็ก พอเขาเติบโตขึ้นมาไปมีครอบครัว มีอะไร กลับมาหา เขาก็มาเล่าให้ฟังว่า ถ้าพวกผมไม่ได้มาบวชกับหลวงลุงนี่ พวกผมไม่เป็นอย่างนี้ ความอดทนอดกลั้น ความเสียสละ ความขยันหมั่นเพียร ติดตามตัวไปจนกระทั่งถึงเป็นหนุ่ม มีครอบมีครัวน่ะเห็นมั้ย หลายคน

เป็นพระก็เหมือนกัน มาฝึกหัด มีความรับผิดชอบ พระเรายิ่งบวชเข้ามา ยิ่งมีแต่ความเกียจคร้านครอบงำแล้วก็ใช้การไม่ได้เลย เกียจคร้านทุกอย่าง เกียจคร้านครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ครั้งที่สามก็ติดตามมา สะสมความขี้เกียจ เกียจคร้านเข้าครอบงำแล้ว หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่ แทนที่จะเป็นคนขยันหมั่นเพียรทุกอย่าง สร้างความขยันติดตามตัว มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย

มาฝึกฝนตนเอง ไล่จัดระบบระเบียบ สติปัญญา ทั้งความคิด ความคิดเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้น ใจมันเกิด หรืออาการของความคิด อะไรส่วนสติ ส่วนปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา กายวิเวก ใจวิเวกเป็นอย่างไร เราจะได้มาศึกษา คนมีปัญญาเท่านั้นที่จะเข้าใจ มีศรัทธาแล้วก็มีปัญญาพร้อม แล้วก็ความขยันหมั่นเพียร สร้างตบะให้เต็มที่ ความอยากแม้แต่น้อยๆ อยากมีอยากไป ไม่อยากมีไม่อยากไป ก็พยายามดับ พยายามละ สร้างความเห็นให้ถูก ก็จะอยู่อย่างมีความสุข เครื่องอยู่ภายในก็เต็มเปี่ยม แต่ต้องอาศัยความเพียร อาศัยเวลา

ไม่ใช่ว่ามาวัดมาอยู่วัดแล้วก็เข้าใจเลย ไม่ใช่ เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง คนวัดต้องเป็นคนขยัน ไม่ใช่คนเกียจคร้าน คนขยัน ทุกอย่าง ขยัน ประหยัด ประโยชน์ สะอาด เป็นคนมีระเบียบ อะไรๆ ก็จะมาทิ้งให้วัดๆ มันไม่ใช่ คำว่า ‘วัด’ คือวัดกายวัดใจ แล้วก็สะสางออกให้มันหมดจด ก่อนจะลุกจะก้าวจะเดิน ก่อนที่จะคิด อะไรเป็นสติปัญญาที่เป็นตัวคิด ใจเป็นอย่างไร การควบคุมใจ ละความทะเยอทะยานอยาก ละความยินดียินร้าย ละความกลัวออกให้มันหมดจด

หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟัง สภาพร่างกายของหลวงพ่อก็อ่อนแอ แต่ก่อนก็แข็งแรงดีอยู่ ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ทำด้วยดูใจไปด้วย มีความสุข ยังประโยชน์ให้หมู่ให้คณะ ให้เพื่อนให้ฝูง เพื่อที่จะให้มีความสุข การปฏิบัติจิต ปฏิบัติใจก็จะไปได้เร็วได้ไว ถ้าสมมติไม่บริบูรณ์ ไม่เรียบร้อย การปฏิบัติก็ลำบาก เดี๋ยวกายก็หิว เดี๋ยวที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ เพียงแค่ระดับของสมมติก็ทำให้บริบูรณ์ คนทั่วไปไม่ค่อยจะสนใจ จะเอาแต่ปฏิบัติธรรมอย่างเดียว เอาอย่างโน้นอย่างนี้ ทั้งที่กายของเราก็ยังอาศัยสสมมติอยู่ เราต้องทำให้เพียบพร้อม ให้บริบูรณ์ ถึงจะไม่มีมากมาย เราก็ทำให้บริบูรณ์

ยิ่งมาอยู่ด้วยกันหลายคน ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบที่สูง เหมือนกับพ่อกับแม่เลี้ยงลูกนั่นแหล่ะ คอยดูแล กลัวลูกจะลำบาก คนไหนที่เคยเป็นพ่อเป็นแม่มาก่อนก็จะรู้ กลัวลูกเต้าจะลำบาก ถ้าลูกเต้าประพฤติปฏิบัติตัวไม่ดี พ่อแม่ก็ทุกข์ ทุกข์หนัก เสมือนกัน คล้ายๆ กัน แต่ในหลักธรรม ท่านให้ดูแลปกครองกันด้วยธรรม ด้วยสติ ด้วยปัญญา ไม่ให้ใจของเราเข้าไปหลง เข้าไปยึด เข้าไปหลงภายใน หลงความคิด หลงอารมณ์ แล้วก็ยึดภายนอก ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็เหมือนกับพ่อแม่ปกครองลูกโดยโลกๆ ในทางโลกๆ กลัวลูกจะลำบาก กลัวลูกจะไม่มีอยู่มีกิน ต้องขวนขวายแสวงหาทุกอย่าง สมัยก่อนจะระลึกนึกถึงคุณของพ่อของแม่ ว่าการเลี้ยงลูกเป็นอย่างนี้นี่เอง

พระเราก็มาอยู่ร่วมกันหลายๆ คน ก็ให้ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง ทั้งภายนอกภายใน อะไรพอทำได้ก็ทำ ช่วยกันได้ก็ช่วย ถ้าไม่มีอะไรทำ ก็ออกมาช่วยกันทำความสะอาดกุฏิวิหาร ที่พักที่อาศัย ตรงไหนที่ไม่ดี เราก็ช่วยกันทำ ตรงไหนที่ไม่สะอาด เราก็ต้องช่วยกันทำ ความสะอาด ความเป็นระเบียบนั่นแหล่ะคือข้อวัตร เป็นระเบียบภายนอก ภายในก็ค่อยจัดระบบระเบียบลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งความคิด อารมณ์ จนสติ สมาธิ ปัญญา นั่นแหล่ะคือศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ต้องไปพูดกันมากมาย ตั้งแต่เรื่องการอยู่ การขบการฉัน ใจเกิดความอยาก กายเกิดความหิว ไล่เรียบเรียงลงไป ความคิดอารมณ์ต่างๆ คนมีปัญญาฟังนิดเดียว

ว่างๆ ก็มาช่วยท่านอาจารย์นิยมทำพญานาคกัน มีความสุข อีกสักหน่อยก็จะได้เห็นน้ำพุน้ำตก น้ำพุก็เริ่มเปิดแล้วแหล่ะ น้ำพุ น้ำพุ่งน้ำผุด ทางวิหารก็จะได้เย็น อีกวันสองวันก็จะได้ขึ้นโครงหลังคา ให้ร่มรื่นร่มเย็น หน้าวิหาร ใครไปใครมาก็มีความสุข ญาติโยมมาเที่ยวมีความปีติ มีความสุข บุญก็เพิ่มขึ้นมาอีกนิดนึง เห็นตรงโน้นก็มีความสุข ตรงนี้ก็มีความสุข เข้ามาแล้วก็เหมือนกับเมืองสวรรค์

เรามาช่วยกันทำนั่นแหล่ะ แม้แต่ลูกเด็กเล็กแดงก็มีความสุข เข้ามาตัวเล็กๆ มาก็ไม่อยากจะกลับบ้าน มีความสุขกัน ลูกหลานมาก็ชวนพ่อชวนแม่ ชวนพี่ชวนน้อง คนไหนมีสติมีปัญญา มีศรัทธาแรงกล้า ก็รู้จักวิเคราะห์เดินปัญญา เอาได้หมด เก็บตั้งแต่บุญเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นไปจนหาบุญอันใหญ่ อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข ถ้าเราไม่ทำก็ไม่ได้ ช่วยกันทำ เป็นคนบอกง่าย ใช้ตัวเองให้เป็น ให้เชื่อฟัง เรามาอยู่ร่วมกันก็ให้เชื่อฟัง ถ้าบอกไม่ได้ ใช้ไม่ได้แล้วก็ไม่เกิดประโยชน์ เสียดายเวลาในการเข้ามาบวช เข้ามาฝึกฝนตนเอง

ใครว่างๆ พวกชีว่างๆ ก็ช่วยกันไปรดต้นไม้ให้หลวงพ่อหน่อย ไม่ว่าที่ไหน ทางสวนมะลิวัลย์ แล้วก็ทางบ่อน้ำด้วย อะไรที่มันเป็นต้นไม้ที่ไม่เอา เราก็พยายาม วัชพืชเราก็พยายามเอาออก เลี้ยงปีนี้ปีเดียว ปีหน้าเขาก็จะเลี้ยงตัวของเขาได้ ต่อไปข้างหน้าก็จะเป็นที่อาศัยร่มรื่นร่มเย็น ในจังหวัดขอนแก่นเทียบไม่ได้เลยแหล่ะ

หลวงพ่อเคยประกาศเอาไว้ ปรากฏเอาไว้ตั้งแต่หลวงพ่อเข้ามาอยู่วันแรก วันแรกก็โดนวิญญาณเจ้าหน้าที่เล่นงานหนัก หลวงพ่อก็ไม่สู้หรอก แผ่เมตตาให้ นักเลงเก่าเล่นงานหลวงพ่อตั้งเกือบค่อนคืน จนได้คลานออกไปเฉยๆ หลังจากนั้นมาก็ไม่เจอ ครั้งที่สองมาสว่างไปเต็มป่านี่แหล่ะ สว่างมองเห็นเหมือนกับกลางวันเลย นั่งสมาธิ ก็เลยมาวิเคราะห์พิจารณา เราจะมาสว่างรุ่งเรืองอยู่สถานที่แห่งนี้ สว่างรุ่งเรือง หลวงพ่อถือกลดเหมือนกับจะเหาะลอยออกไป ญาติโยมเต็มมารับ เราจะได้มาสว่าง เพียงแค่บวชไม่ถึงเดือนเลยนะที่มาอยู่ที่นี่

แล้วก็วันที่สามก็เห็นน้ำผุดขึ้นมา แต่ก่อนไม่ค่อยจะมีน้ำ ลำบาก ต้องมาอาศัยน้ำบ่อโรงเรียนบ้าง กลางทุ่งบ้าง เห็นน้ำผุดขึ้นมา ก็เอาไม้ไปปักเอาไว้ที่กุฏิหลวงพ่อเลย ได้เจาะน้ำบาดาลได้น้ำจืด ส่วนมากแถวนี้จะเจอแต่น้ำกร่อย ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงหมด ตั้งแต่หลวงพ่อเข้ามา จนกระทั่งถึงทุกวันนี้แหล่ะ

ช่วยกันดูแล สร้างให้เป็นแหล่งบุญใหญ่ของหมู่บ้าน ของตำบล ของจังหวัด เดี๋ยวนี้ก็เป็นของประเทศแล้วแหล่ะ ทางการท่องเที่ยวก็มาขออนุญาต ภาคอีสาน เป็นแหล่งหนึ่งที่จะมาในภาคอีสานของเรา ต่อไปเราก็ช่วยกันดูแลเอา เป็นทรัพย์สมบัติของทุกคน เป็นทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน พวกเรามีโอกาสได้มาอยู่ ก็มาสร้างมาสาน มาเสริมเติมให้เป็นกองบุญใหญ่ในวันข้างหน้า หลวงพ่อก็ทำเท่าที่กำลังกายของพ่ออำนวย แต่อยากทำให้ทุกคนได้มีความสุข ต่อไปก็คงจะให้ท่านเจ้าคุณนั่นแหละช่วยทำหน้าที่แทนในการพูด ในการจา สภาพร่างกายก็เหนื่อย จิตใจก็ล้า ก็จะให้ท่านเจ้าคุณเป็นคนแทนตอนเช้า

ญาติโยมทุกคนก็พยายามเจริญสติให้ต่อเนื่องกัน ถ้าเราเข้าใจ เราก็พยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ เรื่องการหายใจเข้าออก อานาปานสติ ซึ่งเราก็หายใจอยู่ทุกวัน แต่ขาดการทำความเข้าใจ สร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง ก็เลยไม่เข้าใจในเรื่องจิต ในเรื่องวิญญาณ ในเรื่องการแยกรูปแยกนาม

มีแต่วิ่งหาแสวงหา ตัวใจนั่นแหล่ะวิ่งหา แสวงหา ก็เลยไม่นิ่ง ก็เลยไม่สงบ ทั้งที่ใจก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น การเกิดของเขา ก็เขาหลงเกิด เกิดการปรุงการแต่ง ไม่ว่าจะเป็นกุศล หรือว่าอกุศล ความคิดต่างๆ เราต้องมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราถึงจะรู้เท่าทัน เรารู้ไม่เท่าทัน เราก็รู้จักควบคุม เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ รู้จักดับ รู้จักระงับ ด้วยการเจริญสติ อานาปานสติ หรือว่าสร้างความรู้สึกอยู่ที่การเดิน แล้วแต่อุบายของแต่ละบุคคล

ทุกอิริยาบถตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ก่อนที่จะลุกจากที่นั่ง ก่อนที่จะลุกจากที่นอน ความรู้ตัวตั้งมั่นขึ้น นิวรณ์ก็คลายไป ความรู้ตัวพลั้งเพ้อ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ อย่าไปเกียจคร้ายในการเจริญสติตัวนี้ สร้างความรู้ตัวแล้วก็ไปรู้เท่าทันจิต การก่อตัวของจิต ลักษณะของจิตที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของจิตที่ไม่เกิด มีความคิดแทรกขึ้นมาได้อย่างไร ตัวจิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ขณะที่เรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็นตรงนั้น ถ้าเราเห็นเมื่อไรเขาก็จะคลายออกจากกัน ไม่ใช่ว่าจะเห็นปุ๊บปั๊บ ทำไปเรื่อยๆ สร้างความรู้ตัวไปเรื่อยๆ ในทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย แต่เราอย่าไปทำด้วยความอยากของตัวจิต

เราพยายามสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ซึ่งเรียกว่า ‘สติ’ ถ้ารู้ได้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เพียงแค่สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง พวกเรายังทำกันไม่ได้เลย ภายใน 5 นาที 1 นาที เราหายใจเข้าหายใจออก 5 นาที 10 นาที 20 นาที เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี ก่อนที่จะเป็นมหาสติ มหาปัญญา เราต้องคลายจิตออกจากความหลง ตามทำความเข้าใจให้ได้ จนกำลังสติของเราเอาไว้ไม่อยู่นั่นแหล่ะ ค้นคว้าจนหมดความสงสัย เขาถึงจะหยุด

ไม่ใช่ว่าเขาจะแพ้ง่ายๆ เหมือนกันนะ กองอกุศลกับกองกุศล กำลังฝ่ายไหนจะแรง เราก็ต้องสร้างตบะบารมีของเรา ใจของเราเกิดความโลภก็พยายามละความโลภ เกิดความโกรธ เราก็ดับความโกรธ ให้อภัยทานอโหสิกรรม ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กิน ไม่เห็นแก่นอน ขยันหมั่นเพียรทุกอิริยาบถ ก็ต้องพยายามกันนะ ค่อยทำ ค่อยเป็น ค่อยไปกันเอา วันนี้เราทำได้เท่านี้ ความเพียรของเรามีเท่านี้ เราก็เพิ่มขึ้นไปอีกวันละนิดวันละหน่อย ถ้าเรามีความเพียรมากทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ไม่ให้คลาดสายตาของสติปัญญาของเราได้เลย จนรู้เห็นตามความเป็นจริง

การพูดง่าย แต่การกระทำมันยาก เพราะว่าคนเราสร้างอานิสงส์บารมีไม่เท่ากัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็มีศรัทธา แต่ขาดปัญญา บางคนก็เอาแต่ปัญญาของโลกๆ แต่ขาดศรัทธา เราต้องให้เพียบพร้อมหมดทั้งศรัทธา ทั้งปัญญา ให้ควบคู่ ให้เสมอภาคกัน ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าทำความเข้าใจได้ เขาก็จะเสมอภาค ทำงานพร้อมกัน สติ สมาธิ ปัญญา จิตรับรู้ อยู่ในความตั้งมั่น อยู่ในองค์สมาธิ อยู่ในความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นที่คลายออกจากขันธ์ห้า แล้วก็เดินปัญญา ละกิเลสหยาบละกิเลสละเอียด พวกนิวรณธรรมต่างๆ มลทินต่างๆ หลายชั้นมาปิดกั้น เราต้องแก้ไข แต่ก็ไม่เหลือวิสัยที่เราจะค้นหา ถ้าเราขยันหมั่นเพียร ก็ต้องพยายาม

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ถึงวางไม่ได้เด็ดขาด ก็ให้รู้จักความรู้ตัวให้ชัดเจน ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนนะ

ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง