หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 093

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 093
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 093
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุด เราละไม่ได้เด็ดขาด เราก็หยุดเอาไว้ ทำใจของเราให้สงบให้ต่อเนื่อง สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่ง อย่าไปจดจ่อ

การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นอุบาย เป็นอุบายทำใจของเราให้สงบ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ ความรู้ตัว เวลาลมหายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ มีความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’

เราพยายามสร้างขึ้นมา ความรู้ตัวตรงนี้ไม่มี เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ให้รู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ ให้รู้เท่าทันใจของตัวเราเอง เวลาใจเกิดเป็นอย่างไร เริ่มก่อตัวอย่างไร เราจะดับ เราจะหยุด ระงับยับยั้งใจของเราได้หรือไม่ ใจของเราเกิด ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ส่งออกมาทางกาย ทางวาจา ลึกลงไปแล้วก็อาการของใจกับตัวใจเขาร่วมกันได้อย่างไร เราหัดรู้ให้เท่าทัน

แต่เวลานี้การเจริญสติของเรามีน้อย ไม่ค่อยจะทำความเข้าใจกัน ไม่ค่อยจะสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง จะเอาแต่บุญ จะเอาแต่ธรรมอย่างเดียว จะเอาแต่ปัญญาอย่างเดียว ความคิดส่งออกไปภายนอกที่เกิดจากตัวใจ เกิดจากขันธ์ห้า ส่งออกไปภายนอก ทั้งที่รู้ เพราะว่าใจมันเป็นธาตุรู้ มันเกิดอยู่ หลงอยู่ เราต้องมาเจริญสติ มาสร้างผู้รู้ตัวใหม่เข้าไปวิเคราะห์ หาเหตุหาผลจนใจของเราคลายออกจากความคิด เขาเรียกว่า ‘คลายความหลง’

ตามทำความเข้าใจรอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในอารมณ์ แล้วก็ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในเรื่องคำว่า ‘อัตตา’ เป็นอย่างไร ‘อนัตตา’ เป็นอย่างไร ‘สมมติ’ เป็นอย่างไร ‘วิมุตติ’ เป็นอย่างไร ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ซอยละเอียดลงไปเรื่อยๆ จนกว่าใจของเราจะสะอาดบริสุทธิ์ดุจเดิมนั่นแหละ คือความไม่เกิด ความไม่เป็นทาสของอารมณ์ ความไม่เป็นทาสของกิเลส

แต่ในเวลานี้ใจของเราทั้งเกิดด้วย หลงด้วย สารพัดอย่าง เราต้องมาสะสาง มาแก้ไข มาปรับปรุงตัวเรา มาฝึกฝนตัวเราให้ได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ การสร้างความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ กายวิเวก ใจของเราวิเวกจากการเกิด วิเวกจากความคิด วิเวกจากอารมณ์ วิเวกจากความยึดมั่นถือมั่น เราต้องรู้ด้วย เห็นด้วย รู้ลักษณะของความว่าง ความปกติ

ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเรา ไม่มีใครจะแก้ไขตัวเราให้ได้เลย แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราต้องพิจารณา เราต้องสังเกต สังเกตแล้วก็พิจารณา อะไรคือส่วนสติ ส่วนปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ส่วนใจนั้นเขาเกิดอยู่แล้ว ความคิดก็มีอยู่แล้ว เรามาสร้างความรู้ตัวใหม่เข้าไปหาเหตุหาผล รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็รู้จักควบคุม ระงับยับยั้งเอาไว้ จนกำลังสติปัญญาของเรารู้เท่าทัน หาเหตุหาผลจนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้เมื่อไหร่นั่นแหละ เขาถึงจะยอมปล่อย ยอมวาง อยากจะวางเขาก็วางไม่ได้หรอก ถ้าเขาไม่รู้จุดปล่อยจุดวาง คือยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ได้เพียงแค่อด แค่ข่ม แค่ความสงบ

ถ้าใจของเราคลายออก แยกรูปแยกนามได้ ตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่องอีก ละกิเลสให้ได้ ดับความเกิดให้ได้หมดอีก ทุกเรื่องนั่นแหละ ต้องใช้ความเพียรอย่างยิ่งยวด ใช้ความเพียรอย่างต่อเนื่อง จนเป็นอัตโนมัติ จนหมดสิ่งที่จะค้นคว้านั่นแหละ เขาถึงจะหยุดได้ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง พยายามหมั่นสร้างอานิสงส์ สร้างบุญบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเราตลอดเวลา

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่น้อยๆ ไปหามากๆ ความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร ในระดับของสมมติ เพียงแค่ระดับของสมมติ เราก็พยายามทำให้ราบรื่น ไม่ต้องลำบาก ตื่นขึ้นมากายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือไม่ มีความเสียสละ มีความอดทน ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กินเห็นแก่นอน มีตั้งแต่ความเสียสละ คลายออกให้มันหมด อย่าให้ไปขังเอาไว้ในจิตใจของเรา

การทำบุญให้ทาน ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีอานิสงส์ ได้สร้างบุญบารมีกันมาดีถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เราก็พยายามศึกษาค้นคว้าให้ถึงจุดหมายปลายทาง แนวทางมีอยู่ คำสอนของพระพุทธองค์มีอยู่ สัจธรรมมีอยู่ ความจริงมีอยู่ วันนี้มี พรุ่งนี้มี เมื่อวานนี้มี พ่อแม่พี่น้องมีหมด ทุกคนเกิดมาด้วยแรงกรรม กุศลกรรม ในภพน้อยภพใหญ่ ภพภูมิต่างๆ เวลานี้เราเกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์

เราต้องพยายามศึกษาค้นคว้าในกายของเราให้ดี ว่ากายของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไร ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง เราจะบริหารกาย บริหารใจ บริหารภาระหน้าที่การงานสมมติของเราอย่างไรถึงจะอยู่ดีมีความสุข ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเรายังรู้กันไม่ชำนาญเลย ไม่เคยสังเกต สังเกตได้เป็นบางครั้งบางคราว เพียงแค่สติฝากไว้ที่กายของเรา สร้างขึ้นมาให้อยู่ที่กายของเรา อยู่กับลมหายใจ หรือว่าอยู่กับการเคลื่อนไหว ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ลึกลงไปรู้ใจ รู้ความปกติ รู้สงบ รู้การละกิเลสออกจากใจของเรา

บุคคลที่มีสติมีปัญญา ฟังนิดเดียวจะไปทำ ไปสร้างให้มีให้เกิดขึ้น ใจเราไม่สงบ เราก็พยายามฝึกหัดให้ใจของเราให้สงบ สติปัญญาไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอา ไปนึกไปคิด ไปอ่านไปฟัง อันนั้นเป็นแค่เพียงปัญญาของโลกียะ ปัญญาของโลกุตระเราต้องสร้างขึ้นมา เข้าไปทำความเข้าใจ รู้ด้วย เห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็ละได้ด้วย จากหยาบไปหาละเอียด จนมันไม่เหลือนั่นแหละ ก็ต้องพยายามกันนะ

ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง โอกาสเปิดให้กับทุกคน ที่นี้ความขยันหมั่นเพียรที่ถูกที่ถูกทาง เราจะสร้างขึ้นมาให้ได้หรือเปล่า เราก็ต้องพยายาม ญาติโยมที่มาอยู่ในวัดก็เหมือนกัน พยายามขยันหมั่นเพียร มีอะไรให้เราช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ ให้ได้อานิสงส์ให้มากมาย ใครไปใครมาก็จะได้มีความสุข

วันนี้พวกชีของเรา ว่างๆ ช่วงเย็นๆ บ่ายๆ พากันเอาต้นพวงโกเมนไปปลูกให้หลวงพ่อหน่อยนะ เอาไปปลูกแทนต้นเฟื่องฟ้าอยู่ที่ริมสวนมะลิวัลย์ ต่อไปในวันข้างหน้าจะได้มีที่ร่มรื่นร่มเย็น เฟื่องฟ้าเอาออกเสีย ต้นเล็กๆน้อยๆ เพราะว่าหนามมันเยอะ ถ้ามันโตขึ้นมาแล้วหนามเยอะมันลำบาก ก็เลยจะเปลี่ยนเป็นพวงโกเมน ช่วยกันปลูกแล้วก็รดน้ำ ไม่นาน ปีหน้าก็จะได้เห็นดอกเห็นผล ได้ความร่มรื่นร่มเย็น ใครไปใครมาก็จะได้มีความสุข

พระเราก็เหมือนกัน มีอะไรก็ให้ช่วยกัน ช่วยกันทำ ช่วยกันสร้าง ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ อย่าไปงอมืองอเท้า ให้ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็นแล้ว อยู่คนเดียวก็หนัก อยู่หลายคนก็หนัก หนักตัวเรา หนักคนอื่น หนักสถานที่ เราพยายามยังประโยชน์ให้เกิดขึ้น ประโยชน์สมมติเราทำให้ดี ก็ส่งผลถึงวิมุตติ ถึงด้านจิตใจของเรา

คนทั่วไปอยากจะได้แต่ธรรม แต่การกระทำมันไม่มี มันก็เลยยาก เราก็ต้องพยายามทำให้บริบูรณ์ ทั้งสมมติภายนอกก็บริบูรณ์ ทางด้านจิตใจ เราก็พยามหมั่นขัดเกลา หมั่นแก้ไข หมั่นปรับปรุง ได้บ้างไม่ได้บ้าง เราก็พยายามแก้ ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ เราย่อมจะถึงจุดหมายปลายทาง จนมีเครื่องตัดสินภายในของเราคือความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเอง เข้าข้างคนอื่น รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย นั่นแหละหมดความสงสัย หมดความลังเล มีตั้งแต่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง

ขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน พยายามทำขณะยังมีกำลังอยู่ ถ้าอายุมากขึ้น แก่ขึ้นมาแล้วก็ยากที่จะทำ ยากที่จะทำได้ อันนั้นก็เป็นอุปสรรค อันนี้ก็เป็นอุปสรรค เราทำตั้งแต่กำลังกายของเรายังมีอยู่นี่แหละ เราสลัดสละกิเลสออกตั้งแต่ยังเป็นเด็กนี่แหละ โตขึ้นไปก็จะได้มีแต่ความสุข ความสุขในโลกนี้ เรื่องโลกหน้า เราทำโลกนี้อยู่ให้ดี อนาคตก็จะออกมาดีเอง ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง