หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 130
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 130
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเรา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทั้งพระทั้งชีพิจารณาปฏิสัง ขาโย ทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออกเราต้องรู้ใจของเรา ใจของเราเกิดความอยากเกิดความยินดีเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม จนใจของเราไม่เกิดจนใจของเรารับรู้อยู่ภายใน จะเอาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักธรรมมันก็ไม่เข้าใจในธรรม อยากจะได้ธรรมไม่ละกิเลสมันก็ไม่ถึงธรรม
เราก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกตหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ไม่ใช่ว่าไม่ให้เอาให้เอาด้วยปัญญา ให้เอาด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล ไม่เอาด้วยความทะเยอทะยานอยากให้เกิดจากตัวใจหรือว่าตัววิญญาณ เราต้องรู้ให้ได้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้เท่าทัน รู้จักดับรู้จักแก้ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราตลอดเวลาจนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ ในการบริหารในการทำงาน เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ที่เกิดจากใจของเรา ยังวิ่งยังเกิดยังหลงอยู่
ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ เราก็ต้องพยายามศึกษาพยายามค้นคว้า จนกว่าจะถึงฐานเดิมของใจคือความสงบความสะอาดความบริสุทธิ์ ไม่ใช่ว่าจะแก้แค่วันสองวันเพราะว่าเขาหลงมานาน หลงเกิดมานาน หลงเกิดหลงวนเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยในภพใหญ่ ในบาปในบุญ ในกุศลในอกุศล เพียงแค่เราดับความเกิดหยุดความเกิด ถ้าไม่ ถ้าการเกิดมีเขาก็หลงหลงเกิด อาจจะเกิดอยู่ในบุญหรือว่าอาจจะเกิดอยู่ในกุศลหรือว่าอกุศล เราดับความเกิดได้หรือว่าดับความทะยานทะยานอยากได้ เราก็ตัดภพน้อยภพใหญ่ได้ลงเกือบจะหมดจด
ถ้าเราคลายความหลงดับความเกิดได้ ก็เหลือแต่ภพของมนุษย์ที่มีกายเนื้อเข้ามาห่อหุ้มอยู่ กายเนื้อแตกดับตัววิญญาณก็เข้าสู่ความสงบความสะอาดความบริสุทธิ์ วิญญาณมีอยู่แต่การเกิดไม่มี เดี๋ยวนี้วิญญาณมีทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วย เราก็ต้องมาแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา แต่ละวันตื่นขึ้นมา ใจของเราเป็นบุญเป็นกุศล เราได้สร้างประโยชน์ ประโยชน์มากประโยชน์น้อย เราก็ต้องพยายามเอานะไม่ว่าพระว่าชีว่าฆราวาสญาติโยม ตนเป็นที่พึ่งของตน พึ่งให้ได้ทั้งภายนอกภายใน ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ พยายามสร้าง ยังความเข้มแข็งความเข้มแข็งความกล้าหาญให้มีให้เกิดขึ้นที่กายที่ใจของเรา พิจารณารู้เห็นตามความเป็นจริง
กายของคนเรานี่ก็เป็นก้อนทุกข์เราต้องทำความเข้าใจกับเขา ถึงวันละเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับ ไม่ถึงเวลาเราก็ดูแลรักษาเขาไปจนกว่าเขาจะแตกจะดับ แต่ก็บริหารด้วยสติด้วยปัญญาให้ใจมีความสุข การชำระสะสางกิเลสเราก็ต้องพยายามละกิเลสของเรา อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาบอก กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็รู้จักหยุดรู้จักดับรู้จักละรู้จักให้อภัย สติพลั้งเผลอเราก็รู้จักสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ว่าจะให้เที่ยวให้คนโน้นเขาบังคับคนนี้เขาบังคับ มีแต่คนโง่เท่านั้นนะที่ชอบให้คนอื่นบังคับ
เราต้องบังคับตัวเราเองแก้ไขตัวเราเอง อะไรผิดอะไรถูก อะไรควรละอะไรควรเจริญ ไม่ต้องไปเสียดายอาลัยอาวรณ์กับกิเลสกับอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ ให้รู้ตัวทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย หมั่นพร่ำสอนใจของเราแล้วก็การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม รู้ไม่เท่าทันเราต้องเริ่มใหม่ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ตามดูเห็นความเป็นจริงในชีวิตของเรา มองเห็นหนทางเดิน ตามทำความเข้าใจ
การประพฤติปฏิบัติธรรม การทำความเข้าใจ ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรถึงจะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เห็นรู้ทำความเข้าใจ แยกแยะตามดู แต่ส่วนมากก็ใจก็อยู่ในกองบุญกองกุศลอยู่ในระดับบุญของโลกิยะของสมมติ รายละเอียดลักษณะของใจที่สงบ ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น การละกิเลสทุกเรื่อง การดับความเกิดทุกอย่าง ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรถึงจะถึงจุดหมายปลายทางตรงนั้นได้ แต่เราก็อย่าไปท้อก็ต้องพยายาม ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ
สอนตัวเราแก้ไขตัวเราวิเคราะห์ตัวเราอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น การทำบุญให้ทานมีโอกาสได้สร้างบุญบารมีร่วมกัน แต่การละกิเลสเป็นเรื่องของเราเองไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เราก็ต้องแก้ไขตัวเราไม่ใช่ว่าไปโทษตั้งแต่คนโน้นโทษตั้งแต่คนนี้ ไปอคติไปเพ่งโทษที่โน่นที่นี่ อย่างนั้นมีแต่คนโง่ชอบไปเพ่งโทษคนโน้นคนนี้ ต้องเพ่งโทษตัวเองแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง หัดเป็นคนฉลาด จนปล่อยวางได้หมดนั่นแหละ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้เจริญสติให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง เพียงแค่เจริญสติทำให้มีให้เกิดขึ้นพวกเราก็ไม่ค่อยจะสนใจกันทำให้ต่อเนื่อง ก็เลยรู้ไม่เท่าทันการเกิดของจิต การเกิดของความคิด การแยกรูปแยกนามตรงนั้นจะตามมาทีหลัง
ถ้าเรารู้จักสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้จักจำแนกแจกแจง อันนี้คือสติความระลึกรู้ตัวที่ต่อเนื่องที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้คือใจ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เขาเกิดเข้าปรุงเขาแต่งอาการเขาก่อตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ อาการของความคิดของขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งใจเคลื่อนเข้าไปรวมเป็นลักษณะอย่างนี้ การแยกการคลาย เราก็จะเห็นเป็นชิ้นเป็นส่วนเป็นกองที่ท่านเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์
มีเรื่องเดียวเท่านี้แหละที่เราจะต้องศึกษาค้นคว้าให้กระจ่าง ทำงานภายในให้จบ งานภายนอกก็มีตั้งแต่ประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์สมมติยังสมมุติให้เกิดประโยชน์ แต่งานภายในไม่จบก็ต้องพยายามเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่ายอย่าให้ใจของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว ส่วนมากจะไปเอาตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ มันก็เลยไม่ทันตัวตัวเล็กๆ ไม่พยายามพยายามดับพยายามสังเกตเวลาจิตกระเพื่อม จิตเกิดความอยาก เกิดความยินดี จิตจะปรุงแต่ง หรือว่าความคิดผุดขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดผุดขึ้นมาได้อย่างไร
ตัวรู้ตัวของเรา รู้ตัวอยู่ปัจจุบันรู้ตัวทุกขณะลมหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่อง เวลาวิญญาณมันเกิดเราก็จะเห็นปุ๊บทันทีเลย ไม่ใช่ว่าเราจะเห็นได้ง่ายๆ เหมือนกัน ตัววิญญาณหรือว่าตัวใจเขาก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้มากเลยทีเดียว เขาเอาขันธ์ห้าเขาสร้างภพเอาขันธ์ห้ามาปิดกั้นเอาไว้ เอาความเกิดมาปิดกั้นเอาไว้ เอากิเลสหยาบกิเลสละเอียดมาปิดกั้นเอาไว้ กว่าจะสะสางภายในให้หมดจดได้ก็ลำบากเพราะว่าเขาปิดกั้นเอาไว้มาตั้งหลายภพหลายชาติ
เราจะมาแก้มาคลายมาละเราต้องมีความเพียร แล้วก็ตบะบารมีตั้งแต่ความเสียสละ การเอาออกการให้การคลาย ความสัจจะมีความจริงใจตัวเราเอง เป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร เป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย หมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกตหาเหตุหาผลด้วยสติด้วยปัญญา จนใจของเรายอมจำนนยอมรับความเป็นจริง รู้เห็นความเป็นจริงหมดนั่นแหละเขาถึงจะวางโดยรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่ว่าไปกดไปข่มไปนั่นเอาไว้เฉยๆ เราต้องค้นคว้าหาเหตุหาผลตามทำความเข้าใจ แล้วก็ขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา
หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่พูดให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำพวกท่านก็ไม่เข้าใจ ถึงฟังไปได้ถ้าไม่เห็นก็ไม่เข้าใจ เราต้องไปรู้ด้วยเห็นด้วยตามดูได้ด้วยทำความเข้าใจได้ด้วย หมดความสงสัยมีตั้งแต่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือความสะอาดความบริสุทธิ์ ถ้าเราเข้าใจแล้ว ยืนเดินนั่งนอนก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ อยู่ที่ไหนเราก็รู้ใจของเรา อยู่ที่ไหนเราก็จะได้ฟังธรรมไม่จำเป็นต้องไปฟังมากเลย ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากเลย ตนเป็นที่พึ่งของตน หมั่นพร่ำสอนตน สติปัญญาหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรานั่นแหละเขาถึงเรียกว่า ‘อัตตาหิอัตโนนาโถ’ เราก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ ทำใจให้ว่าง ทำสมองให้โล่งทำกายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว ขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้เป็นธรรมชาติที่สุด
พากันไว้เพราะพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ
เราก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกตหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ไม่ใช่ว่าไม่ให้เอาให้เอาด้วยปัญญา ให้เอาด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล ไม่เอาด้วยความทะเยอทะยานอยากให้เกิดจากตัวใจหรือว่าตัววิญญาณ เราต้องรู้ให้ได้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้เท่าทัน รู้จักดับรู้จักแก้ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราตลอดเวลาจนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ ในการบริหารในการทำงาน เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ที่เกิดจากใจของเรา ยังวิ่งยังเกิดยังหลงอยู่
ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ เราก็ต้องพยายามศึกษาพยายามค้นคว้า จนกว่าจะถึงฐานเดิมของใจคือความสงบความสะอาดความบริสุทธิ์ ไม่ใช่ว่าจะแก้แค่วันสองวันเพราะว่าเขาหลงมานาน หลงเกิดมานาน หลงเกิดหลงวนเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยในภพใหญ่ ในบาปในบุญ ในกุศลในอกุศล เพียงแค่เราดับความเกิดหยุดความเกิด ถ้าไม่ ถ้าการเกิดมีเขาก็หลงหลงเกิด อาจจะเกิดอยู่ในบุญหรือว่าอาจจะเกิดอยู่ในกุศลหรือว่าอกุศล เราดับความเกิดได้หรือว่าดับความทะยานทะยานอยากได้ เราก็ตัดภพน้อยภพใหญ่ได้ลงเกือบจะหมดจด
ถ้าเราคลายความหลงดับความเกิดได้ ก็เหลือแต่ภพของมนุษย์ที่มีกายเนื้อเข้ามาห่อหุ้มอยู่ กายเนื้อแตกดับตัววิญญาณก็เข้าสู่ความสงบความสะอาดความบริสุทธิ์ วิญญาณมีอยู่แต่การเกิดไม่มี เดี๋ยวนี้วิญญาณมีทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วย เราก็ต้องมาแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา แต่ละวันตื่นขึ้นมา ใจของเราเป็นบุญเป็นกุศล เราได้สร้างประโยชน์ ประโยชน์มากประโยชน์น้อย เราก็ต้องพยายามเอานะไม่ว่าพระว่าชีว่าฆราวาสญาติโยม ตนเป็นที่พึ่งของตน พึ่งให้ได้ทั้งภายนอกภายใน ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ พยายามสร้าง ยังความเข้มแข็งความเข้มแข็งความกล้าหาญให้มีให้เกิดขึ้นที่กายที่ใจของเรา พิจารณารู้เห็นตามความเป็นจริง
กายของคนเรานี่ก็เป็นก้อนทุกข์เราต้องทำความเข้าใจกับเขา ถึงวันละเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับ ไม่ถึงเวลาเราก็ดูแลรักษาเขาไปจนกว่าเขาจะแตกจะดับ แต่ก็บริหารด้วยสติด้วยปัญญาให้ใจมีความสุข การชำระสะสางกิเลสเราก็ต้องพยายามละกิเลสของเรา อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาบอก กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็รู้จักหยุดรู้จักดับรู้จักละรู้จักให้อภัย สติพลั้งเผลอเราก็รู้จักสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ว่าจะให้เที่ยวให้คนโน้นเขาบังคับคนนี้เขาบังคับ มีแต่คนโง่เท่านั้นนะที่ชอบให้คนอื่นบังคับ
เราต้องบังคับตัวเราเองแก้ไขตัวเราเอง อะไรผิดอะไรถูก อะไรควรละอะไรควรเจริญ ไม่ต้องไปเสียดายอาลัยอาวรณ์กับกิเลสกับอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ ให้รู้ตัวทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย หมั่นพร่ำสอนใจของเราแล้วก็การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม รู้ไม่เท่าทันเราต้องเริ่มใหม่ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ตามดูเห็นความเป็นจริงในชีวิตของเรา มองเห็นหนทางเดิน ตามทำความเข้าใจ
การประพฤติปฏิบัติธรรม การทำความเข้าใจ ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรถึงจะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เห็นรู้ทำความเข้าใจ แยกแยะตามดู แต่ส่วนมากก็ใจก็อยู่ในกองบุญกองกุศลอยู่ในระดับบุญของโลกิยะของสมมติ รายละเอียดลักษณะของใจที่สงบ ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น การละกิเลสทุกเรื่อง การดับความเกิดทุกอย่าง ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรถึงจะถึงจุดหมายปลายทางตรงนั้นได้ แต่เราก็อย่าไปท้อก็ต้องพยายาม ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ
สอนตัวเราแก้ไขตัวเราวิเคราะห์ตัวเราอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น การทำบุญให้ทานมีโอกาสได้สร้างบุญบารมีร่วมกัน แต่การละกิเลสเป็นเรื่องของเราเองไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เราก็ต้องแก้ไขตัวเราไม่ใช่ว่าไปโทษตั้งแต่คนโน้นโทษตั้งแต่คนนี้ ไปอคติไปเพ่งโทษที่โน่นที่นี่ อย่างนั้นมีแต่คนโง่ชอบไปเพ่งโทษคนโน้นคนนี้ ต้องเพ่งโทษตัวเองแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง หัดเป็นคนฉลาด จนปล่อยวางได้หมดนั่นแหละ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้เจริญสติให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง เพียงแค่เจริญสติทำให้มีให้เกิดขึ้นพวกเราก็ไม่ค่อยจะสนใจกันทำให้ต่อเนื่อง ก็เลยรู้ไม่เท่าทันการเกิดของจิต การเกิดของความคิด การแยกรูปแยกนามตรงนั้นจะตามมาทีหลัง
ถ้าเรารู้จักสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้จักจำแนกแจกแจง อันนี้คือสติความระลึกรู้ตัวที่ต่อเนื่องที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้คือใจ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เขาเกิดเข้าปรุงเขาแต่งอาการเขาก่อตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ อาการของความคิดของขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งใจเคลื่อนเข้าไปรวมเป็นลักษณะอย่างนี้ การแยกการคลาย เราก็จะเห็นเป็นชิ้นเป็นส่วนเป็นกองที่ท่านเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์
มีเรื่องเดียวเท่านี้แหละที่เราจะต้องศึกษาค้นคว้าให้กระจ่าง ทำงานภายในให้จบ งานภายนอกก็มีตั้งแต่ประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์สมมติยังสมมุติให้เกิดประโยชน์ แต่งานภายในไม่จบก็ต้องพยายามเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่ายอย่าให้ใจของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว ส่วนมากจะไปเอาตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ มันก็เลยไม่ทันตัวตัวเล็กๆ ไม่พยายามพยายามดับพยายามสังเกตเวลาจิตกระเพื่อม จิตเกิดความอยาก เกิดความยินดี จิตจะปรุงแต่ง หรือว่าความคิดผุดขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดผุดขึ้นมาได้อย่างไร
ตัวรู้ตัวของเรา รู้ตัวอยู่ปัจจุบันรู้ตัวทุกขณะลมหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่อง เวลาวิญญาณมันเกิดเราก็จะเห็นปุ๊บทันทีเลย ไม่ใช่ว่าเราจะเห็นได้ง่ายๆ เหมือนกัน ตัววิญญาณหรือว่าตัวใจเขาก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้มากเลยทีเดียว เขาเอาขันธ์ห้าเขาสร้างภพเอาขันธ์ห้ามาปิดกั้นเอาไว้ เอาความเกิดมาปิดกั้นเอาไว้ เอากิเลสหยาบกิเลสละเอียดมาปิดกั้นเอาไว้ กว่าจะสะสางภายในให้หมดจดได้ก็ลำบากเพราะว่าเขาปิดกั้นเอาไว้มาตั้งหลายภพหลายชาติ
เราจะมาแก้มาคลายมาละเราต้องมีความเพียร แล้วก็ตบะบารมีตั้งแต่ความเสียสละ การเอาออกการให้การคลาย ความสัจจะมีความจริงใจตัวเราเอง เป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร เป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย หมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกตหาเหตุหาผลด้วยสติด้วยปัญญา จนใจของเรายอมจำนนยอมรับความเป็นจริง รู้เห็นความเป็นจริงหมดนั่นแหละเขาถึงจะวางโดยรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่ว่าไปกดไปข่มไปนั่นเอาไว้เฉยๆ เราต้องค้นคว้าหาเหตุหาผลตามทำความเข้าใจ แล้วก็ขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา
หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่พูดให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำพวกท่านก็ไม่เข้าใจ ถึงฟังไปได้ถ้าไม่เห็นก็ไม่เข้าใจ เราต้องไปรู้ด้วยเห็นด้วยตามดูได้ด้วยทำความเข้าใจได้ด้วย หมดความสงสัยมีตั้งแต่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือความสะอาดความบริสุทธิ์ ถ้าเราเข้าใจแล้ว ยืนเดินนั่งนอนก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ อยู่ที่ไหนเราก็รู้ใจของเรา อยู่ที่ไหนเราก็จะได้ฟังธรรมไม่จำเป็นต้องไปฟังมากเลย ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากเลย ตนเป็นที่พึ่งของตน หมั่นพร่ำสอนตน สติปัญญาหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรานั่นแหละเขาถึงเรียกว่า ‘อัตตาหิอัตโนนาโถ’ เราก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ ทำใจให้ว่าง ทำสมองให้โล่งทำกายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว ขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้เป็นธรรมชาติที่สุด
พากันไว้เพราะพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ