หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 001
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 001
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน ทำใจของเราให้สงบ เจริญสติให้ต่อเนื่อง ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราละไม่ได้เราก็หยุดเอาไว้
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ เพียงแค่ศิลปะในการหายใจเข้าออก พวกเราก็ยังขาดการสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ ฝักใฝ่ในการสร้างคุณงามความดี แต่ถ้าไม่ได้เจริญสติก็ยากที่จะเข้าใจในการเดินปัญญาขั้นสูง
เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสํารวจหมั่นตรวจตรารู้กายรู้ใจของเรา แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา ทั้งภายนอก ทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ สมมติคือโลกธรรม เรามีความรับผิดชอบ เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือเปล่า เรามีความเสียสละอย่างเต็มที่หรือไม่ แม้ตั้งแต่คําว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ความรู้ตัว ปัจจุบันธรรม เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ว่าไปนึกเอา การนึกการคิด การปรุงการแต่ง อันนั้นเป็นแค่เพียงแผนที่ เราต้องสร้างขึ้นมาให้มีให้เกิดขึ้น
ความรู้ตัวไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมา ใจไม่สงบ เราก็พยายามฝึกให้จนสงบ ใจยังเกิด เป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลสอยู่ เราพยายามละกิเลสออกจากใจของเรา มันเกิดเมื่อไหร่ เราก็ละเมื่อนั้นแหละ ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ ไปแสวงหาที่โน่นที่นี่ อันนั้นมันห่างไกล เราต้องเจริญสติ น้อมเข้าไปรู้กายของเรา ลึกลงไปรู้ใจของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติของเราตั้งมั่นหรือเปล่า ไม่ต้องไปเที่ยวแสวงหา ถามคนโน้นถามคนนี้
เราพยายามเจริญสติเข้าไปตรวจสอบใจพวกเราตลอดเวลา เรารู้ใจของเรามันเกิด มันเกิดส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร ได้ยาวได้สั้น ตั้งแต่เริ่มก่อตัว เราดับ เราหยุด หรือว่าเราตามดู ตามรู้ ตามเห็น ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไหร่ เรื่องอื่นสนใจกันดี ที่โน้นบ้าง ที่นี่บ้าง คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ สถานที่นั้นเป็นอย่างนั้น สถานที่นี้เป็นอย่างนี้ มันปรุงมันแต่งไปสารพัดอย่าง แทนที่จะดูต้นตอ ต้นเหตุของการเกิด มันเกิดตรงไหน
เราทำความเข้าใจได้ระดับไหน เราละกิเลสได้ระดับไหน เรารู้ไม่ทัน เรารู้จักควบคุมเอาไว้หรือเปล่า กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ไม่ใช่ว่าเที่ยวแสวงหาธรรมที่โน่นที่นี่ บางทีไปที่โน่นที่นี่ก็ไป มีตั้งแต่วิ่งตามอารมณ์ วิ่งตามกิเลส ตรงไหนว่าดีก็ไปมันก็ดีอยู่ในระดับของสมมติ ที่ยังฝักใฝ่ในบุญในกุศลอยู่ แต่การเกิด การวิ่ง การหลง มันก็ยังมีอยู่ ตราบใดที่กําลังสติไม่ต่อเนื่อง ไม่แหลมคม อยู่คนเดียวเราก็วิเคราะห์เรา อยู่หลายคนก็วิเคราะห์เรา หมดความสงสัยในตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา
อันนี้กายเป็นส่วนของสมมติ ซึ่งเป็นรูปธรรม ไอ้ตัวใจ ตัววิญญาณอยู่ในขันธ์ ๕ ของเรา มันสงบมันปกติอย่างไร เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเราได้เต็มที่หรือไม่ หรือว่าแบกพันธะภาระ แบกกายของเราไปให้คนอื่นเขารับผิดชอบ แม้แต่ตัวของเราเองเรา ก็ยังรับผิดชอบตัวเราเองไม่ได้ มันก็หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่
เราต้องรีบแก้ไขตัว ปรับปรุงตัวเราเองตลอดเวลา ทั้งสมมติภายนอก เรามีอะไรเราก็ทำให้ดี อยู่บ้านก็มีความสุข อยู่ที่ทำงานก็มีความสุข อยู่วัดก็มีความสุข ถ้าเราเข้าใจในชีวิต เอากายนี่แหละเป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ อยู่ที่บ้านก็เป็นวัด อยู่ที่วัดก็เป็นวัด วัดใจของเรา ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ลักษณะของใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ความปกติ ภาษาธรรมภาษาโลก ภาษาธรรมเรียกว่า ‘ศีล สมาธิ’ อะไรคือ ‘ศีล’ อะไรคือ ‘สมาธิ’ อะไรคือ ‘ปัญญา’ อะไรคือ ‘ลักษณะของสติ’ ภาษาธรรม สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นอย่างไร
เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ถึงความหมายนั้นๆ แล้วก็พยายามสร้างให้มี ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ไม่ใช่ว่าวิ่งตามตั้งแต่อำนาจของกิเลส ถ้าพูดตามกิเลสแล้วชอบใจ ถ้าฝืนกิเลสเราไม่ค่อยจะถูกใจ เราก็ต้องพยายาม บุคคลมีสติมีปัญญา ไม่จำเป็นต้องไปนั่นยากเลย อยู่คนเดียวก็วิเคราะห์ใจ วิเคราะห์กาย ทำหน้าที่ของเราให้ดี อยู่หลายคนก็มีความสุข มีอะไรก็อนุเคราะห์ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน ไม่เป็นพันธะ เป็นภาระให้กับตัวเอง เป็นภาระให้กับคนอื่น เป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบที่สูง หมั่นวิเคราะห์ตัวเราเอานะ ทุกเรื่องนั่นแหละในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายปกติ ใจปกติ อันนู้นอันนี้ พันธะภาระที่จะต้องทำ ต้องทำให้เรียบร้อย ก็อยู่ดีมีความสุข ถ้าเราไปงอมืองอเท้า มีแต่ความเกียจคร้าน ไม่มีความรับผิดชอบ ใช้การไม่ได้เลย ต้องเป็นคนที่ขยัน ขยันจริงๆ นั่นแหละถึงจะเข้าใจในเรื่องจิต ในเรื่องธรรม ขยันหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจ หมั่นขัดเกลา หมั่นละกิเลส หมั่นทำความเข้าใจ อันนี้ลักษณะของใจที่ว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ถ้าใจยังไม่คลายออกจากความคิด มันก็เพียงแค่ความสงบ ก็ยังถ้าใจยังเกิดอยู่ แล้วก็เข้าหลักของอริยสัจ สมุทัยสาเหตุแห่งทุกข์ อย่ารู้แต่ชื่อ เราต้องพยายามให้เข้าถึงลักษณะหน้าตา อาการนั้นๆ แล้วก็ละออกให้มันหมด
ความจริงสัจจธรรมนั้นมีอยู่ ธรรมะมีอยู่ประจำโลกอยู่แล้ว แต่จิตของเรามันยังเกิด ยังหลงอยู่ เลยเข้าไม่ถึงธรรมชาติ ตราบใดที่จิตยังเกิดอยู่ มันก็ยังหลงอยู่ หลงเกิดอยู่ อาจจะเกิดในกองบุญกองกุศล เราต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าชีว่าโยม คนที่มีปัญญา ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากเลย หมั่นสั่งสอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง สักกี่เที่ยว เป็นกุศลหรือว่าอกุศล
ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร กายมีหน้าที่อย่างไร การกินอยู่ขับถ่ายเป็นอย่างไร เราจะบริหารกาย บริหารใจของเราอย่างไร จะมีความสนุก มีความสุขในการวิเคราะห์ ในการดู ในการรู้ ส่วนมากก็ไปที่โน่น ที่โน่นเป็นอย่างนั้น ที่นั่นเป็นอย่างนี้ คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ มีแต่เรื่องของคนอื่นทั้งนั้น แทนที่จะเอาเรื่องของตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา แล้วก็สร้างประโยชน์ สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น เราก็พลอยได้รับอานิสงส์คนอื่นมาก็พลอยได้รับอานิสงส์ ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป มีอะไรก็ช่วยกัน
ลองสูดลมหายใจให้ชัดเจน สร้างความระลึกรับรู้ทั้งลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกให้ชัดเจนนะ ทำจิตให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง พันธะภาระหน้าที่ต่างๆ วางเอาไว้ หยุดเอาไว้เสียก่อน กระตุ้นสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสถึงลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกัน
ไหว้พระพร้อมๆกัน ค่อยๆสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ เพียงแค่ศิลปะในการหายใจเข้าออก พวกเราก็ยังขาดการสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ ฝักใฝ่ในการสร้างคุณงามความดี แต่ถ้าไม่ได้เจริญสติก็ยากที่จะเข้าใจในการเดินปัญญาขั้นสูง
เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสํารวจหมั่นตรวจตรารู้กายรู้ใจของเรา แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา ทั้งภายนอก ทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ สมมติคือโลกธรรม เรามีความรับผิดชอบ เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือเปล่า เรามีความเสียสละอย่างเต็มที่หรือไม่ แม้ตั้งแต่คําว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ความรู้ตัว ปัจจุบันธรรม เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ว่าไปนึกเอา การนึกการคิด การปรุงการแต่ง อันนั้นเป็นแค่เพียงแผนที่ เราต้องสร้างขึ้นมาให้มีให้เกิดขึ้น
ความรู้ตัวไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมา ใจไม่สงบ เราก็พยายามฝึกให้จนสงบ ใจยังเกิด เป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลสอยู่ เราพยายามละกิเลสออกจากใจของเรา มันเกิดเมื่อไหร่ เราก็ละเมื่อนั้นแหละ ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ ไปแสวงหาที่โน่นที่นี่ อันนั้นมันห่างไกล เราต้องเจริญสติ น้อมเข้าไปรู้กายของเรา ลึกลงไปรู้ใจของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติของเราตั้งมั่นหรือเปล่า ไม่ต้องไปเที่ยวแสวงหา ถามคนโน้นถามคนนี้
เราพยายามเจริญสติเข้าไปตรวจสอบใจพวกเราตลอดเวลา เรารู้ใจของเรามันเกิด มันเกิดส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร ได้ยาวได้สั้น ตั้งแต่เริ่มก่อตัว เราดับ เราหยุด หรือว่าเราตามดู ตามรู้ ตามเห็น ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไหร่ เรื่องอื่นสนใจกันดี ที่โน้นบ้าง ที่นี่บ้าง คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ สถานที่นั้นเป็นอย่างนั้น สถานที่นี้เป็นอย่างนี้ มันปรุงมันแต่งไปสารพัดอย่าง แทนที่จะดูต้นตอ ต้นเหตุของการเกิด มันเกิดตรงไหน
เราทำความเข้าใจได้ระดับไหน เราละกิเลสได้ระดับไหน เรารู้ไม่ทัน เรารู้จักควบคุมเอาไว้หรือเปล่า กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ไม่ใช่ว่าเที่ยวแสวงหาธรรมที่โน่นที่นี่ บางทีไปที่โน่นที่นี่ก็ไป มีตั้งแต่วิ่งตามอารมณ์ วิ่งตามกิเลส ตรงไหนว่าดีก็ไปมันก็ดีอยู่ในระดับของสมมติ ที่ยังฝักใฝ่ในบุญในกุศลอยู่ แต่การเกิด การวิ่ง การหลง มันก็ยังมีอยู่ ตราบใดที่กําลังสติไม่ต่อเนื่อง ไม่แหลมคม อยู่คนเดียวเราก็วิเคราะห์เรา อยู่หลายคนก็วิเคราะห์เรา หมดความสงสัยในตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา
อันนี้กายเป็นส่วนของสมมติ ซึ่งเป็นรูปธรรม ไอ้ตัวใจ ตัววิญญาณอยู่ในขันธ์ ๕ ของเรา มันสงบมันปกติอย่างไร เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเราได้เต็มที่หรือไม่ หรือว่าแบกพันธะภาระ แบกกายของเราไปให้คนอื่นเขารับผิดชอบ แม้แต่ตัวของเราเองเรา ก็ยังรับผิดชอบตัวเราเองไม่ได้ มันก็หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่
เราต้องรีบแก้ไขตัว ปรับปรุงตัวเราเองตลอดเวลา ทั้งสมมติภายนอก เรามีอะไรเราก็ทำให้ดี อยู่บ้านก็มีความสุข อยู่ที่ทำงานก็มีความสุข อยู่วัดก็มีความสุข ถ้าเราเข้าใจในชีวิต เอากายนี่แหละเป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ อยู่ที่บ้านก็เป็นวัด อยู่ที่วัดก็เป็นวัด วัดใจของเรา ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ลักษณะของใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ความปกติ ภาษาธรรมภาษาโลก ภาษาธรรมเรียกว่า ‘ศีล สมาธิ’ อะไรคือ ‘ศีล’ อะไรคือ ‘สมาธิ’ อะไรคือ ‘ปัญญา’ อะไรคือ ‘ลักษณะของสติ’ ภาษาธรรม สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นอย่างไร
เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ถึงความหมายนั้นๆ แล้วก็พยายามสร้างให้มี ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ไม่ใช่ว่าวิ่งตามตั้งแต่อำนาจของกิเลส ถ้าพูดตามกิเลสแล้วชอบใจ ถ้าฝืนกิเลสเราไม่ค่อยจะถูกใจ เราก็ต้องพยายาม บุคคลมีสติมีปัญญา ไม่จำเป็นต้องไปนั่นยากเลย อยู่คนเดียวก็วิเคราะห์ใจ วิเคราะห์กาย ทำหน้าที่ของเราให้ดี อยู่หลายคนก็มีความสุข มีอะไรก็อนุเคราะห์ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน ไม่เป็นพันธะ เป็นภาระให้กับตัวเอง เป็นภาระให้กับคนอื่น เป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบที่สูง หมั่นวิเคราะห์ตัวเราเอานะ ทุกเรื่องนั่นแหละในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายปกติ ใจปกติ อันนู้นอันนี้ พันธะภาระที่จะต้องทำ ต้องทำให้เรียบร้อย ก็อยู่ดีมีความสุข ถ้าเราไปงอมืองอเท้า มีแต่ความเกียจคร้าน ไม่มีความรับผิดชอบ ใช้การไม่ได้เลย ต้องเป็นคนที่ขยัน ขยันจริงๆ นั่นแหละถึงจะเข้าใจในเรื่องจิต ในเรื่องธรรม ขยันหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจ หมั่นขัดเกลา หมั่นละกิเลส หมั่นทำความเข้าใจ อันนี้ลักษณะของใจที่ว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ถ้าใจยังไม่คลายออกจากความคิด มันก็เพียงแค่ความสงบ ก็ยังถ้าใจยังเกิดอยู่ แล้วก็เข้าหลักของอริยสัจ สมุทัยสาเหตุแห่งทุกข์ อย่ารู้แต่ชื่อ เราต้องพยายามให้เข้าถึงลักษณะหน้าตา อาการนั้นๆ แล้วก็ละออกให้มันหมด
ความจริงสัจจธรรมนั้นมีอยู่ ธรรมะมีอยู่ประจำโลกอยู่แล้ว แต่จิตของเรามันยังเกิด ยังหลงอยู่ เลยเข้าไม่ถึงธรรมชาติ ตราบใดที่จิตยังเกิดอยู่ มันก็ยังหลงอยู่ หลงเกิดอยู่ อาจจะเกิดในกองบุญกองกุศล เราต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าชีว่าโยม คนที่มีปัญญา ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากเลย หมั่นสั่งสอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง สักกี่เที่ยว เป็นกุศลหรือว่าอกุศล
ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร กายมีหน้าที่อย่างไร การกินอยู่ขับถ่ายเป็นอย่างไร เราจะบริหารกาย บริหารใจของเราอย่างไร จะมีความสนุก มีความสุขในการวิเคราะห์ ในการดู ในการรู้ ส่วนมากก็ไปที่โน่น ที่โน่นเป็นอย่างนั้น ที่นั่นเป็นอย่างนี้ คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ มีแต่เรื่องของคนอื่นทั้งนั้น แทนที่จะเอาเรื่องของตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา แล้วก็สร้างประโยชน์ สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น เราก็พลอยได้รับอานิสงส์คนอื่นมาก็พลอยได้รับอานิสงส์ ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป มีอะไรก็ช่วยกัน
ลองสูดลมหายใจให้ชัดเจน สร้างความระลึกรับรู้ทั้งลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกให้ชัดเจนนะ ทำจิตให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง พันธะภาระหน้าที่ต่างๆ วางเอาไว้ หยุดเอาไว้เสียก่อน กระตุ้นสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสถึงลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกัน
ไหว้พระพร้อมๆกัน ค่อยๆสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ