หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 154
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 154
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายวางใจให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าแค่ชี้แค่แนะวิธีอุบายเท่านั้นแหละ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อทางด้านร่างกายของเรากายของเราก็สบายขึ้น เวลาเราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ จะมีความรู้สึกรับรู้ที่ชัดเจน ความรู้สึกรับรู้ที่ปลายจมูกของเราเวลาลมหายใจเข้าเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ เวลาลมหายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความสืบต่อมีความต่อเนื่อง ขอให้ต่อเนื่องให้เกิดความเคยชิน
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก เวลาจะสร้างความรู้ตัวทีนี่อึดๆ อัดๆ หายใจก็อึดๆ อัดๆ การนั่งก็ลำบากการหายใจก็ลำบาก เพราะว่าเราไม่ได้เกิดความเคยชินตรงนี้ความเคยชินเขาก็หายใจอยู่ธรรมชาติแบบโลกๆ แต่ความรู้ตัวไม่มี เราถึงมาฝึกยิ่งไม่เข้าใจเท่าไรเราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรเป็นทวีคูณ อันนี้เพียงแค่เริ่มต้นในการรู้กายเท่านั้นเองนะในการรู้กาย ลึกลงไปแล้วก็จะรู้ว่าใจของเราปกติ ความปกติเป็นอย่างไร
ใจเกิดความอยากความทะเยอทะยานอยากเราดับได้หรือไม่ ความคิดซึ่งภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ ซึ่งมีอยู่ในกายของเรานี้เขาผุดขึ้นมา ใจของเราจะเคลื่อนเข้าไปร่วมได้อย่างไร เราต้องแยกให้ชัดเจนว่าความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา แล้วจริตจิตใจของเรามันน้อมไปในทางไหน มีศรัทธาน้อมเข้ามาในการละอายเกรงกลัวต่อบาป ในการในความเสียสละ ในความรับผิดชอบ ในความขยันมั่นเพียร แล้วก็สร้างความรู้ตัวจนกลายเป็นมหาสตินั่นแหละ จนแยกได้หมั่นพร่ำสอนใจของเราได้ ถ้าเราไม่เห็นตัวใจเราจะไปสอนใจของเราได้อย่างไร ถ้าเราไม่ดับความเกิดใจของเราก็เกิดอยู่นั้นแหละ
สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาต้องหาเหตุหาผลต้องรู้เห็นเหตุเห็นผล ให้ใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้ทุกเรื่องเขาถึงจะยอมปล่อยยอมวางได้ บางทีใจของเราก็สงบอยู่เป็นบางครั้งบางคราว ถ้าไม่ตามหาเหตุหาผลให้ละเอียดให้ต่อเนื่องให้ทุกเรื่องทุกอย่างจริงๆ เขาก็ไม่ยอมปล่อยยอมวางเหมือนกัน เขาก็หาเหตุหาผลมาปิดบังอำพรางตัวเองเหมือนกัน ฝ่ายกิเลสต่างๆ ฝ่ายอกุศลต่างๆ กำลังสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาใหม่นี้แหละ พยายามฝึกสร้างขึ้นมาให้เกิดความเคยชินให้ได้ทุกอิริยาบถ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส มีสติคอยดูรู้ใจของเรา ภาษาธรรมท่านเรียกว่า สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร ใจเกิดเราก็รู้จักดับ จะเอาตั้งแต่ธรรมการเจริญสติไม่มีการวิเคราะห์ไม่มีทั้งที่ใจเป็นบุญ ใจมันเกิดมันปิดบังอำพรางตัวเองอยู่ เราต้องจำแนกแจกแจงให้ชัดเจนว่าลักษณะของสติความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาเป็นลักษณะอย่างนี้ จนกว่าเอาไปใช้การใช้งานได้จนกว่าจะไปควบคุมใจได้ หมั่นพร่ำสอนใจได้ ใจรู้เห็นความเป็นจริงได้ถึงจะเอาไปใช้
ปัญญาฝ่ายธรรม ความเข้าใจฝ่ายแยกฝ่ายดับฝ่ายดูฝ่ายรู้ฝ่ายเห็นภายในให้มันเต็มเปี่ยม จนล้นออกไปสู่ภายนอกสู่โลกสู่สังคม โลกธรรมก็เป็นอยู่อย่างนี้ เก็บรายละเอียดทุกอย่างในชีวิตของเราจนหมดงานภายใน จนทำความเข้าใจจนอยู่กับสมมติอย่างมีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข งานภายในก็จบงานภายนอกเราก็ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์
ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักสติ มันจะเข้าใจในชีวิตของเราได้อย่างไร ความอยากก็ปิดกั้นเอาไว้เสีย ขันธ์ห้าความคิดอารมณ์ต่างๆ ก็มาปิดกั้นเอาไว้เสีย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ โลกธรรมก็มาปิดมาครอบงำเอาไว้ กายเนื้อก็มาครอบงำเอาไว้ หลายสิ่งหลายอย่าง
ถ้าบุคคลที่มีบุญมีอานิสงส์มีสติมีปัญญา รู้จักวิธีนิดเดียวไปหมั่นสังเกตว่าใจของเราเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ใจที่ไม่เกิดเอาสติปัญญาไปเกิดแทนทำหน้าที่แทนได้หรือไม่ ใจที่ไม่มีความหลงเป็นอย่างนี้ สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาเอาไปใช้เป็นลักษณะอย่างนี้ โลกธรรมก็เป็นลักษณะอย่างนี้ รู้ไม่เท่าทันเราก็รู้จักระงับยับยั้งรู้จักดับเขาเรียกว่า ‘สมถะ’
มีสติขณะตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส ใจว่างใจสงบ ใจว่างจากการยึดมั่นถือมั่น ว่างจากความคิด ว่างจากกิเลส ใจที่ปราศจากกิเลสเขาก็เป็นสมาธิเขาก็ว่าง ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง เราต้องรู้ให้ชัดเจน ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งหาที่โน้นวิ่งหาที่นี่ ดูมันตั้งแต่ตื่นขึ้นมานะจัดการกับมันดูสิ
ความคิดมันก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร เราจะเอาอะไรไปคิดแทน คนไม่ตายก็ต้องคิดแต่เป็นส่วนสมองส่วนปัญญาเป็นตัวคิด แม้แต่ส่วนสมองส่วนปัญญาถ้าเป็นอกุศลเราก็ดับเราก็ละอีก คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่คิด คิดก็ไม่คิดเฉยๆ เอาการกระทำของเราถึงพร้อมอีกถึงจะเกิดประโยชน์ ก็ต้องพยายามหมั่นพร่ำสอนตัวเรา อย่าไปวิ่งให้คนโน้นเขาบังคับคนนี้ให้เขาบังคับ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ชอบให้คนอื่นเขาบังคับ เราต้องบังคับตัวเองแก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าขึ้นมาใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว เป็นกุศลหรือว่าอกุศล หรือว่าเหตุการณ์จากภายนอกมาปรุงแต่งใจของเราทำให้ใจของเราเกิดสักกี่ครั้ง เราจะแก้วิธีไหนอย่างไรเราถึงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง แนวทางนั้นก็มีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องไปพูดมากหรอก พูดน้อยนอนน้อยปฏิบัติให้มากๆ ทำให้มากๆ แก้ไขให้มากๆ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกปัจจุบันประโยชน์ในโลกหน้า มันมองเห็นชัดเจนหมด วันนี้มีพรุ่งนี้มี เมื่อปีหน้าก็มีวันนี้มี โลกนี้มีโลกหน้าก็มี มีหมดขอให้เราพิจารณาแล้วก็ทำประพฤติปฏิบัติให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา หมดความสงสัย
อย่าไปโทษคนโน้นอย่าไปโทษคนนี้ คนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ที่นั่นไม่ดีที่นี่ไม่ดี ใจของเรามันไม่ดีนะมันถึงไปโทษภายนอก เรามาแก้ไขใจของเราปรับปรุงตัวของเรา เจริญสติเป็นที่พึ่งของใจอบรมใจจนใจของเราอยู่ในองค์สมาธิอยู่ในองค์ฌาน ศีลสมาธิปัญญาเขาก็จะรักษาเรา การประพฤติวัตรปฏิบัติขัดเกลาทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อที่จะคลายความหลงละกิเลสออกจากจิตของเราให้หมดจด ให้รีบๆ ทำอย่าพากันปล่อยปละละเลย งานสมมติอะไรที่จะเป็นบุญเป็นประโยชน์เราก็ช่วยกันทำ ก็จะได้มีตั้งแต่ความสงบความสุข ไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมา หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง
เอาล่ะขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อทางด้านร่างกายของเรากายของเราก็สบายขึ้น เวลาเราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ จะมีความรู้สึกรับรู้ที่ชัดเจน ความรู้สึกรับรู้ที่ปลายจมูกของเราเวลาลมหายใจเข้าเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ เวลาลมหายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความสืบต่อมีความต่อเนื่อง ขอให้ต่อเนื่องให้เกิดความเคยชิน
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก เวลาจะสร้างความรู้ตัวทีนี่อึดๆ อัดๆ หายใจก็อึดๆ อัดๆ การนั่งก็ลำบากการหายใจก็ลำบาก เพราะว่าเราไม่ได้เกิดความเคยชินตรงนี้ความเคยชินเขาก็หายใจอยู่ธรรมชาติแบบโลกๆ แต่ความรู้ตัวไม่มี เราถึงมาฝึกยิ่งไม่เข้าใจเท่าไรเราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรเป็นทวีคูณ อันนี้เพียงแค่เริ่มต้นในการรู้กายเท่านั้นเองนะในการรู้กาย ลึกลงไปแล้วก็จะรู้ว่าใจของเราปกติ ความปกติเป็นอย่างไร
ใจเกิดความอยากความทะเยอทะยานอยากเราดับได้หรือไม่ ความคิดซึ่งภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ ซึ่งมีอยู่ในกายของเรานี้เขาผุดขึ้นมา ใจของเราจะเคลื่อนเข้าไปร่วมได้อย่างไร เราต้องแยกให้ชัดเจนว่าความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา แล้วจริตจิตใจของเรามันน้อมไปในทางไหน มีศรัทธาน้อมเข้ามาในการละอายเกรงกลัวต่อบาป ในการในความเสียสละ ในความรับผิดชอบ ในความขยันมั่นเพียร แล้วก็สร้างความรู้ตัวจนกลายเป็นมหาสตินั่นแหละ จนแยกได้หมั่นพร่ำสอนใจของเราได้ ถ้าเราไม่เห็นตัวใจเราจะไปสอนใจของเราได้อย่างไร ถ้าเราไม่ดับความเกิดใจของเราก็เกิดอยู่นั้นแหละ
สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาต้องหาเหตุหาผลต้องรู้เห็นเหตุเห็นผล ให้ใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้ทุกเรื่องเขาถึงจะยอมปล่อยยอมวางได้ บางทีใจของเราก็สงบอยู่เป็นบางครั้งบางคราว ถ้าไม่ตามหาเหตุหาผลให้ละเอียดให้ต่อเนื่องให้ทุกเรื่องทุกอย่างจริงๆ เขาก็ไม่ยอมปล่อยยอมวางเหมือนกัน เขาก็หาเหตุหาผลมาปิดบังอำพรางตัวเองเหมือนกัน ฝ่ายกิเลสต่างๆ ฝ่ายอกุศลต่างๆ กำลังสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาใหม่นี้แหละ พยายามฝึกสร้างขึ้นมาให้เกิดความเคยชินให้ได้ทุกอิริยาบถ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส มีสติคอยดูรู้ใจของเรา ภาษาธรรมท่านเรียกว่า สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร ใจเกิดเราก็รู้จักดับ จะเอาตั้งแต่ธรรมการเจริญสติไม่มีการวิเคราะห์ไม่มีทั้งที่ใจเป็นบุญ ใจมันเกิดมันปิดบังอำพรางตัวเองอยู่ เราต้องจำแนกแจกแจงให้ชัดเจนว่าลักษณะของสติความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาเป็นลักษณะอย่างนี้ จนกว่าเอาไปใช้การใช้งานได้จนกว่าจะไปควบคุมใจได้ หมั่นพร่ำสอนใจได้ ใจรู้เห็นความเป็นจริงได้ถึงจะเอาไปใช้
ปัญญาฝ่ายธรรม ความเข้าใจฝ่ายแยกฝ่ายดับฝ่ายดูฝ่ายรู้ฝ่ายเห็นภายในให้มันเต็มเปี่ยม จนล้นออกไปสู่ภายนอกสู่โลกสู่สังคม โลกธรรมก็เป็นอยู่อย่างนี้ เก็บรายละเอียดทุกอย่างในชีวิตของเราจนหมดงานภายใน จนทำความเข้าใจจนอยู่กับสมมติอย่างมีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข งานภายในก็จบงานภายนอกเราก็ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์
ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักสติ มันจะเข้าใจในชีวิตของเราได้อย่างไร ความอยากก็ปิดกั้นเอาไว้เสีย ขันธ์ห้าความคิดอารมณ์ต่างๆ ก็มาปิดกั้นเอาไว้เสีย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ โลกธรรมก็มาปิดมาครอบงำเอาไว้ กายเนื้อก็มาครอบงำเอาไว้ หลายสิ่งหลายอย่าง
ถ้าบุคคลที่มีบุญมีอานิสงส์มีสติมีปัญญา รู้จักวิธีนิดเดียวไปหมั่นสังเกตว่าใจของเราเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ใจที่ไม่เกิดเอาสติปัญญาไปเกิดแทนทำหน้าที่แทนได้หรือไม่ ใจที่ไม่มีความหลงเป็นอย่างนี้ สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาเอาไปใช้เป็นลักษณะอย่างนี้ โลกธรรมก็เป็นลักษณะอย่างนี้ รู้ไม่เท่าทันเราก็รู้จักระงับยับยั้งรู้จักดับเขาเรียกว่า ‘สมถะ’
มีสติขณะตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส ใจว่างใจสงบ ใจว่างจากการยึดมั่นถือมั่น ว่างจากความคิด ว่างจากกิเลส ใจที่ปราศจากกิเลสเขาก็เป็นสมาธิเขาก็ว่าง ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง เราต้องรู้ให้ชัดเจน ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งหาที่โน้นวิ่งหาที่นี่ ดูมันตั้งแต่ตื่นขึ้นมานะจัดการกับมันดูสิ
ความคิดมันก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร เราจะเอาอะไรไปคิดแทน คนไม่ตายก็ต้องคิดแต่เป็นส่วนสมองส่วนปัญญาเป็นตัวคิด แม้แต่ส่วนสมองส่วนปัญญาถ้าเป็นอกุศลเราก็ดับเราก็ละอีก คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่คิด คิดก็ไม่คิดเฉยๆ เอาการกระทำของเราถึงพร้อมอีกถึงจะเกิดประโยชน์ ก็ต้องพยายามหมั่นพร่ำสอนตัวเรา อย่าไปวิ่งให้คนโน้นเขาบังคับคนนี้ให้เขาบังคับ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ชอบให้คนอื่นเขาบังคับ เราต้องบังคับตัวเองแก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าขึ้นมาใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว เป็นกุศลหรือว่าอกุศล หรือว่าเหตุการณ์จากภายนอกมาปรุงแต่งใจของเราทำให้ใจของเราเกิดสักกี่ครั้ง เราจะแก้วิธีไหนอย่างไรเราถึงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง แนวทางนั้นก็มีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องไปพูดมากหรอก พูดน้อยนอนน้อยปฏิบัติให้มากๆ ทำให้มากๆ แก้ไขให้มากๆ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกปัจจุบันประโยชน์ในโลกหน้า มันมองเห็นชัดเจนหมด วันนี้มีพรุ่งนี้มี เมื่อปีหน้าก็มีวันนี้มี โลกนี้มีโลกหน้าก็มี มีหมดขอให้เราพิจารณาแล้วก็ทำประพฤติปฏิบัติให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา หมดความสงสัย
อย่าไปโทษคนโน้นอย่าไปโทษคนนี้ คนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ที่นั่นไม่ดีที่นี่ไม่ดี ใจของเรามันไม่ดีนะมันถึงไปโทษภายนอก เรามาแก้ไขใจของเราปรับปรุงตัวของเรา เจริญสติเป็นที่พึ่งของใจอบรมใจจนใจของเราอยู่ในองค์สมาธิอยู่ในองค์ฌาน ศีลสมาธิปัญญาเขาก็จะรักษาเรา การประพฤติวัตรปฏิบัติขัดเกลาทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อที่จะคลายความหลงละกิเลสออกจากจิตของเราให้หมดจด ให้รีบๆ ทำอย่าพากันปล่อยปละละเลย งานสมมติอะไรที่จะเป็นบุญเป็นประโยชน์เราก็ช่วยกันทำ ก็จะได้มีตั้งแต่ความสงบความสุข ไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมา หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง
เอาล่ะขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ