หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 025
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 025
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน วางกายของเราให้สบาย วางใจของเราให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก หยุด ดับ ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราละไม่ได้ ดับไม่ได้ แยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ให้หยุดเอาไว้ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก อานาปานสติ พวกเรายังไม่ช่ำชอง ยังสร้างความรู้ตัวไม่ชัดเจนแล้วก็ไม่ต่อเนื่อง ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจก็ฝักใฝ่ในธรรม
แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปรู้ใจ พร่ำสอนใจ คลายใจออกจากความหลง คลายใจออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ กำลังความรู้ตัว หรือกำลังสติมีน้อย หรือแทบไม่มีเลย มีตั้งแต่ความคิดเก่า ปัญญาเก่า ซึ่งเกิด ซึ่งวิ่งอยู่ตลอดเวลา บางทีก็ส่งออกไปภายนอก เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง บางทีก็ขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดมาปรุงแต่ง ถ้าความรู้ตัวของเราไม่เร็วไวไม่แหลมคม ยากที่จะเข้าถึงตรงนั้น
แล้วก็รู้จักสร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา แต่ละวันๆ ตัวจิต ตัวกิเลสมันพากายไป พากายแบกกายไปปฏิบัติธรรมที่โน้น ไปปฏิบัติธรรมที่นี่ มันปิดบังอำพรางตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรามาทำความเข้าใจ มาเจริญสติดูตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร อะไรคือสติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร เรารู้ไม่เท่าทัน เรารู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ เริ่มใหม่
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย วันนี้เราจะสังเกตวิเคราะห์ดู อดพูด อดคิด สังเกตดูความคิดว่ามันเกิดอย่างไร อันนี้คือรูป อันนี้คือนามนะ อะไรคือความรู้ตัว หรือว่าสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา เรารู้ฐานของใจ มันเริ่มก่อตัวที่ตรงไหน มันก็เกิดตรงนั้นแหละ อาการของใจมันเริ่มก่อตัวได้อย่างไร ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ถ้าเห็นตรงนี้แล้วจะมีความสุข สนุกในการตามดู ตามรู้ ตามเห็น
ทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แม้แต่เรื่องการขบการฉัน กายของเราหิว หรือตัวใจของเราเกิดความอยาก ความคิดมันเริ่มก่อตัว เริ่มก่อตัวขึ้นมาเป็นลักษณะอย่างไร มันถึงเป็นรูป เป็นร่างเป็นเรื่องขึ้นมา แล้วก็หลงเข้าไปยึดจนเกิดอัตตาตัวตน เกิดทิฏฐิ เกิดมานะ สารพัดอย่าง เราต้องมาคลายปม แก้ไขร่างกายกว่านี้ ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาก่อร่างสร้างภพขึ้นมา แล้วก็ไปหลงไปยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องมาฝึกมาเจริญสติให้แหลมคมให้เร็วให้ไว
หมั่นพร่ำสอนใจ อันนั้นผิด อันนี้ถูก อันนี้ควรละ อันนี้ควรเจริญ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคือโลกธรรม อะไรคือสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงที่แท้จริง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุ พระพุทธพระองค์ท่านสอนเรื่องเหตุ เหตุภายในทางด้านนามธรรมก็ทางด้านวิญญาณ ทางด้านรูปธรรมก็ร่างกาย แต่เขาอิงอาศัยกันอยู่เหมือนกับฝ่ามือกับหลังมือ ก็อยู่ด้วยกัน สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน อัตตากับอนัตตาก็อยู่ด้วยกัน ถ้าเราจำแนกแจกแจงได้ เราก็จะเข้าเรื่องเข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ น้อมนำคำสอนให้มีให้บังเกิดขึ้นที่ใจของเรา
การปล่อย การวาง การสำรวจ การสำรวม การทำความเข้าใจ การละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสเล็กๆ น้อยๆ ที่มาปิดบังตัวใจของเราเอาไว้ ก็พวกนิวรณธรรมต่างๆ พวกมลทินต่างๆ ความเกิดความดับของใจ ซึ่งเกิดๆ ดับๆ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่คิดไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่รู้ ไม่ต้องไปกลัวจะไม่เห็น แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรามีน้อย เจริญสติของเรามีน้อย หรือแทบจะไม่มีเลย นี่แหละ ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ อยากจะได้บุญ อยากรู้ธรรม ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม แต่ยังเกิดยังหลงอยู่
ถ้าเราจำแนกแจกแจง รู้ไม่เท่าทัน แยกแยะไม่ได้ ในปัญญาทางโลกเราก็อาจจะว่าเราไม่หลง บุคคลใดที่มาเจริญสติให้ต่อเนื่อง ถึงจะรู้ว่าเรานี่ขาดสติไปตั้งนาน สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ถ้าแยกแยะได้แล้วถึงจะรู้ว่าเราหลง ถ้าแยกไม่ได้ก็อาจจะไปคิดว่าเราไม่หลง อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ เพียงคลายจิตออกจากความคิดได้เพียงแค่เริ่มต้นในทางที่ถูก ตามดู ตามรูู้ ตามละอีก ก็ต้องพยายามนะ ไม่เหลือวิสัย
อันนี้ไปบังคับกันไม่ได้ เป็นสมบัติเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องศึกษาตัวเราเอง ไม่ใช่ว่าแบกกายหอบกายของเราไปให้คนโน้นเขาชี้ คนนี้เขาชี้ เราต้องเจริญสติเข้าไปแก้ไข ไปชี้ตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ครูบาอาจารย์ก็สตินี่แหละ ที่เราสร้างขึ้นมาเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบจิตเรา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นสิ่งทดสอบใจของเรา
ลึกลงไปในส่วนนามธรรมที่มันเกิดๆ ดับๆ มันเกิดอย่างไรมันหลงอย่างไรมันรวมกันอย่างไร ถ้าเรารู้จักจุดปล่อยจุดวาง ใจมันก็จะวางได้ ถ้าไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวาง ปากมันอยากจะวางมันก็วางไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ค้นหาเหตุหาผลจริงๆ แต่ก็ไม่เหลือวิสัยหรอก ก็ต้องพยายามกัน ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาด ความสวยความงาม นี่ก็วัดพยายามช่วยกันดูแล อยู่ด้วยกันหลายคนหลายองค์หลายท่านก็มีความสมัครสมานสามัคคี มีความกลมเกลียวกัน ช่วยกัน มีอะไรเราก็ช่วยกัน
อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ไม่ใช่ว่าจะหาตั้งแต่ธรรมโดยไม่รู้จักธรรม ฝึกตั้งแต่สติเนี่ยไม่รู้จักสติ ไม่รู้จักความหมาย ความหมายของการฝึก ฝึกอย่างไร จุดมุ่งหมายอยู่ที่ไหน เราต้องรู้ให้ชัดเจน ความรู้ตัวอย่างปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่สงบเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่ไม่มีกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่แยกรูปแยกนามเป็นลักษณะอย่างนี้
การตามทำความเข้าใจ การรู้ การเห็น ตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ตั้งแต่ยังไม่เกิดหรือว่าเกิด ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ถ้าแยกรูปแยกนามได้ก็จะเดินปัญญาเข้าสู่วิปัสสนา ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด จนกว่าใจของเราจะบริสุทธิ์หลุดพ้น ดับความเกิดได้ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน หมดความสงสัย หมดความลังเล หมดความสงสัย ประกาศด้วยตนเอง ไม่ต้องคนอื่นๆ หรือไม่ต้องให้คนอื่นเขาประกาศให้ เราประกาศด้วยตัวเองว่ากิเลสเรายังเหลืออยู่ อะไรยังนั้นอยู่ เราละได้กี่ตัวแล้ว มันเกิดเมื่อไหร่ เราละ ใจของเรามันดับความเกิดได้สนิทหรือไม่สนิท อย่าไปมัวตั้งแต่ไปเที่ยวให้คนอื่นเขากระหนาบแล้วกระหนาบอีก บังคับแล้วบังคับอีก มันไปไม่ถึงไหน เราต้องบังคับตัวเอง แก้ไขตัวเอง กระหนาบตัวเอง มีอะไรก็จัดการมันตั้งแต่มันยังไม่เกิด
เรามาอาศัยโลกนี้อยู่ เราก็ไม่ให้โลกเข้าครอบงำ อยู่กับสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ใช้สมมติให้เกิดประโยชน์ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ก็ต้องพยายามกันนะ ทุกคนก็มีโอกาสที่จะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าพากันประมาท ค่อยทำค่อยเป็นค่อยไป ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอแล้วก็เอาใหม่เริ่มใหม่อยู่บ่อยๆ จนเป็นธรรมชาติในการดูในการรู้ มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่เกิดกัน ถ้ายังไม่หมดจดก็จะไปต่อภพหน้าโน่นแหล่ะ อันนี้พูดเรื่องจริง
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปรู้ใจ พร่ำสอนใจ คลายใจออกจากความหลง คลายใจออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ กำลังความรู้ตัว หรือกำลังสติมีน้อย หรือแทบไม่มีเลย มีตั้งแต่ความคิดเก่า ปัญญาเก่า ซึ่งเกิด ซึ่งวิ่งอยู่ตลอดเวลา บางทีก็ส่งออกไปภายนอก เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง บางทีก็ขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดมาปรุงแต่ง ถ้าความรู้ตัวของเราไม่เร็วไวไม่แหลมคม ยากที่จะเข้าถึงตรงนั้น
แล้วก็รู้จักสร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา แต่ละวันๆ ตัวจิต ตัวกิเลสมันพากายไป พากายแบกกายไปปฏิบัติธรรมที่โน้น ไปปฏิบัติธรรมที่นี่ มันปิดบังอำพรางตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรามาทำความเข้าใจ มาเจริญสติดูตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร อะไรคือสติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร เรารู้ไม่เท่าทัน เรารู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ เริ่มใหม่
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย วันนี้เราจะสังเกตวิเคราะห์ดู อดพูด อดคิด สังเกตดูความคิดว่ามันเกิดอย่างไร อันนี้คือรูป อันนี้คือนามนะ อะไรคือความรู้ตัว หรือว่าสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา เรารู้ฐานของใจ มันเริ่มก่อตัวที่ตรงไหน มันก็เกิดตรงนั้นแหละ อาการของใจมันเริ่มก่อตัวได้อย่างไร ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ถ้าเห็นตรงนี้แล้วจะมีความสุข สนุกในการตามดู ตามรู้ ตามเห็น
ทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แม้แต่เรื่องการขบการฉัน กายของเราหิว หรือตัวใจของเราเกิดความอยาก ความคิดมันเริ่มก่อตัว เริ่มก่อตัวขึ้นมาเป็นลักษณะอย่างไร มันถึงเป็นรูป เป็นร่างเป็นเรื่องขึ้นมา แล้วก็หลงเข้าไปยึดจนเกิดอัตตาตัวตน เกิดทิฏฐิ เกิดมานะ สารพัดอย่าง เราต้องมาคลายปม แก้ไขร่างกายกว่านี้ ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาก่อร่างสร้างภพขึ้นมา แล้วก็ไปหลงไปยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องมาฝึกมาเจริญสติให้แหลมคมให้เร็วให้ไว
หมั่นพร่ำสอนใจ อันนั้นผิด อันนี้ถูก อันนี้ควรละ อันนี้ควรเจริญ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคือโลกธรรม อะไรคือสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงที่แท้จริง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุ พระพุทธพระองค์ท่านสอนเรื่องเหตุ เหตุภายในทางด้านนามธรรมก็ทางด้านวิญญาณ ทางด้านรูปธรรมก็ร่างกาย แต่เขาอิงอาศัยกันอยู่เหมือนกับฝ่ามือกับหลังมือ ก็อยู่ด้วยกัน สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน อัตตากับอนัตตาก็อยู่ด้วยกัน ถ้าเราจำแนกแจกแจงได้ เราก็จะเข้าเรื่องเข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ น้อมนำคำสอนให้มีให้บังเกิดขึ้นที่ใจของเรา
การปล่อย การวาง การสำรวจ การสำรวม การทำความเข้าใจ การละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสเล็กๆ น้อยๆ ที่มาปิดบังตัวใจของเราเอาไว้ ก็พวกนิวรณธรรมต่างๆ พวกมลทินต่างๆ ความเกิดความดับของใจ ซึ่งเกิดๆ ดับๆ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่คิดไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่รู้ ไม่ต้องไปกลัวจะไม่เห็น แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรามีน้อย เจริญสติของเรามีน้อย หรือแทบจะไม่มีเลย นี่แหละ ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ อยากจะได้บุญ อยากรู้ธรรม ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม แต่ยังเกิดยังหลงอยู่
ถ้าเราจำแนกแจกแจง รู้ไม่เท่าทัน แยกแยะไม่ได้ ในปัญญาทางโลกเราก็อาจจะว่าเราไม่หลง บุคคลใดที่มาเจริญสติให้ต่อเนื่อง ถึงจะรู้ว่าเรานี่ขาดสติไปตั้งนาน สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ถ้าแยกแยะได้แล้วถึงจะรู้ว่าเราหลง ถ้าแยกไม่ได้ก็อาจจะไปคิดว่าเราไม่หลง อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ เพียงคลายจิตออกจากความคิดได้เพียงแค่เริ่มต้นในทางที่ถูก ตามดู ตามรูู้ ตามละอีก ก็ต้องพยายามนะ ไม่เหลือวิสัย
อันนี้ไปบังคับกันไม่ได้ เป็นสมบัติเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องศึกษาตัวเราเอง ไม่ใช่ว่าแบกกายหอบกายของเราไปให้คนโน้นเขาชี้ คนนี้เขาชี้ เราต้องเจริญสติเข้าไปแก้ไข ไปชี้ตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ครูบาอาจารย์ก็สตินี่แหละ ที่เราสร้างขึ้นมาเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบจิตเรา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นสิ่งทดสอบใจของเรา
ลึกลงไปในส่วนนามธรรมที่มันเกิดๆ ดับๆ มันเกิดอย่างไรมันหลงอย่างไรมันรวมกันอย่างไร ถ้าเรารู้จักจุดปล่อยจุดวาง ใจมันก็จะวางได้ ถ้าไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวาง ปากมันอยากจะวางมันก็วางไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ค้นหาเหตุหาผลจริงๆ แต่ก็ไม่เหลือวิสัยหรอก ก็ต้องพยายามกัน ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาด ความสวยความงาม นี่ก็วัดพยายามช่วยกันดูแล อยู่ด้วยกันหลายคนหลายองค์หลายท่านก็มีความสมัครสมานสามัคคี มีความกลมเกลียวกัน ช่วยกัน มีอะไรเราก็ช่วยกัน
อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ไม่ใช่ว่าจะหาตั้งแต่ธรรมโดยไม่รู้จักธรรม ฝึกตั้งแต่สติเนี่ยไม่รู้จักสติ ไม่รู้จักความหมาย ความหมายของการฝึก ฝึกอย่างไร จุดมุ่งหมายอยู่ที่ไหน เราต้องรู้ให้ชัดเจน ความรู้ตัวอย่างปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่สงบเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่ไม่มีกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่แยกรูปแยกนามเป็นลักษณะอย่างนี้
การตามทำความเข้าใจ การรู้ การเห็น ตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ตั้งแต่ยังไม่เกิดหรือว่าเกิด ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ถ้าแยกรูปแยกนามได้ก็จะเดินปัญญาเข้าสู่วิปัสสนา ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด จนกว่าใจของเราจะบริสุทธิ์หลุดพ้น ดับความเกิดได้ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน หมดความสงสัย หมดความลังเล หมดความสงสัย ประกาศด้วยตนเอง ไม่ต้องคนอื่นๆ หรือไม่ต้องให้คนอื่นเขาประกาศให้ เราประกาศด้วยตัวเองว่ากิเลสเรายังเหลืออยู่ อะไรยังนั้นอยู่ เราละได้กี่ตัวแล้ว มันเกิดเมื่อไหร่ เราละ ใจของเรามันดับความเกิดได้สนิทหรือไม่สนิท อย่าไปมัวตั้งแต่ไปเที่ยวให้คนอื่นเขากระหนาบแล้วกระหนาบอีก บังคับแล้วบังคับอีก มันไปไม่ถึงไหน เราต้องบังคับตัวเอง แก้ไขตัวเอง กระหนาบตัวเอง มีอะไรก็จัดการมันตั้งแต่มันยังไม่เกิด
เรามาอาศัยโลกนี้อยู่ เราก็ไม่ให้โลกเข้าครอบงำ อยู่กับสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ใช้สมมติให้เกิดประโยชน์ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ก็ต้องพยายามกันนะ ทุกคนก็มีโอกาสที่จะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าพากันประมาท ค่อยทำค่อยเป็นค่อยไป ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอแล้วก็เอาใหม่เริ่มใหม่อยู่บ่อยๆ จนเป็นธรรมชาติในการดูในการรู้ มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่เกิดกัน ถ้ายังไม่หมดจดก็จะไปต่อภพหน้าโน่นแหล่ะ อันนี้พูดเรื่องจริง
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ