หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 091
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 091
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องสักพัก ตามความเป็นจริงเราต้องสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แล้วก็รู้ให้ตลอด อันนี้เป็นการย้ำ เป็นการเตือน เป็นการชี้แนะวิธี อุบายเท่านั้นเอง
พวกเราสร้างความรู้ตัวแล้วหรือยังตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3เที่ยว เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็พยายามศึกษา พยายามสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน หายใจอย่างไรถึงจะไม่อึดอัด หายใจอย่างไรถึงจะเป็นธรรมชาติ แล้วก็มีความรู้ตัวทั่วพร้อมให้ต่อเนื่อง
ถ้าความรู้สึกรับรู้ไม่ชัดเจน เราก็พยายามลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ นี้เป็นลักษณะของการสร้างความรู้สึกที่ชัดเจน แล้วเราก็ผ่อนลมหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด ถ้าความรู้สึกตัวเวลาหายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ เหมือนกับนายประตูทวารคอยดักอยู่ที่ทางเข้า เวลาลมหายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ เวลารถคันไหนวิ่งเข้าก็รู้ รถคันไหนวิ่งออกก็รู้ ถ้าเรารู้ได้ต่อเนื่อง
ในส่วนลึกๆ เวลาใจของเราจะเกิด เรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็น รู้ เรารู้อยู่เมื่อเขาเกิด แต่เราไม่เห็นขณะที่เขาเกิด เห็นอาการของเขาก่อตัวตรงนี้แหละสำคัญ อันนี้สำหรับตัวใจ เห็น รู้เป็นสองส่วน ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาในส่วนหนึ่ง ส่วนใจที่เขาก่อตัว เขาปรุงแต่งความคิด ส่งไปโน่นส่งไปนี่ อันนั้นเริ่มเห็นอีกเป็นส่วนหนึ่ง เป็นสองแล้ว ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องทุกเวลา เราอาจจะมีโอกาสได้รู้เท่าทันความคิดที่มันแทรกเข้ามาโดยที่เราไม่ตั้งใจคิด อยู่เฉยๆ ความคิดก็ผุดขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่ตัวใจ ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘อาการ’
อาการของใจ ตัวใจจริงๆ นั้นเขาจะก่อ เขาจะเกิด เคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิดตรงนี้ได้เร็วไวมากทีเดียว ถ้ากำลังความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่อง ยากที่จะเห็น เห็นเขาก่อ เห็นเข้าไปรวมกัน ส่วนมากเขารวมกันแล้ว เขาก็เคลื่อนเข้าไปรวมกันแล้ว เราถึงรู้ว่าเราคิด ก็เลยบางทีก็ส่งเสริมไปเลย บางทีก็หยุดไม่ได้ดับไม่ได้ เพราะว่ากำลังสติไม่เพียงพอ เพราะเราไม่ได้สร้างความเข้มแข็งตรงนี้ ก็เลยเอาทิฐิมานะ ความคิดที่เกิดจากวิญญาณ เกิดจากใจของเราเป็นหลัก อาจจะถูกบ้างผิดบ้าง ถูกอยู่ในระดับของสมมติ บางทีก็เป็นกุศล หรือว่าอกุศล สารพัดอย่าง
กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อาการของขันธ์ห้า หรือว่าความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเรา เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เพราะเขาอยู่รวมกันมานาน นอกจากบุคคลที่มีสติปัญญาหาเหตุหาผล ตามทำความเข้าใจ จนรู้แจ้งเห็นจริง จนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะยอมวาง กำลังสติปัญญาของเราต้องหาเหตุหาผลให้ชัดเจนมากทีเดียว
แต่เวลานี้กำลังสติของเราไม่ค่อยจะสนใจในการสร้างกัน ก็เลยยากที่จะเข้าถึงตรงนี้ การควบคุมใจอาจจะมีเป็นบางเรื่อง บางครั้งบางคราว การควบคุมอารมณ์ การควบคุมใจจะมีไม่ได้ต่อเนื่อง การทำความเข้าใจกับนิวรณธรรมเป็นอย่างไร ใจของเรามีความกังวล มีความลังเล มีความฟุ้งซ่าน ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเป็นอย่างไร ต้องทุกกระเบียดนิ้วเลยทีเดียวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ท่านถึงว่าทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก จะเป็นอัตโนมัติ จนตามทำความเข้าใจ จนเป็นมหาสติ มหาปัญญา ถึงจะเข้าถึงคำสอนของพระพุทธองค์ได้
เข้าใจในเรื่องขันธ์ห้าๆ มีอะไรบ้างที่ท่านเห็นว่าเป็นขันเป็นกอง ไม่ใช่ว่าดอกไม้ธูปเขียน 5 คู่เป็นขันธ์ห้า อันนั้นเป็นอุบาย เป็นการทรงเอาไว้ หรือเพื่อที่จะให้คนน้อมเข้าไปสำรวจให้ทั่วถึงในร่างกายของเรา เรามีขันธ์ห้ามีอยู่ห้ากอง กองวิญญาณซึ่งมาอาศัยอยู่ ตัววิญญาณ หรือว่าตัวใจมาอาศัยอยู่ เราต้องจำแนกแจกแจงให้ชัดเจน หลายเรื่อง ทุกเรื่องเลยตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเราหมดลมหายใจนั่นแหละคือการปฏิบัติ
ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เราก็จะอยู่กับสมมติอย่างมีความสุข อยู่กับวิมุตติอย่างมีความสุข ไม่หลงสมมติ สมมติไม่ทับถมดวงใจของตัวเรา อยู่กับสมมติ ใช้สมมติให้เกิดประโยชน์ หมดลมหายใจเมื่อไหร่นั่นแหละ เราถึงจะได้ทิ้งก้อนสมมติก้อนนี้ เรายังมีความยุ่งเกี่ยวกับโลกธรรมอีก โลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทาอีก กายทวารทั้งหกของเรายังทำหน้าที่อีก ตาก็ทำหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้ หูก็ทำหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ เราต้องจำแนกแจกแจง
ตัววิญญาณก็เป็นธาตุรู้ ให้เขารับรู้ไม่ให้เขาเกิดกิเลส ถ้าเราต้องการสิ่งไหนเอามาใช้ เราก็เอามาด้วยสติ เอามาด้วยปัญญา บริหารให้ถูกต้อง ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ขยันหมั่นเพียรทั้งภายนอกภายใน พูดง่ายนะ แต่การลงมือจริงๆ แล้วต้องขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ใจของเราเกิดกิเลส เกิดความโลภ เกิดความโกรธเกิดความทะเยอทะยานอยาก หรือว่าเกิดความกลัวหวั่นไหวผวาอย่างไร กิเลสมารต่างๆ เขามาหลอกได้อย่างไร เราต้องแก้ไข
ถ้าเรารู้แล้ว เห็นแล้ว ตามทำความเข้าใจได้แล้ว จะมีตั้งแต่ความสุข เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน เราก็รีบแก้ไขเสียให้มันดี เราก็จะอยู่อย่างมีความสงบ ความสุข ถึงเวลาเวลากายแตกดับเมื่อไหร่นั่นแหละ ถึงจะได้ทิ้งสมมติ วิญญาณก็จะได้พรากจากกาย ก็ต้องพยายามนะ อย่าพากันท้อแท้ อย่าพากันเกียจคร้าน ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี ต้องขยันหมั่นเพียร ยังความรับผิดชอบ ความเสียสละให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา เราไม่ถึงวันนี้ เราก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ตราบใดที่เรายังศึกษายังค้นคว้าอยู่ ตราบใดที่เรายังละกิเลสอยู่ ละให้ถึงจุดหมายปลายทาง
ไปอยู่ที่ไหน สำนักไหน ถ้าครูบาอาจารย์ท่านให้เจริญสติ เรารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว พยายามทำ อย่าว่าไม่ทำ แล้วก็ไปสานต่อที่บ้าน ตื่นขึ้นมาจะลุกทำกับข้าวกับปลา เข้าห้องส้วมห้องน้ำ ใจของเราเป็นยังไง สติปัญญาของเราพากายทำโน่นทำนี่ จนสติปัญญาของเราเต็มรอบ จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องปัญญา
ในส่วนลึกๆ ใจกับความคิดกับอารมณ์ ซึ่งเป็นนามธรรม เราต้องแยกแยะให้ได้ ให้รู้ ให้เท่าทัน ให้เห็นตรงนั้น เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ มองเห็นแนวทางทันที ทีนี้เราจะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
พวกเราสร้างความรู้ตัวแล้วหรือยังตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3เที่ยว เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็พยายามศึกษา พยายามสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน หายใจอย่างไรถึงจะไม่อึดอัด หายใจอย่างไรถึงจะเป็นธรรมชาติ แล้วก็มีความรู้ตัวทั่วพร้อมให้ต่อเนื่อง
ถ้าความรู้สึกรับรู้ไม่ชัดเจน เราก็พยายามลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ นี้เป็นลักษณะของการสร้างความรู้สึกที่ชัดเจน แล้วเราก็ผ่อนลมหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด ถ้าความรู้สึกตัวเวลาหายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ เหมือนกับนายประตูทวารคอยดักอยู่ที่ทางเข้า เวลาลมหายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ เวลารถคันไหนวิ่งเข้าก็รู้ รถคันไหนวิ่งออกก็รู้ ถ้าเรารู้ได้ต่อเนื่อง
ในส่วนลึกๆ เวลาใจของเราจะเกิด เรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็น รู้ เรารู้อยู่เมื่อเขาเกิด แต่เราไม่เห็นขณะที่เขาเกิด เห็นอาการของเขาก่อตัวตรงนี้แหละสำคัญ อันนี้สำหรับตัวใจ เห็น รู้เป็นสองส่วน ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาในส่วนหนึ่ง ส่วนใจที่เขาก่อตัว เขาปรุงแต่งความคิด ส่งไปโน่นส่งไปนี่ อันนั้นเริ่มเห็นอีกเป็นส่วนหนึ่ง เป็นสองแล้ว ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องทุกเวลา เราอาจจะมีโอกาสได้รู้เท่าทันความคิดที่มันแทรกเข้ามาโดยที่เราไม่ตั้งใจคิด อยู่เฉยๆ ความคิดก็ผุดขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่ตัวใจ ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘อาการ’
อาการของใจ ตัวใจจริงๆ นั้นเขาจะก่อ เขาจะเกิด เคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิดตรงนี้ได้เร็วไวมากทีเดียว ถ้ากำลังความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่อง ยากที่จะเห็น เห็นเขาก่อ เห็นเข้าไปรวมกัน ส่วนมากเขารวมกันแล้ว เขาก็เคลื่อนเข้าไปรวมกันแล้ว เราถึงรู้ว่าเราคิด ก็เลยบางทีก็ส่งเสริมไปเลย บางทีก็หยุดไม่ได้ดับไม่ได้ เพราะว่ากำลังสติไม่เพียงพอ เพราะเราไม่ได้สร้างความเข้มแข็งตรงนี้ ก็เลยเอาทิฐิมานะ ความคิดที่เกิดจากวิญญาณ เกิดจากใจของเราเป็นหลัก อาจจะถูกบ้างผิดบ้าง ถูกอยู่ในระดับของสมมติ บางทีก็เป็นกุศล หรือว่าอกุศล สารพัดอย่าง
กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อาการของขันธ์ห้า หรือว่าความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเรา เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เพราะเขาอยู่รวมกันมานาน นอกจากบุคคลที่มีสติปัญญาหาเหตุหาผล ตามทำความเข้าใจ จนรู้แจ้งเห็นจริง จนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะยอมวาง กำลังสติปัญญาของเราต้องหาเหตุหาผลให้ชัดเจนมากทีเดียว
แต่เวลานี้กำลังสติของเราไม่ค่อยจะสนใจในการสร้างกัน ก็เลยยากที่จะเข้าถึงตรงนี้ การควบคุมใจอาจจะมีเป็นบางเรื่อง บางครั้งบางคราว การควบคุมอารมณ์ การควบคุมใจจะมีไม่ได้ต่อเนื่อง การทำความเข้าใจกับนิวรณธรรมเป็นอย่างไร ใจของเรามีความกังวล มีความลังเล มีความฟุ้งซ่าน ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเป็นอย่างไร ต้องทุกกระเบียดนิ้วเลยทีเดียวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ท่านถึงว่าทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก จะเป็นอัตโนมัติ จนตามทำความเข้าใจ จนเป็นมหาสติ มหาปัญญา ถึงจะเข้าถึงคำสอนของพระพุทธองค์ได้
เข้าใจในเรื่องขันธ์ห้าๆ มีอะไรบ้างที่ท่านเห็นว่าเป็นขันเป็นกอง ไม่ใช่ว่าดอกไม้ธูปเขียน 5 คู่เป็นขันธ์ห้า อันนั้นเป็นอุบาย เป็นการทรงเอาไว้ หรือเพื่อที่จะให้คนน้อมเข้าไปสำรวจให้ทั่วถึงในร่างกายของเรา เรามีขันธ์ห้ามีอยู่ห้ากอง กองวิญญาณซึ่งมาอาศัยอยู่ ตัววิญญาณ หรือว่าตัวใจมาอาศัยอยู่ เราต้องจำแนกแจกแจงให้ชัดเจน หลายเรื่อง ทุกเรื่องเลยตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเราหมดลมหายใจนั่นแหละคือการปฏิบัติ
ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เราก็จะอยู่กับสมมติอย่างมีความสุข อยู่กับวิมุตติอย่างมีความสุข ไม่หลงสมมติ สมมติไม่ทับถมดวงใจของตัวเรา อยู่กับสมมติ ใช้สมมติให้เกิดประโยชน์ หมดลมหายใจเมื่อไหร่นั่นแหละ เราถึงจะได้ทิ้งก้อนสมมติก้อนนี้ เรายังมีความยุ่งเกี่ยวกับโลกธรรมอีก โลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทาอีก กายทวารทั้งหกของเรายังทำหน้าที่อีก ตาก็ทำหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้ หูก็ทำหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ เราต้องจำแนกแจกแจง
ตัววิญญาณก็เป็นธาตุรู้ ให้เขารับรู้ไม่ให้เขาเกิดกิเลส ถ้าเราต้องการสิ่งไหนเอามาใช้ เราก็เอามาด้วยสติ เอามาด้วยปัญญา บริหารให้ถูกต้อง ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ขยันหมั่นเพียรทั้งภายนอกภายใน พูดง่ายนะ แต่การลงมือจริงๆ แล้วต้องขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ใจของเราเกิดกิเลส เกิดความโลภ เกิดความโกรธเกิดความทะเยอทะยานอยาก หรือว่าเกิดความกลัวหวั่นไหวผวาอย่างไร กิเลสมารต่างๆ เขามาหลอกได้อย่างไร เราต้องแก้ไข
ถ้าเรารู้แล้ว เห็นแล้ว ตามทำความเข้าใจได้แล้ว จะมีตั้งแต่ความสุข เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน เราก็รีบแก้ไขเสียให้มันดี เราก็จะอยู่อย่างมีความสงบ ความสุข ถึงเวลาเวลากายแตกดับเมื่อไหร่นั่นแหละ ถึงจะได้ทิ้งสมมติ วิญญาณก็จะได้พรากจากกาย ก็ต้องพยายามนะ อย่าพากันท้อแท้ อย่าพากันเกียจคร้าน ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี ต้องขยันหมั่นเพียร ยังความรับผิดชอบ ความเสียสละให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา เราไม่ถึงวันนี้ เราก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ตราบใดที่เรายังศึกษายังค้นคว้าอยู่ ตราบใดที่เรายังละกิเลสอยู่ ละให้ถึงจุดหมายปลายทาง
ไปอยู่ที่ไหน สำนักไหน ถ้าครูบาอาจารย์ท่านให้เจริญสติ เรารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว พยายามทำ อย่าว่าไม่ทำ แล้วก็ไปสานต่อที่บ้าน ตื่นขึ้นมาจะลุกทำกับข้าวกับปลา เข้าห้องส้วมห้องน้ำ ใจของเราเป็นยังไง สติปัญญาของเราพากายทำโน่นทำนี่ จนสติปัญญาของเราเต็มรอบ จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องปัญญา
ในส่วนลึกๆ ใจกับความคิดกับอารมณ์ ซึ่งเป็นนามธรรม เราต้องแยกแยะให้ได้ ให้รู้ ให้เท่าทัน ให้เห็นตรงนั้น เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ มองเห็นแนวทางทันที ทีนี้เราจะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ