ตามความเป็นจริง_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 12 วันที่ 1 มีนาคม 2557

ตามความเป็นจริง_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 12 วันที่ 1 มีนาคม 2557
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
ตามความเป็นจริง_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 12 วันที่ 1 มีนาคม 2557
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
ตามความเป็นจริง ชุดที่ 1 (ลำดับที่ 1-20)
ถอดความฉบับเต็ม
ตามความเป็นจริง ลำดับที่ 12
วันที่ 1 มีนาคม 2557


ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง


นั่งตามสบายนะ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง พวกท่านจงฟังไปด้วย น้อมไปด้วย แล้วก็สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เสียงก็สักแต่ว่าเสียง


ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก หายใจอย่างไรถึงจะเป็นธรรมชาติที่สุด หายใจอย่างไรถึงจะไม่อึดอัด


อะไรคือส่วนสมอง หรือว่าส่วนสติปัญญา อะไรคือส่วนใจ ความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ใจของเราคิดไปที่อื่นเราก็พยายามกระตุ้นลมหายใจยาวๆ ผ่อนออกมายาวๆ ใจก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจเอง


ทำบ่อยๆ ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะพลั้งเผลอ ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด บางทีสติปัญญาก็ตึงเครียด ใจก็อึดอัด เราก็พยายามหัดสังเกตบ่อยๆ แก้ไขตัวเราบ่อยๆ มีความรู้ตัวต่อเนื่อง เราก็จะรู้ลักษณะของใจ รู้จักควบคุมใจ เห็นการเกิดการดับของใจกับขันธ์ห้า ตรงนี้แหละสำคัญที่สุดเลย


ถ้าเห็นแล้วเขาคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น เขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ-ความรู้แจ้งเห็นจริง’ ทิฐิความเห็นที่ถูกต้องเพียงแค่เริ่มต้น ถ้าเราเห็นใจกับอาการของขันธ์ห้าแยกออกจากกันแล้ว ตามทำความเข้าใจ แล้วก็เห็นการเกิดการดับ นี่แหละ เขาเรียกว่า เห็นอนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตาในขันธ์ห้า ตัววิญญาณในกาย หรือว่าตัวใจในกายของเราก็จะว่างโปร่งโล่งรับรู้อยู่ เห็น ตามดู แล้วก็จะเข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ว่า อนัตตาเป็นอย่างไร อัตตาเป็นอย่างไร สมมติเป็นอย่างไร วิมุตติเป็นอย่างไร กายทำหน้าที่อย่างไร


การพูดง่ายนะ การสังเกตการวิเคราะห์ การทำความเข้าใจ ตบะบารมี ต้องมีความเพียรเป็นเลิศ ถึงจะรู้ถึงจุดหมายปลายทางได้ แต่คนเราก็พัฒนากันมาตั้งนานแล้ว วิญญาณดวงนี้พัฒนามาตั้งนาน จนได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พอเกิดมาเป็นมนุษย์ก็มาหลงมายึดอีก ท่านถึงพยายามให้เจริญสติลงที่กายของเรา หมั่นพร่ำสอนใจของเรา


มีภพมนุษย์เท่านั้นแหละที่จะทำความเข้าใจให้กระจ่างได้ พระพุทธองค์ท่านถึงได้ เกิดมาในโลกมนุษย์ เพื่อที่จะมาจำแนกแจกแจงมาค้นหา ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย แล้วก็ให้พวกเราได้เดินตาม รู้แล้วถึงแล้ว ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ใช่ไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้


ขันธ์ห้ามีกันทุกคน วิญญาณมีกันทุกคน เกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จนเกิดมาอยู่ในภพมนุษย์ ใจ วิญญาณมาอาศัยกายอยู่ ยังมีกายอยู่ เขายังเกิดต่ออีก แต่เขายังไม่ได้ไปสร้างภพอื่น เขาอยู่ในภพของมนุษย์นี่แหละ ในกายเนื้อของมนุษย์นี่แหละ ตัววิญญาณ ตัวใจก็หาเหตุหาผลมาโต้แย้งเหมือนกัน ตัวขันธ์ห้าก็หาเหตุหาผลมาโต้แย้งเหมือนกัน


สติปัญญาของเราต้องตามดูรู้ให้เท่าทันทุกอย่าง ชี้เหตุชี้ผล ตามดูจนหมดความสงสัย จนใจยอมจำนนได้นั่นแหละ เขาถึงจะอยู่อุเบกขาได้ ทีนี้ใจเกิดกิเลสเราก็มาละกิเลส เราต้องทำเอา ทำเอา ขยันหมั่นเพียรเอา ส่วนบุญอานิสงส์สมมติเรามีโอกาสได้ทำร่วมกันอยู่ตลอดเวลา ทำมาก ทำน้อย ทุกคนทำกันมาดีถึงได้เกิดเป็นมนุษย์


เรามาสร้างสานต่อ ไม่ถึงวันนี้ก็ถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ถึงมะรืนนี้ ไม่ถึงเดือนหน้าปีหน้า มันไม่ถึงจริง ๆ สิ่งพวกนี้แหละจะไปต่อเอาภพหน้า ก็ต้องพยายามกัน สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน


พากันไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปทำความเข้าใจต่อนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง