หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 076
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 076
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ก่อนที่จะถึงวันงานกฐิน ก็ใกล้เข้ามาก็เหลืออีก 4-5 วัน วันที่ 23 23 ตุลา ปีนี้กฐินสามัคคี ใครหลุดรอดมาได้ก็นับว่าอานิสงส์ใหญ่ ทางเจ้าภาพน้ำท่วมกันเต็มไปหมด วันนั้นก็ให้หลุดรอดมาก็ดี ก็เป็นอานิสงส์ใหญ่ ก็บอกประกาศกันทุกคนว่าถ้าน้ำท่วมมาก็อย่าไปกังวลเรื่องกฐิน ให้แก้ไขบ้านช่องให้ดี หลายคนก็น้ำท่วม เจ้าภาพกฐินใหญ่ก็น้ำท่วม ก็เลยว่าไม่จำเป็น เอากฐินสามัคคี ใครมีใครมายังไงก็เอาอย่างนั้น ทำกันให้ผ่านพ้นเหตุการณ์ต่างๆ นี้ไป กฐินใครหลุดรอดมาก็นับว่าบนรถ บนเรือ ละงานนี้
ให้พากันทำความสะอาด อย่าไปงอมืองอเท้า ถ้าความเสียสละไม่มี ความรับผิดชอบไม่มี เพียงแค่ขั้นพื้นฐานในการปฏิบัติ จะไปได้ธรรมขั้นสูงได้อย่างไร ความเสียสละ ความอดทน การกระทำก็ต้องถึงพร้อม จะเอาแต่ธรรม แต่ความเสียสละไม่มี มีแต่ความเกียจคร้าน อันโน้นก็ทำไมเป็น อันนี้ก็ทำไมเป็น จะเดินปัญญาละกิเลสได้อย่างไร ต้องให้เพียบพร้อมทั้งภายนอกทั้งภายใน พากันช่วยกันทำ อะไรพอช่วยกันได้ก็ช่วย
บวชเข้ามาแล้วกลับมาสร้างประโยชน์ต่อส่วนตน ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ต่อส่วนรวม ไปที่ไหนเราก็จะมีแต่ความสุข ไปที่อื่นก็มีคนทำเอาไว้ให้ ถ้าเราไม่มีความเสียสละ ไปที่ไหนก็เจอกันแต่คนที่ไม่มีความเสียสละ ก็ลำบาก บารมีไม่มีเพียงพอก็ลำบาก สมัยก่อนแม้แต่ครั้งพระพุทธกาลก็ยังมีประวัติของพระ แม้แต่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ข้าวจะขบจะฉันก็แทบจะไม่มี เพราะว่าไม่เคยให้ทานมาก่อน จะเอาแต่ปัญญาอย่างเดียว บางองค์บางท่านก็ได้ทั้งพระอรหันต์ ได้ทั้งอานิสงส์บุญบารมี
บารมี ทานบารมีที่สร้างสะสมมาตั้งแต่เกิดอยู่ในท้องแม่ก็ได้สร้างทานแล้ว คือพระสีวลีเป็นผู้เลิศในเอกลักษณ์ เพราะว่าท่านให้ทานตั้งแต่อยู่ในท้อง ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ก็ดลบันดาลให้แม่ต้องอยากให้ทาน แม่ก็บริจาคทานทุกอย่างตั้งแต่ยังไม่เกิด พอเกิดมาก็ให้ทานใหญ่ พอออกบวชไปที่ไหนก็ไม่อดไม่อยาก ไปที่ไหนถึงถิ่นทุรกันดาร พระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นร้อยเป็นพันก็ได้อาศัยอานิสงส์ผลทานบารมีของพระสิวลี ที่เป็นรูปปั้นยืนแบกบาตรหรือกลดเดินอยู่ตรงนั้นแหละ นั่นแหละรูปปั้นนึกถึงคุณของท่าน
คนที่ไม่เคยให้ทาน แม้แต่สำเร็จเป็นเพราะอรหันต์จนกระทั่งถึงวันจะตาย พระสารีบุตรไปบิณฑบาตอยากจะให้ทานอาหารให้ดีๆ กลับมาก็ขนาดเอาไปส่งก็ยังไม่ได้ทาน อดๆ อยากๆ เพราะไม่เคยให้ทานมาก่อน นี่แหละเราต้องให้เพียบพร้อม พร้อมมูล ทั้งความเสียสละ ทั้งความอดทนอดกลั้น เป็นการสร้างตบะสร้างบาร เขาเรียกว่า ‘ขันติ’ อดทนอดกลั้นจากเหตุการณ์จากข้างนอก อด ดับ อดทนอดกลั้นจากภายใน แล้วก็รู้จักเจริญพรหมวิหาร มีความเสียสละ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตรงไหนไม่ดี เราก็รีบทำให้มันดีเสีย มันก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว ทำให้มันถูกต้อง
อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ไม่ใช่ว่าบวชเข้ามา ปลงผมเข้ามาแล้วก็ได้บุญ อันนี้ก็ได้บุญอยู่ แต่มันได้บุญอยู่ในระดับวางภาระหน้าที่ต่างๆ ที่นี้เราก็มาขัดเกลาตัวเราเอง มาสร้างความรับผิดชอบ ความเสียสละ ความอดทน สารพัดอย่าง กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางได้ กว่าจะเข้าใจได้ ความเสียสละเป็นอย่างไร การเจริญสติเป็นอย่างไร การดับ การละเป็นอย่างไร เรามาช่วยกันทุกคน
เรามาอาศัยแผ่นดินนี้อยู่ อาศัยสมมติอยู่ ไม่ใช่เป็นของคนใดคนหนึ่ง เรามาอาศัยอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ เราก็พยายามสร้างประโยชน์ให้กับสถานที่ ที่มีให้เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าอยากจะอยู่สถานที่แต่ดีๆ อะไรก็ทำไม่เป็น อยากจะอยู่ตั้งแต่ดีๆ แต่ความเสียสละ การกระทำไม่มี มันก็ยาก ในสิ่งที่พวกเราได้อยู่ดีมีความสุข ก็เพราะว่าคนรุ่นก่อนได้ทำเอาไว้มาให้ เราก็มาสร้างมาสานต่อ คนรุ่นโน้นบ้าง รุ่นนี้บ้าง สร้างเอาไว้ ทำเอาไว้ให้น่าอยู่นาอาศัยน่ารื่นรมย์ เราก็มาสร้างมาสานต่อ ไม่ใช่ว่ามาทำลาย
เราก็ต้องพยายาม รู้จักขยันหมั่นเพียร สำรวมกายของเรา สำรวมวาจาของเรา สำรวมใจของเรา ทุกเรื่อง นั่นแหล่ะคือการปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเอง ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เก้อไม่เขิน จะเอาแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักธรรม เอาแต่งอมืองอเท้า เอาแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไปอยู่ที่ไหนจะมีความเจริญได้อย่างไร แม้แต่จะออกไปเป็นฆราวาส ก็ยากที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องบอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
ยิ่งมาอยู่ร่วมกันมากๆ เยอะๆ ก็ยิ่งพยายามเพิ่มความเพียร เพิ่มความเสียสละให้มากๆ ขึ้น แล้วก็รู้จักสร้างประโยชน์ สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ตราบใดที่เรายังเดินปัญญาขั้นสูง ละไม่ได้เด็ดขาด เราก็พยายามสร้างเข้าพกเข้าห่อของเราให้เต็มเปี่ยม เพื่อที่เตรียมเสบียงเดินทางให้ถึงจุดหมายคือความหลุดพ้น ต้องพยายามกันนะ
ทั้งพระเราทั้งชีเรา อย่าพากันงอมืองอเท้า อย่าพากันเกียจคร้าน พระหนุ่มๆ พวกเรา ให้ผู้เฒ่าผู้แก่ได้พักผ่อน มีอะไรก็ช่วยกัน ได้ผู้เฒ่าผู้แก่มาอยู่ด้วย ก็เหมือนกับพ่อกับแม่หรือคอยดูแล คนหนุ่มๆเรามีอะไรก็ช่วยกันทันที
ตั้งใจรับพร
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา อันนี้เป็นการสร้างความรู้ตัว หรือว่าสร้างสติ รู้ตัวขณะหายใจเข้าหายใจออก เขาเรียกว่า ‘รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ
หลวงพ่อเป็นแค่เพียงผู้พูด ผู้ชี้ผู้แนะ พวกท่านจงพยายามทำตาม การหายใจเข้าเป็นลักษณะอย่างนี้ มีความรู้สึกรับรู้เวลาหายใจเข้าหายใจออก ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเรารู้สร้างความรู้ตัวนี้ได้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ถ้ายัง สร้างความรู้สึกตรงนี้ไม่ต่อเนื่อง ก็ยากที่จะเข้าใจในเรื่องจิต ในเรื่องความคิด ในเรื่องการแยกรูปแยกนาม เรื่องของหลักอริยสัจ ไม่เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ตราบใดที่เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำกันไม่ค่อยจะได้กันเท่าไหร่
ส่วนทานบุญนั้น ตัวใจนั้นทุกคนก็เป็นบุญ ฝักใฝ่ในบุญ อยากจะได้บุญ อยากจะทำบุญ ก็เป็นพื้นทานบารมีเป็นอย่างดี แต่ความรู้ตัวเราต้องมาสร้างขึ้นมา สติไม่มี ต้องสร้างขึ้นมา เรารู้ไม่เท่าทันจิต เราก็รู้จักควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์ จนกว่ากำลังสติของเราจะต่อเนื่องเป็นมหาสติ รู้ วิเคราะห์ ใจคลายออกจากอาการของใจ
จิตว่าง ใจว่าง กายเบา เข้าใจในเรื่องอัตตา และเข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในภาษาสมมติ ภาษาวิมุตติ เข้าใจในหลักธรรม รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมดจด ถึงละไม่ได้หมด เราก็ต้องพยายามละ ถึงจะได้ไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราพยายาม อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
สิ่งพวกนี้จะไปบังคับกันไม่ได้เลย นอกจากเกิดมาด้วยแรงบุญแรงศรัทธา ที่จะฝักใฝ่ ที่จะสนใจ ที่เราไม่เข้าใจ ก็ต้องดิ้นรนแสวงหาแนวทาง ไปที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง สารพัดอย่าง ถ้าเราเข้าใจวิธีแล้ว การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การควบคุมจิต การดับ การละ การสังเกต จนกว่าวาระเวลากำลังสติของเรามีเพียงพอ รู้เท่าทันการเกิดของจิต ของขันธ์ห้า จนจิตคลายออกจากขันธ์ห้าได้เมื่อไหร่ ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะมองเห็นทางสัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ทันที เพียงแค่เปิดทาง เพียงแค่เริ่มต้น การตามทำความเข้าใจทุกๆ ขณะทุกเวลาอีก ต้องตามมาอย่างเข้มงวดอีก ถ้าพลั้งเผลอ ก็ซึมเข้าไปสภาพเดิมอีก
เราต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ เป็นบุคคลที่ขัดเกลาตัวเองจริงๆ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา อยากคิด อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากสารพัดอย่าง มันก็ปิดกั้นตัวเองเอาไว้ ตัววิญญาณตัวจิต เราก็ต้องพยายามดู รู้ลักษณะให้ชัดเจน ได้มากได้น้อย ก็ต้องพยายามกันนะ
ไม่ว่าพระใหม่ ไม่ว่าพระเก่า ไม่ว่าชี พยายามเพิ่มความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบให้มีให้เกิดขึ้น จะได้สร้างสานต่อ ในเมื่อเราออกไปภายนอก เรามีโอกาสเข้ามาบวชก็มาสำรวจตรวจตราตัวเรา ความรับผิดชอบเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความขยันหมั่นเพียร เรามาสร้างอานิสงค์บารมีของเรา เพื่อที่จะไต่เต้าขึ้นไป เดินปัญญาแยกรูปแยกนาม วิปัสสนา ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด
เพียงแค่การเริ่มต้นในระดับของสมมติ พวกเราก็มาศึกษาตัวเรา มาเปลี่ยนพฤติกรรมของเรา ว่าเรามีความเกียจคร้าน เราเคยเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน เพิ่มความขยันหมั่นเพียร เราไม่มีความรับผิดชอบ เราก็เพิ่มความรับผิดชอบ กินน้อยนอนน้อย ปฏิบัติให้มากๆ สังเกต วิเคราะห์ ขัดเกลาตัวเราเองให้มากๆ มาสร้างอานิสงส์ สร้างบุญสร้างบารมี สร้างประโยชน์ให้มีให้เกิดขึ้น ถ้าถึงวาระเวลาแล้ว จะเอาเชือกผูกมัดเอาไว้ก็ต้องเข้าใจในธรรม ถ้าอานิสงค์บุญบารมีของเรามีเต็มเปี่ยม ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดละไม่ได้เด็ดขาด อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจเอานะ ได้เท่าไรก็เอา
ให้พากันทำความสะอาด อย่าไปงอมืองอเท้า ถ้าความเสียสละไม่มี ความรับผิดชอบไม่มี เพียงแค่ขั้นพื้นฐานในการปฏิบัติ จะไปได้ธรรมขั้นสูงได้อย่างไร ความเสียสละ ความอดทน การกระทำก็ต้องถึงพร้อม จะเอาแต่ธรรม แต่ความเสียสละไม่มี มีแต่ความเกียจคร้าน อันโน้นก็ทำไมเป็น อันนี้ก็ทำไมเป็น จะเดินปัญญาละกิเลสได้อย่างไร ต้องให้เพียบพร้อมทั้งภายนอกทั้งภายใน พากันช่วยกันทำ อะไรพอช่วยกันได้ก็ช่วย
บวชเข้ามาแล้วกลับมาสร้างประโยชน์ต่อส่วนตน ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ต่อส่วนรวม ไปที่ไหนเราก็จะมีแต่ความสุข ไปที่อื่นก็มีคนทำเอาไว้ให้ ถ้าเราไม่มีความเสียสละ ไปที่ไหนก็เจอกันแต่คนที่ไม่มีความเสียสละ ก็ลำบาก บารมีไม่มีเพียงพอก็ลำบาก สมัยก่อนแม้แต่ครั้งพระพุทธกาลก็ยังมีประวัติของพระ แม้แต่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ข้าวจะขบจะฉันก็แทบจะไม่มี เพราะว่าไม่เคยให้ทานมาก่อน จะเอาแต่ปัญญาอย่างเดียว บางองค์บางท่านก็ได้ทั้งพระอรหันต์ ได้ทั้งอานิสงส์บุญบารมี
บารมี ทานบารมีที่สร้างสะสมมาตั้งแต่เกิดอยู่ในท้องแม่ก็ได้สร้างทานแล้ว คือพระสีวลีเป็นผู้เลิศในเอกลักษณ์ เพราะว่าท่านให้ทานตั้งแต่อยู่ในท้อง ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ก็ดลบันดาลให้แม่ต้องอยากให้ทาน แม่ก็บริจาคทานทุกอย่างตั้งแต่ยังไม่เกิด พอเกิดมาก็ให้ทานใหญ่ พอออกบวชไปที่ไหนก็ไม่อดไม่อยาก ไปที่ไหนถึงถิ่นทุรกันดาร พระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นร้อยเป็นพันก็ได้อาศัยอานิสงส์ผลทานบารมีของพระสิวลี ที่เป็นรูปปั้นยืนแบกบาตรหรือกลดเดินอยู่ตรงนั้นแหละ นั่นแหละรูปปั้นนึกถึงคุณของท่าน
คนที่ไม่เคยให้ทาน แม้แต่สำเร็จเป็นเพราะอรหันต์จนกระทั่งถึงวันจะตาย พระสารีบุตรไปบิณฑบาตอยากจะให้ทานอาหารให้ดีๆ กลับมาก็ขนาดเอาไปส่งก็ยังไม่ได้ทาน อดๆ อยากๆ เพราะไม่เคยให้ทานมาก่อน นี่แหละเราต้องให้เพียบพร้อม พร้อมมูล ทั้งความเสียสละ ทั้งความอดทนอดกลั้น เป็นการสร้างตบะสร้างบาร เขาเรียกว่า ‘ขันติ’ อดทนอดกลั้นจากเหตุการณ์จากข้างนอก อด ดับ อดทนอดกลั้นจากภายใน แล้วก็รู้จักเจริญพรหมวิหาร มีความเสียสละ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตรงไหนไม่ดี เราก็รีบทำให้มันดีเสีย มันก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว ทำให้มันถูกต้อง
อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ไม่ใช่ว่าบวชเข้ามา ปลงผมเข้ามาแล้วก็ได้บุญ อันนี้ก็ได้บุญอยู่ แต่มันได้บุญอยู่ในระดับวางภาระหน้าที่ต่างๆ ที่นี้เราก็มาขัดเกลาตัวเราเอง มาสร้างความรับผิดชอบ ความเสียสละ ความอดทน สารพัดอย่าง กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางได้ กว่าจะเข้าใจได้ ความเสียสละเป็นอย่างไร การเจริญสติเป็นอย่างไร การดับ การละเป็นอย่างไร เรามาช่วยกันทุกคน
เรามาอาศัยแผ่นดินนี้อยู่ อาศัยสมมติอยู่ ไม่ใช่เป็นของคนใดคนหนึ่ง เรามาอาศัยอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ เราก็พยายามสร้างประโยชน์ให้กับสถานที่ ที่มีให้เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าอยากจะอยู่สถานที่แต่ดีๆ อะไรก็ทำไม่เป็น อยากจะอยู่ตั้งแต่ดีๆ แต่ความเสียสละ การกระทำไม่มี มันก็ยาก ในสิ่งที่พวกเราได้อยู่ดีมีความสุข ก็เพราะว่าคนรุ่นก่อนได้ทำเอาไว้มาให้ เราก็มาสร้างมาสานต่อ คนรุ่นโน้นบ้าง รุ่นนี้บ้าง สร้างเอาไว้ ทำเอาไว้ให้น่าอยู่นาอาศัยน่ารื่นรมย์ เราก็มาสร้างมาสานต่อ ไม่ใช่ว่ามาทำลาย
เราก็ต้องพยายาม รู้จักขยันหมั่นเพียร สำรวมกายของเรา สำรวมวาจาของเรา สำรวมใจของเรา ทุกเรื่อง นั่นแหล่ะคือการปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเอง ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เก้อไม่เขิน จะเอาแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักธรรม เอาแต่งอมืองอเท้า เอาแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไปอยู่ที่ไหนจะมีความเจริญได้อย่างไร แม้แต่จะออกไปเป็นฆราวาส ก็ยากที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องบอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
ยิ่งมาอยู่ร่วมกันมากๆ เยอะๆ ก็ยิ่งพยายามเพิ่มความเพียร เพิ่มความเสียสละให้มากๆ ขึ้น แล้วก็รู้จักสร้างประโยชน์ สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ตราบใดที่เรายังเดินปัญญาขั้นสูง ละไม่ได้เด็ดขาด เราก็พยายามสร้างเข้าพกเข้าห่อของเราให้เต็มเปี่ยม เพื่อที่เตรียมเสบียงเดินทางให้ถึงจุดหมายคือความหลุดพ้น ต้องพยายามกันนะ
ทั้งพระเราทั้งชีเรา อย่าพากันงอมืองอเท้า อย่าพากันเกียจคร้าน พระหนุ่มๆ พวกเรา ให้ผู้เฒ่าผู้แก่ได้พักผ่อน มีอะไรก็ช่วยกัน ได้ผู้เฒ่าผู้แก่มาอยู่ด้วย ก็เหมือนกับพ่อกับแม่หรือคอยดูแล คนหนุ่มๆเรามีอะไรก็ช่วยกันทันที
ตั้งใจรับพร
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา อันนี้เป็นการสร้างความรู้ตัว หรือว่าสร้างสติ รู้ตัวขณะหายใจเข้าหายใจออก เขาเรียกว่า ‘รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ
หลวงพ่อเป็นแค่เพียงผู้พูด ผู้ชี้ผู้แนะ พวกท่านจงพยายามทำตาม การหายใจเข้าเป็นลักษณะอย่างนี้ มีความรู้สึกรับรู้เวลาหายใจเข้าหายใจออก ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเรารู้สร้างความรู้ตัวนี้ได้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ถ้ายัง สร้างความรู้สึกตรงนี้ไม่ต่อเนื่อง ก็ยากที่จะเข้าใจในเรื่องจิต ในเรื่องความคิด ในเรื่องการแยกรูปแยกนาม เรื่องของหลักอริยสัจ ไม่เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ตราบใดที่เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำกันไม่ค่อยจะได้กันเท่าไหร่
ส่วนทานบุญนั้น ตัวใจนั้นทุกคนก็เป็นบุญ ฝักใฝ่ในบุญ อยากจะได้บุญ อยากจะทำบุญ ก็เป็นพื้นทานบารมีเป็นอย่างดี แต่ความรู้ตัวเราต้องมาสร้างขึ้นมา สติไม่มี ต้องสร้างขึ้นมา เรารู้ไม่เท่าทันจิต เราก็รู้จักควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์ จนกว่ากำลังสติของเราจะต่อเนื่องเป็นมหาสติ รู้ วิเคราะห์ ใจคลายออกจากอาการของใจ
จิตว่าง ใจว่าง กายเบา เข้าใจในเรื่องอัตตา และเข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในภาษาสมมติ ภาษาวิมุตติ เข้าใจในหลักธรรม รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมดจด ถึงละไม่ได้หมด เราก็ต้องพยายามละ ถึงจะได้ไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราพยายาม อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
สิ่งพวกนี้จะไปบังคับกันไม่ได้เลย นอกจากเกิดมาด้วยแรงบุญแรงศรัทธา ที่จะฝักใฝ่ ที่จะสนใจ ที่เราไม่เข้าใจ ก็ต้องดิ้นรนแสวงหาแนวทาง ไปที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง สารพัดอย่าง ถ้าเราเข้าใจวิธีแล้ว การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การควบคุมจิต การดับ การละ การสังเกต จนกว่าวาระเวลากำลังสติของเรามีเพียงพอ รู้เท่าทันการเกิดของจิต ของขันธ์ห้า จนจิตคลายออกจากขันธ์ห้าได้เมื่อไหร่ ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะมองเห็นทางสัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ทันที เพียงแค่เปิดทาง เพียงแค่เริ่มต้น การตามทำความเข้าใจทุกๆ ขณะทุกเวลาอีก ต้องตามมาอย่างเข้มงวดอีก ถ้าพลั้งเผลอ ก็ซึมเข้าไปสภาพเดิมอีก
เราต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ เป็นบุคคลที่ขัดเกลาตัวเองจริงๆ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา อยากคิด อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากสารพัดอย่าง มันก็ปิดกั้นตัวเองเอาไว้ ตัววิญญาณตัวจิต เราก็ต้องพยายามดู รู้ลักษณะให้ชัดเจน ได้มากได้น้อย ก็ต้องพยายามกันนะ
ไม่ว่าพระใหม่ ไม่ว่าพระเก่า ไม่ว่าชี พยายามเพิ่มความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบให้มีให้เกิดขึ้น จะได้สร้างสานต่อ ในเมื่อเราออกไปภายนอก เรามีโอกาสเข้ามาบวชก็มาสำรวจตรวจตราตัวเรา ความรับผิดชอบเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความขยันหมั่นเพียร เรามาสร้างอานิสงค์บารมีของเรา เพื่อที่จะไต่เต้าขึ้นไป เดินปัญญาแยกรูปแยกนาม วิปัสสนา ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด
เพียงแค่การเริ่มต้นในระดับของสมมติ พวกเราก็มาศึกษาตัวเรา มาเปลี่ยนพฤติกรรมของเรา ว่าเรามีความเกียจคร้าน เราเคยเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน เพิ่มความขยันหมั่นเพียร เราไม่มีความรับผิดชอบ เราก็เพิ่มความรับผิดชอบ กินน้อยนอนน้อย ปฏิบัติให้มากๆ สังเกต วิเคราะห์ ขัดเกลาตัวเราเองให้มากๆ มาสร้างอานิสงส์ สร้างบุญสร้างบารมี สร้างประโยชน์ให้มีให้เกิดขึ้น ถ้าถึงวาระเวลาแล้ว จะเอาเชือกผูกมัดเอาไว้ก็ต้องเข้าใจในธรรม ถ้าอานิสงค์บุญบารมีของเรามีเต็มเปี่ยม ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดละไม่ได้เด็ดขาด อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจเอานะ ได้เท่าไรก็เอา