หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 074
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 074
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็เราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย หยุดดับความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่เด็ดขาด เราก็หยุดเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว โดยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็มีความรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรามีความชัดเจน
เราก็พยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ให้เกิดความเคยชินแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม รู้กาย รู้การหายใจเข้าออก ลึกลงไปอีกถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้ลักษณะของใจของเรา ใจของเราปกติ ใจของเราเกิด เราจะรู้อาการใจเราเริ่มเกิด มีความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ เราก็จะรู้อาการของความคิด แต่ใจยังเกิดเข้าไปรวม ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็รู้จักเอาไปใช้ เราก็จะได้เห็นอะไรดีๆ ในกายของเราอีกเยอะ
ทั้งที่ใจของเราก็เป็นบุญ ฝักใฝ่ในบุญ การควบคุมใจอาจมีเป็นบางครั้ง การดับ การละ การเจริญพรหมวิหารของทุกคนนั้นมีกันอยู่ แต่อาจมีมากบ้าง มีน้อยบ้าง การสำรวจ การสำรวมก็มีอยู่ แต่ไม่ต่อเนื่อง เราก็เลยเข้าไม่ถึงหลักของความเป็นจริง เพียงแค่การเกิดของใจ ใจก็ไม่เที่ยงแล้ว การเกิด การคิดนั่นแหละ ที่นี้ใจของเราก็เป็นทาสของอารมณ์อีก มีความยินดี มีความยินร้าย เข้าไปเสวยอารมณ์ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ มีขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก ท่านถึงว่าขันธ์ห้า ก็กายของเรา วิญญาณของเรานี้แหละ
เรามาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปจำแนกแจกแจง เข้าไปสังเกต สร้างความรู้ตัวเข้าไปสังเกตบ่อยๆ สังเกตให้ต่อเนื่อง ถ้าเรารู้ ถ้าเราเห็นแล้ว เราก็ตามทำความเข้าใจ แล้วก็ดับความเกิดของใจ ถ้าการดับไม่มี ใจก็เกิดอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะว่าความเคยชิน เพราะเขาหลงมาตั้งนานไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว เรามาดับ เรามาละเพียงแค่นาทีสองนาทีนี้เอาไม่อยู่หรอก กำลังเขาเยอะ เราต้องพยายามดับบ่อยๆ เจริญสติสร้างความรู้ตัวให้เข้มแข็ง แล้วก็รู้จะเอาไปใช้ รู้จักควบคุม รู้จักสังเกต รู้จักวิเคราะห์ จนเป็นอัตโนมัติ หมั่นพร่ำสอนใจของเราให้ใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริงได้ การพูดง่าย แต่การทำจริงๆ นี้ยากเราก็ต้องพยายาม
ความหมายของการฝึก ของการเจริญสติเพื่ออะไร ก็เพื่อที่จะเข้าไปทำความเข้าใจกับใจ ก็เพื่อจะละความเกิดดับ ความเกิด เพื่อจะละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ถ้าเรารู้แล้วเห็นแล้ว ตามทำความเข้าใจได้แล้ว ขยันหมั่นเพียรทุกอย่างนั่นแหละ ทั้งงานภายนอกงานภายใน เราก็จะอยู่กับสมมติอย่างมีความสุข
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหก ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ทำหน้าที่ของเขา วิญญาณที่มาบงการ วิญญาณกับอาการของวิญญาณตัวนี้เป็นส่วนนามธรรม ถ้าเราไม่เจริญสติให้ชัดเจน รู้จักลักษณะของสติให้ชัดเจน เราก็ยากที่จะเข้าใจ จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก แต่ก็ไม่เหลือวิสัยหรอกนะ ก็ต้องพยายามทำกัน ตื่นขึ้นมาเราก็รีบพิจารณาแก้ไขตัวเรา หมั่นพร่ำสอนตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครที่จะสอนเราได้หรอก นอกจากตัวของเราเอง
ขอให้เรารู้จักแจกแจงให้ชัดเจน ความรู้ตัว รู้สติ รู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่สงบเป็นลักษณะอย่างนี้ มีสติปัญญาเป็นตัวคิด ตัวพิจารณา ใจต้องนิ่งรับรู้ แต่เวลานี้ใจทั้งเกิด ทั้งสารพัดอย่าง เราต้องมาแก้ไข มาคลายส่งออกจากใจของเราให้หมด ดับความเกิดของใจ หนุนกำลังสติปัญญาไปใช้ มันไม่ถึงจุดหมายในวันนี้วันพรุ่งนี้ เดือนนี้เดือนหน้า ก็ไปต่อเอาภพหน้ากัน ยังไงก็ต้องได้ต่อ ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ก็ต้องได้แก้ไขตัวเองทุกภพทุกชาติไปนั่นแหละ เอาชาติปัจจุบันนี้ให้มันดีเสียก่อน ทำให้มันดีเสียก่อน
อะไรที่จะเป็นอกุศลเราก็ละ อะไรที่จะเป็นกุศลเราก็เจริญ ให้เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ เราก็ปฏิบัติให้เกิดขึ้นที่ใจของเรานั้นนะ ถึงจะรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย หมดความสงสัยได้ด้วย ก็มีแต่ความเพียร ลองสร้างความระลึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจนสักระยะหนึ่ง อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน
เราก็พยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ให้เกิดความเคยชินแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม รู้กาย รู้การหายใจเข้าออก ลึกลงไปอีกถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้ลักษณะของใจของเรา ใจของเราปกติ ใจของเราเกิด เราจะรู้อาการใจเราเริ่มเกิด มีความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ เราก็จะรู้อาการของความคิด แต่ใจยังเกิดเข้าไปรวม ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็รู้จักเอาไปใช้ เราก็จะได้เห็นอะไรดีๆ ในกายของเราอีกเยอะ
ทั้งที่ใจของเราก็เป็นบุญ ฝักใฝ่ในบุญ การควบคุมใจอาจมีเป็นบางครั้ง การดับ การละ การเจริญพรหมวิหารของทุกคนนั้นมีกันอยู่ แต่อาจมีมากบ้าง มีน้อยบ้าง การสำรวจ การสำรวมก็มีอยู่ แต่ไม่ต่อเนื่อง เราก็เลยเข้าไม่ถึงหลักของความเป็นจริง เพียงแค่การเกิดของใจ ใจก็ไม่เที่ยงแล้ว การเกิด การคิดนั่นแหละ ที่นี้ใจของเราก็เป็นทาสของอารมณ์อีก มีความยินดี มีความยินร้าย เข้าไปเสวยอารมณ์ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ มีขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก ท่านถึงว่าขันธ์ห้า ก็กายของเรา วิญญาณของเรานี้แหละ
เรามาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปจำแนกแจกแจง เข้าไปสังเกต สร้างความรู้ตัวเข้าไปสังเกตบ่อยๆ สังเกตให้ต่อเนื่อง ถ้าเรารู้ ถ้าเราเห็นแล้ว เราก็ตามทำความเข้าใจ แล้วก็ดับความเกิดของใจ ถ้าการดับไม่มี ใจก็เกิดอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะว่าความเคยชิน เพราะเขาหลงมาตั้งนานไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว เรามาดับ เรามาละเพียงแค่นาทีสองนาทีนี้เอาไม่อยู่หรอก กำลังเขาเยอะ เราต้องพยายามดับบ่อยๆ เจริญสติสร้างความรู้ตัวให้เข้มแข็ง แล้วก็รู้จะเอาไปใช้ รู้จักควบคุม รู้จักสังเกต รู้จักวิเคราะห์ จนเป็นอัตโนมัติ หมั่นพร่ำสอนใจของเราให้ใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริงได้ การพูดง่าย แต่การทำจริงๆ นี้ยากเราก็ต้องพยายาม
ความหมายของการฝึก ของการเจริญสติเพื่ออะไร ก็เพื่อที่จะเข้าไปทำความเข้าใจกับใจ ก็เพื่อจะละความเกิดดับ ความเกิด เพื่อจะละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ถ้าเรารู้แล้วเห็นแล้ว ตามทำความเข้าใจได้แล้ว ขยันหมั่นเพียรทุกอย่างนั่นแหละ ทั้งงานภายนอกงานภายใน เราก็จะอยู่กับสมมติอย่างมีความสุข
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหก ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ทำหน้าที่ของเขา วิญญาณที่มาบงการ วิญญาณกับอาการของวิญญาณตัวนี้เป็นส่วนนามธรรม ถ้าเราไม่เจริญสติให้ชัดเจน รู้จักลักษณะของสติให้ชัดเจน เราก็ยากที่จะเข้าใจ จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก แต่ก็ไม่เหลือวิสัยหรอกนะ ก็ต้องพยายามทำกัน ตื่นขึ้นมาเราก็รีบพิจารณาแก้ไขตัวเรา หมั่นพร่ำสอนตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครที่จะสอนเราได้หรอก นอกจากตัวของเราเอง
ขอให้เรารู้จักแจกแจงให้ชัดเจน ความรู้ตัว รู้สติ รู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่สงบเป็นลักษณะอย่างนี้ มีสติปัญญาเป็นตัวคิด ตัวพิจารณา ใจต้องนิ่งรับรู้ แต่เวลานี้ใจทั้งเกิด ทั้งสารพัดอย่าง เราต้องมาแก้ไข มาคลายส่งออกจากใจของเราให้หมด ดับความเกิดของใจ หนุนกำลังสติปัญญาไปใช้ มันไม่ถึงจุดหมายในวันนี้วันพรุ่งนี้ เดือนนี้เดือนหน้า ก็ไปต่อเอาภพหน้ากัน ยังไงก็ต้องได้ต่อ ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ก็ต้องได้แก้ไขตัวเองทุกภพทุกชาติไปนั่นแหละ เอาชาติปัจจุบันนี้ให้มันดีเสียก่อน ทำให้มันดีเสียก่อน
อะไรที่จะเป็นอกุศลเราก็ละ อะไรที่จะเป็นกุศลเราก็เจริญ ให้เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ เราก็ปฏิบัติให้เกิดขึ้นที่ใจของเรานั้นนะ ถึงจะรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย หมดความสงสัยได้ด้วย ก็มีแต่ความเพียร ลองสร้างความระลึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจนสักระยะหนึ่ง อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน