หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 075

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 075
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 075
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน ทำความสงบ ตามความรู้ตัว หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย

ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ แล้วก็มีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง อันนี้เป็นการชี้ เป็นการแนะชี้อุบาย ถ้าเรารู้จักวิธีการเจริญสติ เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ รู้ตัว รู้กาย รู้การหายใจเข้าออก แล้วก็รู้ให้ลึกลงไป รู้ความปกติของใจ รู้การเกิดของใจ รู้การเกิดของความคิด รู้ต้นตอ รู้ต้นเหตุ

แต่เวลานี้ ใจของทุกคนนั้นมีศรัทธา แต่ขาดการเจริญสติ สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันยังทำความเข้าใจไม่ได้เลย ยังไม่มีเลย ถึงมีก็ยังไม่รู้จักว่าลักษณะของสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร การควบคุมใจ การควบคุมอารมณ์ การรู้ให้ต่อเนื่อง การรู้ การเห็น การทำความเข้าใจ อะไรคือรูป อะไรคือนาม ลักษณะอาการความหมายของภาษาธรรมภาษาโลก ลักษณะของอัตตา คำว่า ‘อัตตาตัวตน’ เป็นลักษณะอย่างไร คำว่า ‘อนัตตา’ ความว่างเปล่าเป็นลักษณะอย่างไร

รู้แต่ชื่อ ใจเกิดอยู่ตลอด ใจยังหลงอยู่ สมมติยังครอบงำอยู่ ใจยังเป็นทาสของงอารมณ์ ทาสของกิเลสอยู่ บางครั้งใจเขาก็สงบอยู่ แต่เขาก็ยังคว่ำอยู่ ก็ยังไม่ได้พลิก ยังไม่ได้หงาย เพราะว่าขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ที่เข้มงวดที่ต่อเนื่อง ใจแต่ละวัน แต่ละวันใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง สักกี่เที่ยว ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาภายใน 5 นาที 10 นาที ใจของเราคิดปรุงแต่งไปสักกี่อย่าง

คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ คือทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ความรู้ตัวเรายังไม่ได้สร้างขึ้นมาเลย อาจจะมีความรู้ตัวอยู่บ้างกระท่อนกระแท่น เพียงการเจริญสติก็ยังไม่ค่อยจะสนใจกัน จะเข้าไปรู้ในส่วนที่ลึกๆ เข้าไปรู้ในส่วนที่เป็นรายละเอียดต่างๆ นี่ยาก ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร มีศรัทธาเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็เจริญสติลงไป ทำความเข้าใจลงไป แล้วรู้จักละกิเลสออกจากใจของเรา เจริญพรหมวิหารให้เต็มเปี่ยม การเกิดเป็นทุกข์ ทำไมถึงว่าการเกิดเป็นทุกข์ เกิดทางกายเนื้อ ทางเนื้อทางหนัง ทางด้านรูปธรรมเกิดมาแล้ว ทางด้านจิตวิญญาณเขาเกิดอยู่ตลอดเวลา ทำไมจิตของเราถึงเกิด ใจของเราทั้งเกิด ทำไมกายของเราถึงหนัก ขันธ์ห้าเป็นของหนัก

เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปสังเกต วิเคราะห์ จนใจของเราคลายออกจากความคิดออก จากอารมณ์ เราก็จะเข้าใจในการดำเนินชีวิตของตัวเราเอง เข้าใจในร่างกายของเราเองซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง กายของเรานี้ประกอบขึ้นมาด้วยอะไรบ้าง ซึ่งมีหนังเข้ามาหุ้มห่อเอาไว้ มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ท่านถึงบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองใครกองมัน ขันธ์ของใครขันธ์ของมัน ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก

ทำไมเราถึงจะจำแนกแจกแจงได้ เราต้องมาเจริญสติ แล้วก็มาสร้างสติ สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้ไม่เท่าทันการเกิดของจิต เราก็รู้จักควบคุมเอาไว้ ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตอย่างไร เรื่องของเราทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น กิเลสหยาบกิเลสละเอียดห่อหุ้มเอาไว้ หลายสิ่งหลายอย่าง แม้แต่ตัวจิต หรือว่าตัวใจของนี้ก็ยังปกปิดตัวของมันเอาไว้

นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติเข้าไปรู้ เข้าไปเห็น หาเหตุหาผล ตามทำความเข้าใจ จนจิตยอมรับความเป็นจริง จิตเกิดความเบื่อหน่ายนั่นแหละ เขาถึงจะอุเบกขาวางเฉยรับรู้ แล้วก็รู้จักละ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เป็นทาสของอารมณ์เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง แล้วก็จะไม่เกิด ถ้าเราดับความเกิดของใจของเราได้ แต่เวลานี้สติรู้ตัวของเรายังไม่ได้สร้างขึ้นมา แล้วก็ยังไม่ได้ทำความเข้าใจให้ต่อเนื่องได้แม้กระทั่ง 5 นาที 10 นาทีเลยทีเดียว

เราก็ต้องพยายามทำจนเป็นอัตโนมัติ ในการดู ในการรู้ ในการชำระสะสางกิเลส ศีล ความปกติของกาย ของวาจาเป็นอย่างไร สมาธิ ใจที่สงบปราศจากกิเลส ปราศจากการเกิด ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร หรือว่าข่มเอาไว้ ปัญญาที่คอยสอดส่ง คอยวิเคราะห์ลักษณะของใจ ลักษณะอาการของขันธ์ห้า การละกิเลสเป็นอย่างไร เราละได้มากได้น้อยเท่าไหร่ เราต้องหมั่นสำรวจตรวจตราดูใจของเราตลอดเวลา

ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่ทั้งหลายอย่างไร ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง เข้าไปถึงดวงวิญญาณหรือดวงใจของเรา ใจของเราเกิดอย่างไร ถ้าเราไม่ศึกษาไม่ค้นคว้าก็ยากที่จะเข้าใจ แม้แต่เพียงแค่สมมติภายนอก โลกธรรม เราก็ยังไม่เข้าใจ ยังไปหลงไปยึด ยึดภายในเราก็ยึดหมดทุกอย่าง ถ้าคลายภายในแล้วก็คลายได้ ที่นี้ในการละกิเลส ดับความเกิด ต้องเข้มข้น ดับลงไป

การฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเอง ต้องหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์จิตของเราอยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติ จนจิตของเรายอมรับความเป็นจริงได้ทุกสิ่งทุกอย่างนั่นแหละ ล้วนแต่เป็นธรรม ธรรมชาติ ธรรมดา ธรรมชาติภายนอก ธรรมชาติภายใน ในสิ่งที่เราอาศัยอยู่ เราต้องศึกษาตัวเรา ใจเรา ความเป็นอยู่ของเราให้ชัดเจน พึ่งตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไข้ปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา

ทุกคนก็มีบุญนั่นแหละถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทีนี้การเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เราจะดำเนินชีวิตอย่างไร เราจะมองหาหนทางอย่างไร คำสอนมีอยู่ เราจะดำเนินเดินตามหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ความเพียรของแต่ละคน ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่โน่นฉันจะรู้ธรรม ไปอยู่ที่นี่ฉันจะรู้ธรรม ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจ ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรก็ยากที่จะเข้าใจ

เพียงแค่การเจริญสติ ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็นอย่างไร รู้ที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร เรายังไม่พยายามพากันสร้างกัน จะเข้าไปรู้เห็นปัญญาในส่วนลึกๆ ได้อย่างไร ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี อย่าพากันปิดกั้นตัวเอง จงพยายามเปิดตัวเอง แล้วก็น้อมนำคำสอนของพระพุทธองค์ เอาไปประพฤติปฏิบัติตามให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา

เรารู้แล้ว เห็นแล้ว เราก็จะได้ทำความเข้าใจ ดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ถึงวันนี้ก็ถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ถึงมะรืนนี้ ไม่ถึงวันนี้ เดือนหน้า ปีหน้า ไปต่อเอาภพหน้า ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ หมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้ทิ้งกาย ทิ้งสมมติ แต่เราวางด้วยสติวางด้วยปัญญา รู้ด้วยเหตุรู้ด้วยผล อยู่ด้วยปัญญาด้วยใจที่ไม่เป็นทุกข์ กายก็ร่างกายของเราก็เป็นก้อนทุกข์ ส่วนรูปธรรม เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี

เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเรายังรู้ไม่ต่อเนื่อง รู้ไม่ชำนาญ จะไปเอาแต่ธรรมมันไม่ได้หรอก การเจริญสติก็ให้ต่อเนื่องให้ได้ทุกอิริยาบถ รู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ รู้จักละ รู้จักต้นเหตุของใจของเราให้มันได้เสียก่อน ส่วนมากก็มีแต่รู้ธรรม แต่ไม่เห็น คิดก็รู้ทำ ก็รู้ แต่ไม่เห็นต้นเหตุ ไม่รู้ลักษณะฐานของใจ ความว่างเป็นอย่างไร ความปกติของใจเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีนิวรณ์เข้าครอบงำเป็นอย่างไร เราไม่เคยจะสนใจลึกเข้าไปถึงตรงจุดฐานของต้นเหตุของเขา

การสอนก็สอนแต่ปลายเหตุ ไม่สอนลึกเข้าไปหาต้นเหตุเสียก่อน วิธีที่จะเข้าถึง เข้าถึงแล้วทำยังไง ละยังไง สติปัญญาฝ่ายดับ ฝ่ายทำความเข้าใจ แต่ละสติปัญญาเอาไปใช้ เราต้องให้รู้ตั้งแต่ฐานต้นเหตุเสียก่อน เราก็ค่อยรอบรู้ล้นออกไป ล้นออกไปเรื่อยๆ จนเต็มรอบหมด ส่วนมากก็มีตั้งแต่จะไปเอาแต่ปลายเหตุ แม้แต่ความรู้ตัวก็ยังไม่รู้จักสร้าง ก็ยากที่จะเข้าใจทั้งที่ใจก็เป็นบุญอยู่ ก็ต้องพยายามกันนะ

ยิ่งมีโอกาสได้มาอยู่ร่วมกันเยอะๆ วันนี้ก็จะได้มีโอกาสได้บวชนาคกันหลายคน ญาติโยมท่านใดมีเวลาว่างอยากจะอยู่บวชนาค บวชพระลูกกับหลานก็เชิญนะ มีโอกาสได้บวชลูกบวชหลานของเรา ปีนี้ก็ว่าจะบวชกันหลายคน ก็เกิดอุบัติเหตุหลายอย่าง ทางกรุงเทพฯ ว่าจะมาบวชกันหลายคนอยู่ แต่ก็เลยต้องได้ยกเลิกไป เพราะว่าเกิดอุทกภัย ทั้งที่พวกเราได้ยินได้ฟังกันอยู่

ปีนี้ประเทศไทยของเราเกิดอุทกภัยกันมากมายหลายจังหวัด เกือบจะทั่วทุกจังหวัด เพราะว่าอะไร เพราะว่าโลกของเราขาดความสมดุล คนเราไปทำลายธรรมชาติกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ประเทศไทย หรือประเทศไหนก็คล้ายๆ กันเหมือนกันหมด ไปทำลายทั้งบนดิน บนฟ้า ใต้น้ำ โลกของเราก็เลยขาดความสมดุล ภัยธรรมชาติก็เลยกลับมาเล่นงานเอา

นับตั้งแต่วันนี้ หรือว่าเดือนนี้ปีนี้เป็นต้นไป เราก็จะเห็นภัยธรรมชาติมากขึ้นเป็นทวีคูณ แต่เราก็อย่าไปตกใจ เราต้องพยายามฝึกฝนตนเองให้เข้มแข็ง แก้ไขสถานการณ์ด้วยใจที่ไม่เป็นทุกข์ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ใจของเราอย่าเป็นทุกข์ เราพยายามแก้ไขด้วยสติด้วยปัญญา แก้ไขได้ก็แก้ไข แก้ไขไม่ได้ก็ไม่เป็นทุกข์ อยู่ที่ไหนก็คล้ายๆ กันหมด นับวันที่จะเห็นอะไรอีกเยอะแยะมากมาย

เดี๋ยวก็แล้งจัด หนาวจัด ฝนหนัก สารพัดอย่างจะตามมา ก็อย่าไปโทษใคร ก็โทษพวกเรานี่แหละเข้าไปทำลายธรรมชาติกัน ธรรมชาติก็เลยขาดความสมดุล เพราะว่าธรรมชาตินั้นเขาก็สมดุลของเขาอยู่ พวกเรามาทำลายกัน ไม่ว่าประเทศไหน ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดขึ้นให้เราเห็น เราก็ต้องพยายามทำใจ แก้ที่จิตใจ แล้วก็แก้ไขสมมติเท่าที่เราจะแก้ไขได้ ทำหน้าที่ของเราให้ดี

ถึงวาระเวลาพวกเราก็ต้องพลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องพลัดพรากจากการตอนตาย เพราะว่ากฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริงก็มีอยู่ เราต้องทำความเข้าใจให้เรียบร้อยก่อนที่ธาตุขันธ์ของเราจะแตกจะดับ ไปก็มีความสุข อยู่ก็มีความสุข ก็ถึงเวลา ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหวพร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานต่อทำ ความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง