หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 141

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 141
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 141
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้ทำให้ชำนาญแล้วหรือยัง ถ้าเราทำชำนาญแล้วเราก็พยายามหัดรู้ให้เท่าทันใจของเรา รู้การเกิดการดับของใจของเรา รู้อาการของใจที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ

อันนั้นหลังจากที่กำลังสติของเราต่อเนื่อง เขาก็จะไปรู้ไปเห็นการเกิดการดับของใจ รู้จักการละกิเลส รู้จักการควบคุม ใจส่งออกไปภายนอกเราควบคุมได้ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ถ้าอาการของใจผุดขึ้นมาใจขึ้นก็ไปรวม ถ้าเรารู้ทันใจก็จะแยกคลายออกใจก็จะหงายเขาเรียกว่าพลิกเขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ภาษาธรรมเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง

นี่แหละ อวิชชาอยู่ตรงนี้ความหลงอยู่ตรงนี้ เรามาคลายความหลง วิชชาแยกได้วิชชาความรู้จริงก็เปิดทางให้ ทีนี้การละกิเลสละทิฏฐิละมานะ ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดที่ใจของเราอีก เราต้องมาละมาดับ ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืนเพราะว่าความเคยชินของใจเขาหลงมาตั้งนาน เขาเกิดมาตั้งนานเกิดในภพน้อยเกิดในภพใหญ่ แม้ตั้งแต่อยู่ในภพของมนุษย์เขาก็เกิดอยู่ตั้งแต่เช้าขึ้นมาไม่รู้สักกี่เรื่อง

เฉพาะตัวใจเฉพาะตัววิญญาณ คิดเรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง เรื่องอดีตเรื่องอนาคต เป็นกุศลหรือว่าอกุศลบ้าง ความรู้ตัวหรือว่าสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเข้าไปจัดการเข้าไปวิเคราะห์ แล้วก็ทำความเข้าใจแล้วค่อยละ เรารู้ไม่ทันต้นเหตุท่านถึงให้ใช้สมถะเข้าไปหยุดเข้าไปดับเข้าไประงับยับยั้ง เจริญในสิ่งตรงกันข้าม แต่ละวันใจของเรามีความอ่อนน้อม มีพรหมวิหารมีความเมตตา ต้องเป็นความเมตตาที่แยกแยะด้วยปัญญา ไม่ใช่ความเมตตาที่เกิดจากใจวิ่งวุ่นอยู่ตลอด อะไรถูกอะไรผิด อะไรคือเหตุอะไรคือผล เราต้องคลายใจออกจากความคิดให้ได้เสียก่อน ตามทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อน จากน้อยๆ ไปหามากๆ

ที่พูดนี่ง่าย แต่การสังเกตการวิเคราะห์นี่แล้วแต่เหตุการณ์แล้วแต่เวลา กิเลสเขาไม่ได้เลือกกาล เลือกเวลา ใจก็ไม่การเกิดของใจก็ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ถ้าเรารู้ด้วยเห็นด้วยควบคุมได้ด้วยตามดูขันธ์ห้าได้ด้วยเรื่องอะไรแล้วก็น้อมลงไปสู่อาการของขันธ์ห้าว่ากองเป็นกองเป็นขันธ์ ที่ท่านเรียกว่าขันธ์ห้าเป็นของหนัก กองสังขาร กองวิญญาณ กองรูป กองเวทนา กองสัญญา มันเป็นลักษณะอย่างไร ซึ่งวิญญาณของเราเข้าไปหลง มีหมดความจริงมีหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะ ค้นคว้าให้ถึงความจริงตรงนั้นหรือไม่

บุคคลที่มีบุญมีอานิสงส์ มีความขยันหมั่นเพียรมีศรัทธาย่อมจะฝักใฝ่สนใจตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตามทำความเข้าใจจนหมดความสงสัยแล้วก็ละ ส่วนมากก็จะไปวิ่งเอาตั้งแต่ภายนอก ไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกไม่เอาจากข้างในเสียก่อนเพราะว่าต้นเหตุก็อยู่จากภายใน แต่เราต้องทำความเข้าใจทั้งภายในภายนอก เราก็แก้ไขทั้งภายในภายนอกเพราะเขาก็ยังอาศัยอยู่อาศัยกันอยู่ วิญญาณมาสร้างภพของมนุษย์มาอาศัยกายของมนุษย์ แม้แต่วิญญาณก็ยังไม่ใช่ตัวของตนของเราเพราะว่ามีตั้งแต่ความว่างเปล่า ในความว่างเปล่านั้นมีความรู้สึกรับรู้อยู่ จะค้นคว้าให้เห็นให้ละเอียดจริงๆ เราถึงจะเข้าใจ

ก็ต้องศึกษาให้ละเอียดทั้งกายเนื้อทั้งจิตทั้งวิญญาณซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ไม่ใช่ไปปล่อยปละละเลย ความอยากแม้แต่นิดเดียวความอยากเล็กๆ ที่เกิดจากวิญญาณเราต้องดับ กายของเรายังอาศัยปัจจัยสี่ยังอาศัยสมมติยังอยู่ร่วมกันกับโลกธรรม พากันทำเถอะพากันวิเคราะห์เถอะ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ไปนึกเอาไปคิดเอาตามอำเภอใจของตัวเราเอง เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล ธรรมชาติมีอยู่เดิมพระพุทธองค์เป็นบุคคลที่ค้นพบเอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม ท่านก็บอกว่าธรรมชาติมีอยู่แล้วเขาเป็นอยู่อย่างนั้น แต่ใจนี่เกิดมานานหลงมานาน ทำอย่างไรถึงจะให้เขากลับคืนสู่สภาพเดิมคือความบริสุทธิ์ ความว่างความบริสุทธิ์

กำลังสติปัญญาของเราต้องหาเหตุหาผล ค้นคว้าจนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ ถ้าเขารู้เห็นตามความเป็นจริงได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เขาไม่เอาหรอกทุกข์การเกิดก็เป็นทุกข์ การเป็นทาสของกิเลสก็เป็นทุกข์ ความทะเยอทะยานอยากก็เป็นทุกข์ มันจะเป็นของเขาเองถ้าเรารู้จักวิเคราะห์หาเหตุหาผลจนใจยอมจำนน อยากจะปล่อยอยากจะวาง ถ้าไม่รู้จุดวางก็วางไม่ได้ คือแยกไม่ได้ก็วางไม่ได้ เพียงแค่แยกได้ถ้าไม่ตามทำความเข้าใจให้ละเอียดอีกมันก็วางไม่ได้อีก ก็ต้องพยายามกันนะทั้งพระทั้งชีเรา

ยิ่งพระเราก็พยายามขยันหมั่นเพียร รู้จักการเจริญสติ ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างไร เราไม่เข้าใจเราก็พยายามเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ถึงเรายังจำแนกแจกแจงไม่ได้เราก็จะได้ไปสร้างไปสานต่อ รู้จักวิธีสร้างรู้จักวิธีควบคุมจนกว่าจะแยกแยะได้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติหมด ธรรมชาติของใจ ธรรมชาติของกาย ธรรมชาติของโลกธรรมธรรมชาติของสมมติ อยู่เหนือสมมติไม่ยึดติดสมมติ อยู่กับสมมติเคารพสมมุติ ไม่หลงสมมตินั่นแหละ หมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้จบกันทางด้านสมมติ แต่ให้เรารู้ด้วยปัญญาแยกแยะด้วยปัญญา ก็ต้องพยายามกัน

วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง