หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 156

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 156
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 156
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน อากาศเย็นๆ คืนนี้ก็จะได้มีการสวดมนต์เคาท์ดาวน์ที่ลานองค์หลวงปู่ใหญ่ องค์หลวงปู่ใหญ่ก็แสดงปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์มากมายองค์ยืนองค์นั่ง องค์ยืนนั้นเมื่อประมาณเดือนก่อนมีโยมท่านหนึ่งมาจากกรุงเทพเป็นด็อกเตอร์นี่แหละ เป็นด็อกเตอร์มาถ่ายรูป มาถ่ายรูปองค์หลวงปู่ใหญ่ ถ่ายไปถ่ายมาก็เลยบอกว่าอยากจะเห็นความมหัศจรรย์ อธิษฐานจิตอยากจะเห็นความมหัศจรรย์ของหลวงปู่ใหญ่ว่าอย่างนั้น

ตอนพลบค่ำนั่นแหละ ถ่ายตั้ง 20-30 รูป พอถ่ายรูปที่อยากจะเห็นความมหัศจรรย์องค์หลวงปู่ใหญ่ถ่ายได้หมดทุกอย่าง รอบข้างศาลารอบข้างก็ถ่ายติดหมด รอบข้างถ่ายติดหมดแท่นยืนของท่านก็ถ่ายติดหมดแต่องค์ท่านไม่มีเลยองค์ท่านหาย คนที่ถ่ายนั้นกลับตกใจไปเลย ท่านแสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นทุกองค์ๆ องค์หลวงปู่ใหญ่กลางป่าก็เหมือนกันที่ท่านแสดงปาฏิหาริย์บางทีก็หลับตายิ้มให้ช่างภาพก็มี บางทีก็ยกมือโบกให้ก็มี แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้นะยังดับทุกข์ไม่ได้ อันนี้เกิดจากอำนาจของเทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่องค์ท่านมาดูแลรักษาท่าน เหล่าเทพภพภูมิต่างๆ จากชั้นสูงลงมาหมด เวลาองค์สูงๆ มาเนี่ยจะใสจนเหลือองค์นิดเดียวจะสว่างมาก ถ้าองค์พวกที่ยังจิตใจยังไม่ละเอียดพอก็พอเป็นดวงๆ

เกิดปรากฏการณ์มากมายในสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่วันแรกที่หลวงพ่อเข้ามา เข้ามาอยู่ป่าช้าวันแรกก็สว่างเต็มทั่วป่าช้ามองเห็นทุกจุดทุกมุม หลวงพ่อถึงมองเห็นว่าเออสถานที่ตรงนี้จะได้เป็นแหล่งบุญใหญ่ในวันข้างหน้า หลวงพ่อก็ได้จัดทำขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ได้ลำบาก

สมัยก่อน 30 ปีนี่ลำบากอยู่ ลำบากที่นั่งที่พักที่อาศัยที่หลับที่นอน ไม่มีใครอยากจะเข้ามามีแต่กองกระดูกเต็มเกลื่อนกลาดไปหมด ทั้งกองทั้งกองกระดูกทั้งเผาทั้งฝัง ที่ท่านนั่งอยู่ในกองกระดูกทั้งนั้นแหละ ที่ขุดขึ้นมาแล้วก็มาถมที่อยู่คนเดียวของหลวงพ่อนี้แหละ ไม่มีใครมาช่วยเท่าไรหรอกสมัยโน้น มีตั้งแต่ตาอ้วนเนี่ยนะเอารถไถมาช่วยเอารถเครนมาช่วยเอารถขุดมาช่วย สมัยก่อนยากลำบากอยู่

ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ลำบากแล้ว ทุกคนมาก็เป็นแหล่งบุญใหญ่ของทุกคน เป็นแหล่งบุญใหญ่ของทุกคนได้ช่วยกันมาปีนั้นปีนี้ ปีนั้นปีนี้ สมัยก่อนแม้ตั้งแต่ถ้วยชามจะใส่กับข้าวกับปลาทานนี้ก็ต้องขุดเอากับหลุมศพเลย ถ้วยชามตราไก่ ไม่มีถ้วยจะใส่ทานถึงขนาดนั้นลำบากก็ลำบาก ที่พักที่อาศัยที่หลับที่นอนไม่มีเลยต้องมาทำมาสร้าง ต้นไม้ที่พวกท่านเห็นให้ความร่มรื่นร่มเย็นนี่ก็ปลูกขึ้นมาทั้งนั้น แทบทุกจุดทุกซอกทุกมุม อาศัยความเพียร อาศัยความเสียสละอาศัยความอดทน ทั้งละกิเลสภายในทั้งยังสมมติให้เกิดประโยชน์

พวกท่านมาทีหลังนี่ก็ได้เสวยผล มีตั้งแต่ดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วให้ไว อย่าพากันเกียจคร้านพากันขยันหมั่นเพียร อะไรที่จะเป็นบุญอะไรที่จะเป็นสิริมงคลของชีวิตให้รีบทำ กายก็ไม่ได้ลำบากสถานที่ก็ไม่ได้ลำบาก ก็มีตั้งแต่การชำระสะสางกิเลสให้ไปได้เร็วได้ไว อย่ามาปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีโอกาสมีเวลา บุญสมมติพวกเราทุกคนได้มีโอกาสได้ทำร่วมกันมาจนเต็มเปี่ยมจนล้นออกไปทุกที่

สมัยก่อนนี้ก็ยาก ยากแม้แต่เงินที่จะทำแค่ 5 บาท 10 บาทนี่ก็ทั้งยากลำบาก ทุกวันนี้ล้นไปทั่ว มีโอกาสก็ได้เปิดได้ทำได้ทุกที่เท่าที่โอกาสอำนวยให้ นี่แหละบุญเล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าไปมองข้าม จัดระบบระเบียบของความคิดของอารมณ์ของจิตใจ แม้แต่สมองสติปัญญาถ้าเป็นอกุศลแล้วก็ต้องให้ละ ให้มองดูโลกในทางที่ดี คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์ในชีวิต

ตื่นขึ้นมาทุกเรื่อง ตั้งแต่รู้ตัว สติตั้งมั่นใจรับรู้ จะลุกจะก้าวจะเดิน ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จะรับประทานข้าวปลาอาหาร ใจเกิดความอยากหรือว่ากายหิวเราต้องหัดพิจารณา ในหลักธรรมท่านเรียกว่าปฏิสังขาโย ถ้าเราไม่สร้างไม่ทำมันก็ไม่มี สติไม่สร้างขึ้นมาก็ไม่มี เราไม่ละกิเลสใจก็ไม่สะอาดไม่บริสุทธิ์ เราก็ต้องพยายามละกิเลสดับความเกิด

ใจมันเกิดมาตั้งนาน ใจหลงเกิดมาตั้งนาน อาจจะเกิดอยู่ในคุณงามความดีไปตามแรงเหวี่ยงของกรรมดี กรรมหนักกรรมเบากรรมไหนจะแรง เราต้องมาศึกษาเรื่องกรรมให้ละเอียด กรรมในกายของเราก็ขันธ์ห้าของเรานี่แหละก้อนกรรม ใจของเราไปก่อไปเกิดไปยึดอีกทำให้เกิดวิบาก

ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนมาจากเหตุมาจากผล พระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่ต้นเหตุ เหตุเกิดอย่างนี้ ไปอย่างนี้มาอย่างนี้ เราต้องหาเหตุให้เจอแล้วก็ดับเหตุนั้นเสีย กายเนื้อของเรามันก็เป็นเหตุของตัววิญญาณมาสร้างภพขึ้นมา เราก็ทำความเข้าใจกับเขาแล้วก็ไปดับความเกิดคลายความหลงที่วิญญาณของเราให้หมดจดอีกก่อนที่กายเนื้อจะแตกดับ กายเนื้อแตกดับไม่ต้องไปเกิดที่ไหนอีกต่อ เราก็จะได้ไม่ได้ทุกข์ ถึงเกิดก่อให้เกิดอยู่ในกองบุญอยู่ในกองบุญกองกุศล สร้างอานิสงส์บุญบารมีให้มีให้เกิดขึ้น

เย็นวันนี้ก็พากันมามีโอกาสก็ชวนพี่ชวนน้องมา มาสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต กลางค่ำกลางคืนอากาศเย็นๆ โล่งๆ โปร่งๆ มีเวลาก็มาเดินพิจารณาใจของเรา ใจของเราขณะนี้เป็นอย่างไร ใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ หรือว่าใจของเรามีความหลงอะไร สมมติอะไรที่เรายังค้างๆ อยู่ที่เราจะต้องทำให้เรียบร้อย เราจะไปทำให้ถึงจุดหมายปลายทางเลยก็ไม่ได้หรอกเพราะว่าวิบากกรรมแต่ละคนสร้างมาไม่เหมือนกัน เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้เราจะเร่งให้ออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ เราก็ต้องหมั่นดูแลจนถึงเวลาของเขา

การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน กำลังสติปัญญาของเรามีเพียงพอหรือไม่ สติปัญญาถูกต้องหรือไม่ เรามีความเพียรที่ต่อเนื่องหรือไม่ เรามีการละกิเลสหรือไม่ จิตใจของเราเป็นอย่างไร มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความจริงใจ มีความเสียสละ หรือว่ามีทิฏฐิมีความเห็นอย่างไร เราต้องหัดเจริญสติเข้าไปแก้ไข สติรู้กายเป็นอย่างไร ลึกลงไปรู้ใจเป็นอย่างไร แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราให้ได้ บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น อย่าให้คนอื่นต้องบังคับเราบังคับตัวเราแก้ไขตัวเรา

คนที่จะเดินถึงจุดหมายปลายทางต้องเป็นบุคคลที่รู้จักแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง ถ้าไม่เอา พูดอย่างไรก็ไม่เอาหรอก ถ้าคนจะเอานั่นรู้นิดเดียวไปทำความเข้าใจทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ถึงจุดหมายปลายทาง อยู่คนเดียวก็ถึงอยู่หลายคนก็ถึงถ้ารู้จักแก้ไขตัวเรา อยู่ด้วยกันกับหมู่กับคณะ ความรับผิดชอบความเสียสละต้องเต็มเปี่ยม เปลี่ยนจากภาระเป็นหน้าที่ จากหน้าที่เป็นความรับผิดชอบ ไม่ใช่จะเอาตั้งแต่ทิฏฐิเข้าห้ำหั่นกัน การฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเรา ศึกษาธรรมไม่ใช่ว่ามาเถียงกัน เอามาขัดเกลามาละกิเลสให้รู้ให้เข้าถึงจุดหมาย หมดความสงสัยหมดความลังเลมีตั้งแต่ความสุข

ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมที่โน่นปฏิบัติธรรมที่นี่ สติก็ยังไม่รู้จักปัญญาก็ยังไม่รู้จัก ความสงบ ความว่าง ฐานของใจก็ยังไม่เห็น ก็ได้แบกตั้งแต่ความหลงนั่นแหละไปปฏิบัติไปฝึกก็ได้ฝึกอยู่ตั้งแต่รูปแบบแค่พิธีรีตอง เราต้องพยายามเข้าให้ถึงฐานของใจ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราละได้หรือละไม่ได้ ก็ต้องพยายามจัดการกับใจของเราตั้งแต่ตื่น รู้ตัวปุ๊บ ใจเกิดสักกี่เที่ยว ใจส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร เหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้เกิดได้อย่างไร ถ้าเราไม่ศึกษาให้ละเอียดมันก็วิ่งหาตั้งแต่ธรรมหาตั้งแต่เงาไม่เห็นตัวของใจสักที ใจเขาก็หาเรื่องหาราวมาปิดกั้นตัวเองเอาไว้เพราะว่าเขาเกิดมาตั้งนาน เขาเกิดก็ยังเอาขันธ์ห้ามาปิดกั้นเอาไว้ มาเอากายเนื้อปิดกั้นเอาไว้ ก็แสวงหาสิ่งดีๆ มาปิดกั้นเอาไว้

นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล จนใจยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะยอมปล่อยยอมวางได้ ถ้าไม่เด็ดขาดกับตัวเราแล้วไม่มีใครเด็ดขาดให้ตัวเราได้หรอกนอกจากตัวของเราเอง เราก็เพียงแค่ชี้แนะแนวทางตามแนวทางของพระพุทธองค์ที่ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม ก็ต้องพยายามกัน

อย่าลืมนะเย็นนี้ก็พากันมาสวดมนต์กันนะ ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายแล้วก็วางใจให้สบาย เพียงแค่เรามาสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก

ฟังก็สักแต่ว่าฟัง แต่การสร้างความรู้สึกรับรู้น้อมสำเหนียกว่าสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเวลาลมวิ่งเข้าเวลาลมวิ่งออกเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าเรามีความรู้ตัวทั่วพร้อมที่ต่อเนื่องเราก็จะรู้ลึกลงไปว่า รู้ว่าความปกติของใจเป็นอย่างไร เวลาใจก่อตัวอาการของเขาเริ่มเกิดเป็นอย่างไร เวลาความคิดหรือว่าเรียกว่าอาการของขันธ์ห้าที่เราไม่ตั้งใจคิดเขาก่อตัวอย่างไร ตัวใจเคลื่อนเข้าไปร่วมแล้วไปด้วยกันได้อย่างไร นี่แหละความหลงอันลุ่มลึก

หลงตรงนี้แหละ ถ้าคลายตรงนี้ได้ก็จะเข้าใจในคำว่าอัตตาตัวตน คำว่าอนัตตาความว่างเปล่า เข้าใจคำว่าสมมติวิมุตติ เข้าใจในภาษาธรรมภาษาโลก ถ้าไม่เห็นตรงนี้มันก็เข้าใจอยู่ในระดับของปัญญาโลกีย์ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอาเราต้องสังเกตรู้เท่าทันจนกว่าใจของเราจะคลายออก ถ้าคลายออกเมื่อไรเขาใจของเราก็จะหงาย แต่ก่อนนี้เวลานี้ใจของเรายังคว่ำอยู่ถึงจะสงบก็ยังคว่ำอยู่ ถ้าเขาคลายออกจากความคิดเขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’

เพียงแค่แยกรูปแยกนามเพียงแค่เริ่มต้น คำว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้เท่านั้นเอง ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจการตามดูตามรู้ตามเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ปัญญาวิปัสสนามันก็ไม่เกิด การละกิเลสก็ต้องตามมาอีก ดับความเกิดต้องตามมาอีก จนถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย

เพียงแค่การเกิดของใจนิดเดียวเราก็ต้องดับความอยาก อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา ตามทำความเข้าใจให้ละเอียดที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองของรูปเป็นอย่างนี้ กองของนามเป็นอย่างนี้ กองของวิญญาณเป็นอย่างนี้ กองกุศลหรือกองอกุศล รอบรู้ในกองสังขารในขันธ์ห้าของตัวเราเองในกายเนื้อของเรานี้จนใจหมดความสงสัย

หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา จนล้นออกไปสู่สังคมล้นออกไปสู่โลกธรรม โลกธรรมแปดมันเป็นอย่างนี้ สมมติมันเป็นอย่างนี้ เราจะดำเนินบริหารชีวิตของเราอย่างไรถึงจะมีความสงบความสุข นี่แหละก็ต้องพยายาม อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง บุญสมมติเราก็ทำกันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย

มีบุญกันทุกคนนั่นแหละถึงได้เกิดทุกคน ก็ทุกคนเกิดมาก็หลงกันทั้งนั้นแหละถึงได้เกิด ทีนี้เรามาทำความเข้าใจ มาคลายความหลง มาดำเนินให้ถูกต้องถูกที่ถูกทาง ไม่ต้องไปสงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ พยายามทำปฏิบัติแยกรูปแยกนามได้ ตามดูได้แล้วก็จะเข้าใจในเรื่องของอริยสัจสี่ที่ท่านสอนคือความจริงอันประเสริฐ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคเป็นอย่างไร การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือที่จะจำแนกแจกแจงรู้เห็นเป็นชิ้นเป็นอันเป็นส่วน แล้วก็รู้ด้วยปัญญาจนปล่อยวางได้หมด ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร ต้องพยายามกันนะ การพูดมากพูดน้อยไม่มีปัญหาหรอก ไม่จำเป็นๆ พอเรารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว

กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การวิเคราะห์เป็นอย่างนี้ ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ สติไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา การแยกแยะได้ปัญญาตรงตามทำความเข้าใจให้ละเอียด ต่อไปข้างหน้าสติสมาธิปัญญาเขาจะรักษาเรา ยืนเดินนั่งนอนจะร้องตะโกนอยู่ ใจก็บริสุทธิ์ใจก็ไม่เกิดนั่นแหละคือบุญที่แท้จริง เอาบุญ บุญเป็นตัวคือความสุข รู้บุญเป็นตัวเลยทีเดียว มีโอกาสบุญภายนอกเราก็ทำกัน ก็ได้ทำกันอยู่ตลอด หลวงพ่อก็พาทำวันคืนนี้ก็จะได้พาสวดมนต์ให้เป็นสิริมงคล

วันที่ 16 ถึงวันที่ 26 ก็จะได้ตั้งโรงทานใหญ่ ตั้งโรงทานใหญ่ให้กับทางวัดป่าหนองงูเหลือมที่ท่านจัดงานอบรมปริวาสธรรม ท่านได้ขอให้หลวงพ่อไปช่วย หลวงพ่อก็เลยขอรับปากว่าจะทำโรงทานให้ ให้ทั้ง 10 วันโรงทานใหญ่ ใครมีข้าวปลาอาหารมีข้าวสารก็มาร่วมกัน หรือว่าพริกเขือเกลือปลาร้าก็มาร่วมกัน มาจัดทำกับข้าวกับปลาแล้วก็เอาไปตั้งเอาไว้ที่โรงทานที่วัดป่าหนองงูเหลือม เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ขึ้นไป นี่แหละมีโอกาสก็เปิดให้กับทุกคน มีพร้อมมูลหมดไม่ได้ลำบาก เพียงแค่เอากายเข้ามาช่วยน้อมใจเข้ามาอนุโมทนาสาธุขณะที่เรายังมีกำลังมีลมหายใจอยู่

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ

ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง