หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 123

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 123
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 123
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พระเราก็ดูดีๆ นะก่อนที่จะขบจะฉันพิจารณาปฏิสังขาโย อย่าปล่อยให้ความอยากเข้าครอบงำ ตื่นขึ้นมาเราก็รีบรู้กายรู้ใจของเรา เข้ามามาใครจะมาทำบุญก็มา เปิดโอกาสให้ทุกคนได้มาสร้างบุญร่วมกัน ใกล้จะออกพรรษาแล้วเหลืออีกไม่นานเหลืออีกไม่ถึงอาทิตย์ ก็จะออกพรรษาวันปวารณาออกพรรษา ออกพรรษาแล้วก็งานกฐิน งานกฐินก็วันที่ 25 พฤศจิกายนวันทอดถวาย วันรวมวันที่ 24 ญาติโยมท่านใดมีโอกาสอยากจะมาสร้างโรงทานมาตั้งโรงทานก็ขอเชิญนะวันที่ 24 วันที่ 25 มาตั้งโรงทานทำบุญกัน

เป็นอย่างไร​ยายสบายดี แก่เฒ่ามาแล้วก็ไปยากมายากก็อย่างนี้แหละนะ ไม่ได้มาด้วยใจก็มาอยู่แล้วแหละ มีโอกาสก็เรามาพากายมาพาใจมา ใจบุญสุนทานอยู่ที่ไหนก็เป็นบุญ อยู่บ้านก็เป็นบุญ อยู่ที่ไหนก็เป็นวัด ทำกายให้เป็นวัดทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ มีโอกาสได้ทำบุญให้ตัวเราทำบุญให้กับพี่กับน้อง ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ทำบุญให้กับลูกกับหลาน จิตใจมีแต่พรหมวิหารความเมตตา หมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณาดูตัวเราตลอดเวลาทุกเรื่อง ไม่ปล่อยโอกาสทิ้งไม่ปล่อยเวลาทิ้ง

ขณะเรายังมีกำลังมีลมหายใจอยู่ เราก็พยายามรีบสำรวจแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ดำเนินชีวิตของเราให้ถูกทางก็จะได้มีตั้งแต่ความสุข ไม่ปล่อยปละละเลย อากาศก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป อยู่วัดเราแต่ละวันๆ​ ญาติโยมก็พากันมาเยอะ เห็นแล้วก็ภูมิใจทั้งใกล้ทั้งไกลแม้แต่ต่างประเทศก็มา ต่างประเทศมาเที่ยววัดเราเยอะ มีทั้งพม่า พม่าก็มาเยอะพวกคนงานพม่าหาเวลาวันหยุดก็พากันมา ปีก่อนหรือปีอะไรต่างมาตั้งร่วมพันมาอาศัยอยู่ที่นี่ มากินทานข้าวทานปลากัน ไปที่ไหนก็มีตั้งแต่โดนไล่โดนว่ ก็เลยมาที่นี่กัน ก็เลยอนุเคราะห์ให้อยู่ 2-3 วัน ถึงได้ผ่านพ้นวิกฤติเหตุการณ์ไป

ฝั่งประเทศลาวก็เริ่มมากันเยอะมาเที่ยวกัน ก็ผู้หลักผู้ใหญ่ทางประเทศลาวทางฝั่งลาวก็พากันมา พาบริวารพาหมู่พาคณะมาพักที่วัดมาเที่ยว เป็นจุดที่จะต้องได้มาสักการะบูชากัน นี่แหละเห็นแล้วก็ภูมิใจ ก็เกิดจากอำนาจแห่งบุญของทุกคนมาหล่อหลอมรวมกันทำให้เป็นแหล่งบุญใหญ่ มาช่วยกันทำมาช่วยกันสร้าง สร้างทางด้านวัตถุธรรมเราก็สร้าง

การเจริญสติ การละกิเลส การทำความเข้าใจในชีวิตของเรา เราก็ต้องทำมันเป็นเรื่องของเราทุกคน ต้องแก้ไขตัวเราเองอย่าให้คนอื่นได้บังคับ เราบังคับตัวเราเองแก้ไขตัวเราเองปรับปรุงตัวเราเองจนไม่มีอะไรที่จะไปบังคับไม่มีอะไรที่จะไปละ มีแต่ทำความเข้าใจว่าใจของเราปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจของเราที่สงบเป็นอย่างไร กายของเราเป็นอย่างไร กายวิเวก ใจวิเวก เราอยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข จิตใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่นเราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตใจของเรา

จิตใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน เราก็พยายามแก้ไข อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง​เสียดายเวลา อย่าไปโทษคนโน้นอย่าไปโทษคนนี้ เราโทษตัวเราเองแก้ไขตัวเราเองปรับปรุงตัวเราเอง อะไรที่ไม่ดีเราก็รีบช่วยกันทำให้มันดีเสียมันก็ดี ดีจากข้างในก็ล้นออกไปภายนอก ส่วนมากก็จะวิ่งหาตั้งแต่ข้างนอกมาทับถมดวงใจของตัวเองมันกลับกัน ก็ต้องพยายามไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี พระเราก็เหมือนกันช่วยกันขยันหมั่นเพียร สร้างความขยันหมั่นเพียรให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา ถึงเราจะอยู่ไม่ได้ตลอดเราก็จะเอาไปใช้กับชีวิตประจำวันของเรา ความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ ความรับผิดชอบ ทั้งพระทั้งชีทั้งฆราวาสญาติโยมมาก็ได้ช่วยกันช่วยกันหลายอย่าง

หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง แค่ชี้แนะแนวทางให้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับการละเป็นอย่างนี้ เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ทุกอิริยาบถ​ ยืนเดิน นั่งนอน​ กินอยู่ ขับถ่าย เราต้องรู้จักทำความเข้าใจกับกายกับใจกับโลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เราก็จะอยู่มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุขถ้าเราเข้าใจในชีวิต

อยู่หลายคนเราก็ต้องมีความรับผิดชอบให้มากขึ้นไปอีก เราช่วยกันต่างคนก็ต่างช่วยกัน จากหนักก็เป็นเบาจากเบาก็แทบไม่มี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนอยู่บ้านอยู่ไร่อยู่นาอยู่ที่ทำการทำงาน ถ้าเรารู้จักเป็นคนคนมีความเป็นระเบียบ เป็นคนมีความรับผิดชอบ ไปที่ไหนก็ไม่ตกอับมีตั้งแต่ความเจริญ รู้จักหา รู้จักใช้รู้จักเก็บ รู้จักพิจารณาไม่สุรุ่ยสุร่าย มีความขยันหมั่นเพียร

ลึกลงไปก็ดูใจ​ แม้แต่ความอยากแม้แต่การปรุงการแต่ง ใจของเราเกิดอย่างไร ใจของเราหลงอะไร อะไรคือรูปอะไรคือนาม กายของเราขันธ์ห้าเป็นอย่างไรบ้าง เราเจริญสติรู้ให้เท่าทันวิเคราะห์ให้เห็นตามความเป็นจริง เราก็จะมองเห็นชีวิตของเราที่แท้จริง ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย​ อยากจะเอาตั้งแต่บุญอยากจะเอาตั้งแต่ธรรม ความรับผิดชอบไม่มี ความเสียสละไม่มี ความอ่อนน้อมอ่อนน้อมถ่อมตนไม่มีมันก็ยาก ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกื้อหนุนกันหมด เหมือนเราขึ้นบันไดนั่นแหละ ก่อนจะถึงตัวเรือนเราก็อาศัยบันได ถึงตัวเรือนถึงบันได ถึงตัวเรือนแล้วเราก็ยังอาศัยขึ้นอาศัยลงอาศัยบันได

การดูแลกายดูแลใจ ก็อาศัยบุญบารมีอาศัยบารมีทุกอย่าง สัจจะความจริง การฝักใฝ่การสนใจ การละความเกียจคร้าน การละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด หนุนกำลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง เราก็จะเข้าใจในชีวิตของเราทำไมเราถึงลำบาก ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ การกระทำของเราถึงพร้อมหรือไม่ ทำไมใจของเราถึงเกิดความทุกข์ ทำไมใจถึงเกิดกิเลส เราละกิเลสได้หรือเปล่า เราดูรู้ทันตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ เราหมั่นวิเคราะห์พิจารณาดูอยู่ สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน

เราชนะตัวเราแล้วเราก็จะชนะหมด ไม่ต้องไปเอาชนะคนโน้นคนนี้ เราชนะตัวเราทำงานของเราให้ดีทำหน้าที่ของเราให้ดี จากภายในก็ล้นออกไปสู่ภายนอกจนล้นออกไปสู่ไม่มีประมาณ พรหมวิหารไม่มีประมาณ ความเมตตาไม่มีประมาณ ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์ ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากหรอก อยู่คนเดียวก็มีเพื่อน สติเป็นเพื่อนของใจ หมั่นพร่ำสอนใจ มีความสุขไม่จำเป็นต้องให้คนโน้นคนนี้ไปบังคับ เราบังคับตัวเราเองแก้ตัวไขตัวเราเองจนไม่มีอะไรที่จะไปบังคับ เพราะว่าใจที่เป็นธรรมชาติใจที่ปราศจากกิเลสเขาก็สะอาดบริสุทธิ์ ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง เราต้องพยายามเอา พยายามทำพยายามดูพยายามพิจารณา

ฐานบุญของทุกคนนั้นมี มีมาถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่การเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็ยังหลงอยู่ ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด แต่ก็เป็นการเกิดที่ในส่วนที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตทั้งหลายที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา และมีโอกาสได้ฝึกหัดปฏิบัติ รู้แนวทางรู้เหตุรู้ผลมองเห็นหนทางเดิน เราอย่าปิดกั้นตัวของเราเองเราต้องพยายามเอา​ หมั่นพร่ำสอนตัวเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา เพ่งโทษตัวเรากระหนาบตัวเรา เรื่องคนอื่นก็เป็นส่วนของคนอื่น ถ้ามีโอกาสช่วยเหลือตัวเราได้เราก็ช่วย ช่วยเหลือคนอื่นได้ได้ตลอดเวลาถ้าเราเข้าใจในชีวิตของเรา ก็ต้องพยายามกันไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี

การทำบุญให้ทานทางด้านวัตถุทานนั้นมีกันเต็มเปี่ยมกันทุกคน หลวงพ่อไม่ได้มากังวลกับสิ่งพวกนี้ ไม่ได้ลำบากกับสิ่งพวกนี้ หลวงพ่อต้องการที่จะให้ทุกคนนั้นเข้าถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ ดับความเกิดให้ได้กันทุกคน การทำบุญให้ทานนั้นมีกันเป็นพื้นฐาน ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากมายอะไร เพราะว่าอานิสงส์บุญบารมีตรงนี้มาจากพ่อแม่ปู่ย่าตายายฝากฝังเอาไว้หมด

แต่การเจริญปัญญา อะไรคือปัญญาที่แท้จริง อะไรคือวิญญาณหรือว่าใจเราที่แท้จริง ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ คร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อที่จะละกิเลส เจริญสติเจริญศีลสมาธิปัญญาก็เพื่อที่จะละกิเลสออกจากใจของเราให้หมดจด ถ้าเราไปยึดไปติดก็เป็นทิฏฐิมานะ แต่เราก็เคารพ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ทำความเข้าใจให้ถึงให้รู้ความหมาย ใจของเราก็จะเป็นสมาธิที่ปราศจากกิเลส ปราศจากการเกิด ปราศจากความยึดมั่นหรือมั่น

พูดง่ายแต่เวลาลงมือจริงๆ ต้องเป็นคนที่ขยันอย่างยิ่งเลยทีเดียว ขยันในการวิเคราะห์พิจารณา ขยันทำความเข้าใจ ขยันละกิเลส ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจแม้แต่การปรุงแต่ง อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ ทำหน้าที่แทน ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามพากันทำนะ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้งยิ่งพระยิ่งชี​ พระบวชใหม่ก็เหมือนกัน พระบวชใหม่ชีบวชใหม่ไม่ใช่ว่านั่งนับตั้งแต่นิ้วมือ เมื่อไรจะได้สึก ก็ไม่ไหวเหมือนกันนิ้วมือก็มีอยู่แค่ 10 นิ้วเอง เดินไปก็มือไขว้หลัง 1 นิ้ว 2 นิ้ว 1 วัน 2 วัน 1 อาทิตย์ 2 อาทิตย์ก็ไล่อยู่อย่างนั้นมันทรมานนะ กิเลสมันบอกกิเลสมันลากไป บอกว่าวันคืนทำไมยาวนานจัง ทำไมยาวนานจังอยู่​อย่างนั้น

เราต้องจัดการกับกิเลส ดับความอยากให้มันหมดจด อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ จะอยู่จะมีจะเป็นจะไป มีโอกาสได้มาสร้างบุญสร้างบารมี ถึงเราเดินยังไม่ถึงจุดหมายเราก็มีโอกาสได้มาสร้างตบะสร้างบารมี ได้มาสร้างประโยชน์ฝากเอาไว้กับแผ่นดินฝากเอาไว้กับสมมติ หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคน หลวงพ่อก็เป็นแค่สะพานผู้พาทำพาสร้างพานำเท่านั้นเอง ส่วนการละกิเลส การเจริญสติต้องให้รู้ทุกอิริยาบถตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนไม่ได้สร้างจนเป็นเอง ก็ต้องพยายาม

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักระยะหนึ่ง ถึงเรารู้ไม่ต่อเนื่องกันก็ขอให้เราสร้างความรู้สึกตัวขณะที่เรากำลังนั่งฟังอยู่นี่แหละ หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ฟังไปด้วยสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ

เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตัวตรงนี้ให้เกิดความเคยชินแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ความต่อเนื่องนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ต่อเนื่องยังไม่พอแล้วก็ให้รู้เท่าทันการเกิดของใจด้วย รู้ลักษณะของใจ รู้ลักษณะของความปกติ รู้ลักษณะของความหมายของสิ่งต่างๆ แต่เวลานี้ความรู้ตัวตรงนี้ของเรามีไม่เพียงพอ อาจจะมีบ้างกระท่อนกระแท่นเป็นบางครั้งบางคราว ทั้งที่ใจก็เป็นบุญใจก็ปรารถนาอยากอยู่กับบุญอยากจะได้บุญ แต่การเกิดของใจนั้นมีอยู่ เรามาจัดการกับใจของเราไม่ให้ของเราเกิดกิเลส เรามาละกิเลส เรามาดับความเกิด มาสังเกตจนกว่าใจของเราจะคลายความหลงได้นั่นแหละสัมมาทิฏฐิถึงจะเปิดทางให้ วิปัสสนาวิชารู้แจ้งเห็นจริงถึงจะมองเห็นทะลุโปร่งโปร่ง

ทีนี้การทำความเข้าใจ การละก็ต้องตามมาอีก ต้องอดทนอดกลั้น​สร้างตบะสร้างบารมี จะให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ยากอยู่ นอกจากบุคคลที่มีบุญมีบารมีจริงๆ​ ถึงจะครบทั้งสมมติทั้งวิมุตติไม่ได้ลำบาก อันนี้จะเอาอันหนึ่งก็ขาดอันหนึ่ง จะเอาอันหนึ่งก็ยังขาดอันหนึ่ง เราก็ต้องคอยสร้างสะสมบารมีของเราไปเรื่อยๆ มันก็จะได้เต็มทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ทำความเข้าใจให้เต็มรอบ ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่สะสมทีละเล็กทีละน้อยอย่าไปมองข้าม อย่าไปมองข้ามในการทำบุญ บุญ แม้แต่คิดคิดดีก็เป็นบุญทำดีก็เป็นบุญ การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางคือความสะอาดความบริสุทธิ์ของใจ

สร้างความรู้สึก​รับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบ ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ความรู้สึกรับรู้อยู่นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ ไม่ใช่เอาตัวจิตไปกำหนดที่ลมหายใจ ถ้าเราเอาจิตไปกำหนดที่ลมหายใจในหน้าอกจะแน่นกายก็อึดอัด ถ้าเราเอาสมองส่วนบนไปเพ่งอยู่ที่ลมหายใจสมองก็จะตรึง เพียงแค่เรามีความรู้สึกรับรู้ลมเข้า ลมออก​ ลมหยาบลมละเอียด ลมยาวลมสั้นให้เป็นธรรมชาติที่สุด ใจมันคิดไปที่อื่นเราก็กระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจใหม่ยาวๆ ใจก็กลับมา จะดึงฉุดไปฉุดมาฉุดไปฉุดมา ช่วงใหม่ๆ ก็เป็นอย่างนี้ของทุกคน ถ้าเราเข้าใจแล้วเราก็จะอยู่กับลมหายใจอยู่กับใจอยู่กับธรรมชาติ ใจเกิดกิเลสเราก็รู้จักละรู้จักดับ

สร้างความรู้สึกให้ชัดเจนกันนะ ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง