หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 032

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 032
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 032
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาด ถึงเราละไม่ได้ ก็หยุดด้วยการเจริญอานาปานสติ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้เป็นธรรมชาติที่สุด

การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็มีความรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกว่าชัดเจน ความรู้สึกรับรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกตรงนี้แหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรามีความรู้สึกรู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามฝึกสร้างความรู้ตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ เราก็พยายามมีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกปุ๊บ สติก็ตั้งมั่นขึ้นมาปั๊บ

จะลุกจะก้าวจะเดิน ก็มีสติรู้กายอยู่ปัจจุบัน รู้ใจอยู่ปัจจุบัน ใจจะเกิด ใจจะส่งออกไปภายนอก เราก็จะรู้เท่าทัน ถ้าเรามีสติอยู่ปัจจุบันธรรม รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็ควบคุมใจของเราเอาไว้ แต่เวลานี้ความรู้ตัว รู้ว่าสติของเรามีน้อย เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา สติไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้งาน เอาไปสังเกตใจ รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็ดับเอาไว้

สังเกตดูอาการของความคิดจะผุดขึ้นมาปรุงแต่ง ใจของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร มันจะเป็นเหตุลึกลงไปเป็นชั้นๆ ลงไปอีกเรื่อยๆ ถ้าเรารู้ความปกติ รู้ฐานของใจ รู้อาการของใจ แยกรูปแยกนามได้ เราก็ยิ่งจะมองเห็นชัดเจน ยิ่งจะเข้าใจในภาษาธรรมภาษาโลก เข้าใจในสมมติ เข้าใจในวิมุตติ เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา

จิตใจส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างไร ทำไมใจของเราถึงเป็นทาสของกิเลส ทำไมใจของเราถึงหลง เราก็จะได้แก้ไข เราปรับปรุง เราหมั่นพร่ำสอนตัวใจเราตลอดเวลา อันนี้สมมตินะ อันนี้โลกธรรมแปดนะ กายของเราทำหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ ส่วนใจมีหน้าที่รับรู้ แต่เวลานี้ใจทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วย ทั้งมีความทะเยอทะยานอยากด้วย สารพัดอย่างที่เขาปิดกั้นตัวเองเอาไว้
เราต้องเจริญสติให้มากๆ สร้างกำลังสติให้เยอะๆ เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปพิจารณาหาเหตุหาผลให้ใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริง เขาจึงจะยอมรับ แล้วเขาก็จะไม่เป็นทุกข์ ถึงเป็นทุกข์ก็หาวิธีแก้ ด้วยการ ดับด้วยการละ เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน ใจของเราเกิดความอยาก เราก็ละความอยาก ใจเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ใจเกิดความโกรธ เราก็พยายามละความโกรธ ให้อภัยทานอโหสิกรรม ทำอยู่บ่อยๆ ให้ชนะตัวเรา แล้วเราจะชนะคนอื่นได้หมด ส่วนมากก็จะไปเอาชนะแต่คนโน้น ชนะเอาแต่ภายนอกกัน ไม่ยอมชนะตัวเราเอง

บุคคลที่มีปัญญา ตื่นขึ้นมาจะรีบดูใจ รู้ใจ แก้ไขใจ แล้วก็ทำหน้าที่สมมติ มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ รับผิดชอบต่อตัวเรา เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ไม่ได้เป็นภาระให้ตัวเอง ไม่เป็นภาระให้คนอื่น สร้างแต่ประโยชน์จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่สังคม เราต้องพยายามแก้ไขภายในของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข มีไม่มากถ้าคนเรารู้จักวิเคราะห์สุข

การฝึกหัดปฏิบัติธรรมก็คือการฝึกกาย วาจา ใจของเราให้มีความสงบ มีความสุข สมมติภายนอกโลกธรรมแปด แล้วก็ยังสมมติให้ดี อะไรผิดพลาด เราก็รีบแก้ไขเสีย อะไรไม่ดี เราก็รีบแก้ไขเสีย ถ้าถึงวาระเวลาเราก็ต้องได้วาง ถ้ายังขณะที่ยังไม่ถึงเวลา เราก็วางที่ใจของเรา ข้างนอกเราก็รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา

ถึงเวลาเราก็ต้องได้วาง เพราะว่ากายของเรานี้ต้องเดินทางเข้าไปสู่ความแตกดับ เพราะความไม่เที่ยง ทุกคนก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง อนิจจังความไม่เที่ยง ทางด้านรูปธรรมก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทางด้านนามธรรม สภาวธรรม ตัววิญญาณเกิดๆ ดับๆ ก็ไม่เที่ยง เรามาดับความเกิดของเขาเสีย นอกจากวิญญาณไม่เกิดนั่นแหละ

วิญญาณปล่อยวางอยู่ในความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความไม่เกิดนั่นแหละ วิญญาณถึงเที่ยง วิญญาณเที่ยง นิพพานก็เที่ยง ใจเที่ยง นิพพานเที่ยง แต่ก่อนที่จะเที่ยงตรงนั้นได้ก็ต้องชำระสะสางกิเลส คลายความหลง ดับความเกิดให้มันหมดจดเสียก่อน ถึงจะเรียกว่า ‘นิพพานเที่ยง’ ใจเที่ยง ใจนิ่ง ใจว่าง ตราบใดที่ยังไม่ว่าง มันก็ยังไม่เที่ยง ตราบใดที่มันยังเกิดอยู่ มันก็ยังไม่เที่ยง เราก็ต้องพยายามศึกษาให้ละเอียดก่อนที่ธาตุขันธ์ของเราจะแตกจะดับ

ถึงทำไม่ได้ก็ให้อยู่ในกองบุญ กองกุศล ระลึกนึกถึงสร้างบุญ มีโอกาสให้รีบทำรีบสร้าง ทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา คนอื่นทำเราก็คอยอนุโมทนาสาธุ ถ้าเป็นอกุศลเราพยายามละ ถ้าเรารู้จักเอาบุญ เราจะอยู่กับบุญตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ จนกระทั่งหมดลมหายใจ เพราะว่าทุกคนก็ต้องเตรียมพร้อม อย่าพากันประมาท เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา

เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่ตลอดเวลา หมั่นพร่ำสอนตัวเราตลอดเวลา แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่มากอยู่น้อย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาด ความสวยความงาม เราพยายามทำให้ดี อยู่ที่วัดของเราก็พยายามช่วยกันดูแลรักษาความสะอาดตั้งแต่ปากทางถึงก้นครัว มองข้างบน ข้างล่าง มองตรงกลางใจของเรา ให้รีบช่วยกัน

อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส อย่าไปมองว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของทุกคนที่มาอยู่ร่วมกัน ช่วยกันจากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็แทบจะไม่มี ก่อนที่พวกเราจะได้อยู่ดีมีความสุข ก็อาศัยอานิสงส์ของทุกคนหล่อหลอมร่วมกันมา ตั้งแต่อดีตส่งผลมาถึงปัจจุบัน ช่วยกันมาคนละเล็กคนละน้อย คนรุ่นโน้นบ้างรุ่นนี้บ้าง พวกเรามาอยู่ก็มาสร้างมาสานต่อ อย่าพากันมาทำลาย อะไรพอรักษาได้ก็รักษา คนรุ่นต่อไปก็จะได้มาสร้างสานต่อ

พวกเราเอาไปไม่ได้หรอก พวกเราก็ได้มาอาศัยขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ ก็ทำให้ดี ทำให้ดีเท่าที่จะทำได้ รุ่นหลังมาก็มาสร้างมาสานต่อ เพื่อจะได้มีแต่ความร่มรื่นร่มเย็น ก็จะได้มีแต่กองบุญอันยิ่งใหญ่ไปเรื่อยๆ ไป จากของน้อยๆ ที่พวกเราได้ช่วยกันบูรณะไ ด้ช่วยกันสร้าง ได้ช่วยกันทำนี้แหละ จะส่งผลถึงเป็นกองบุญอันใหญ่ในระดับของโลกิยะ ส่วนโลกุตระเราต้องเจริญสติเข้าไปแยกรูปแยกนาม ชำระสะสางกิเลส เดินปัญญาขัดเกลาใจของเราให้เข้าสู่ความสะอาด ความบริสุทธิ์ ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง