หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 104
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 104
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ ถึงเราละไม่ได้ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาดก็หยุดเอาไว้ขณะที่เราสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกของเรา เราก็ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไรทั้งที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ พวกเราก็ไม่มีความเพียรกันตรงนี้ ทั้งที่ใจก็เป็นบุญปรารถนาอยากจะได้บุญปรารถนาอยากจะรู้ธรรม ใจเกิดอยู่ตลอดเวลา ใจหลงความคิดหลงขันธ์ห้า เราก็ยังแยกไม่ได้คลายไม่ได้เพราะว่ากำลังสติของเรามีน้อยทั้งที่ใจเป็นบุญ เราพยายามหัดสร้างความรู้ตัวหัดวิเคราะห์ รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักหยุดรู้จักควบคุม จนกว่ากำลังสติของเราจะสังเกตเห็นลักษณะของจิตที่คลายออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’
แต่เวลานี้สมมติยังเข้าครอบงำดวงจิตของเราอยู่ ถ้าจิตยังถ้าจิตคลายออกจากขันธ์ห้าได้คลายออกจากความคิดได้เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ช่วงนั้นแหละจิตจะพลิกจิตจะหงายเหมือนกับหงายของที่คว่ำ จิตจะว่างกายก็จะเบา เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตาในเรื่องอนัตตา เพียงแค่เริ่มต้นของการคลายการแยก เราต้องพยายามละกิเลสอีก ทำความเข้าใจดับความเกิดละกิเลสอีกจนกว่าจะหมดจด จนกว่าจิตของเราจะสะอาดบริสุทธิ์อีก ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ เราก็ต้องพยายาม แต่มันก็ไม่เหลือวิสัยของบุคคลที่มีบุญมีสติมีปัญญา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเพียรรู้กายรู้ใจรู้กายรู้ใจละกิเลส มีเรื่องเดียวเท่านั้นแหละไม่มีเรื่องอะไรอื่นมากมายเท่าไร นอกนั้นก็เป็นอานิสงส์ในระดับของสมมติ แต่สำหรับตัวจิตตัววิญญาณแล้วอยู่ในกายของเรานี่เราพยายามค้นคว้าทำความเข้าใจให้ละเอียด รู้แล้วเห็นแล้วตามทำความเข้าใจให้ได้แล้วก็ละให้ได้ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผลหมด ให้เราเห็นเหตุ ทำความเข้าใจแล้วก็ละ เราไม่อยากจะได้ผลมันก็ต้องได้เพราะว่าการกระทำของเราถูกต้อง อันนี้คือสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันที่เราสร้างขึ้นมา รู้จักเอาไปใช้เอาไปสังเกต ใจของเรายังส่งยังเกิดยังปรุงยังแต่งเราก็รู้จักระงับรู้จักดับ ใจที่ส่งออกไปภายนอกนั้นเสียพลังไปแล้วเสียพลังเสียกำลัง จะเรียกว่ากายทิพย์มันแตก ยิ่งคิดยิ่งปรุงแต่งยิ่งฟุ้งซ่านมากเท่าไรกายทิพย์มันก็ยิ่งแตกออกไป
ท่านถึงบอกว่าให้หล่อหลอมด้วยใช้สมถะเข้าไปหล่อหลอม สร้างกำลังใจให้อยู่ในความเป็นเอกในความเป็นหนึ่ง แล้วก็ละกิเลสออกจากใจ แยกใจออกจากอาการของใจให้มันได้ รู้แล้วเห็นแล้วตามทำความเข้าใจ ส่วนมากก็ได้แค่ควบคุมกับบังคับ ทั้งที่ใจก็ยังคว่ำอยู่เขาไม่ได้หงายขึ้นมาเลย การที่เขาจะหงายหรือว่าแยกรูปแยกนามได้ต้องให้ชัดเจน ทุกสิ่งทุกอย่างต้องชัดเจนหมด อย่าให้ความอยากเกิดขึ้นที่ใจแม้แต่นิดเดียว
ความก่อตัวความอยาก อยากจะได้ธรรมอยากจะรู้ธรรมแล้วก็ไม่อยากอีก ต้องให้รู้ความเป็นกลาง ความปกติหนุนกำลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน เป็นความต้องการที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกธรรมต่างๆ ที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียง ทุกสิ่งทุกอย่างก็แยกแยะกันอยู่ แต่เขาก็รวมกันอยู่ในกาย แต่ให้แยกแยะด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล ให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้งอย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง
หลวงพ่อก็พูดตั้งแต่เรื่องเดียวนี่แหละ เพราะว่าไม่มีอะไรมากก็วนเวียนอยู่ในกายในใจของเรานี่ นอกนั้นก็เป็นผักบุ้งโหรงเหรงเท่านั้นแหละ ทำอย่างไรเราถึงจะละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมดกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ดับความเกิดของเราให้มันได้ สนใจกันอยู่ แต่สนใจไม่ถูกที่ถูกทาง ปล่อยปละละเลย
กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร อยู่คนเดียวใจของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเริ่มเกิดอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราได้อย่างไร ซึ่งก็มีกันทุกคนจะมีมากมีน้อย ใจของเราเกิดความสงบเกิดความปกติ เกิดปิติได้อย่างไร กำลังสติของเรามีเพียงพอหรือไม่ มีเท่าไรภายในวันหนึ่ง 1นาที 5นาที 10นาที เราสนใจหรือไม่ เราเพิ่มความเพียรไปเท่าไร เรายิ่งเห็นเยอะยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทำความเข้าใจ
ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ทำหน้าที่ ตัววิญญาณเขาก็ปกปิดตัวของเขาเอาไว้มากเลยทีเดียว เขาก็หาเหตุหาผลมาปกปิดอำพรางตัวของเขา ขันธ์ห้าก็หาเหตุหาผลมาปกปิดดวงจิตเอาไว้ดวงใจเอาไว้ สติปัญญากิเลสก็ปกปิดดวงใจเอาไว้ เราต้องให้รู้ชัดเจนว่าอะไรคือสติที่เราสร้างขึ้นมา เราต้องหมั่นพร่ำสอนหมั่นสร้างสติเข้าไปแก้ไขใจของเราแก้ไขสมมติของเรา ท่านถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ไม่ต้องให้คนอื่นมาบังคับมาเคี่ยวเข็ญเราต้องบังคับตัวเอง แก้ไขตัวเราเอง อะไรผิดอะไรถูก
แต่ละวันใจของเราเป็นอย่างไร ใจของเรามีกิเลส กิเลสเล่นงานของเราสักกี่เที่ยว เหตุจากภายนอกทำให้เกิดหรือเกิดจากภายใน ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความอดทน มีพรหมวิหาร มีความเสียสละอย่างเต็มเปี่ยมหรือไม่ เราต้องรู้ต้องเข้าถึง ไม่เข้าถึงวันนี้เราวันพรุ่งนี้ก็ต้องเข้าถึงตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวหาที่โน่นเที่ยวหาที่นี่
ตื่นขึ้นมาแล้วก็รีบรู้ใจของเรา สติความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้นะ การรู้ที่ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ใหม่ๆ ก็อาจจะบังคับอาจจะฝืน เพียงแค่การหายใจเข้าออกเป็นธรรมชาติ หายใจเข้าออกยาวหายใจเข้าออกสั้น เป็นธรรมชาติเป็นอย่างไร จุดมุ่งหมายของการเจริญสติรู้การหายใจก็เพื่อที่ลึกลงไปก็เพื่อที่จะให้รู้ฐานของใจ รู้การก่อการเกิดของความคิดของอารมณ์นั่นแหละ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้เราก็จะเข้าใจในเรื่องกรรม
กรรมเก่าขันธมารมาปรุงแต่งใจ แล้วก็ใจปรุงแต่งความคิด เข้าไปหลงเข้าไปยึดอีก ตัวใจนี่แหล่ะไปสร้างกรรมไปยึด ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งใจเป็นเหมือนกับวงกลม ถ้าเราสังเกตทันแยกแยะได้ ใจของเราพลิกหงายขึ้นมาเหมือนก็ตัดวงกลม ถ้าเราขาดการทำความเข้าใจทุกเรื่อง เขาก็จะวิ่งเข้าไปด้วยกันอีก มีกันทุกคนจะมีมากมีน้อยอยู่ในกายของเราซึ่งมีหนังห่อหุ้มอยู่นี่แหละ พยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต แต่การสร้างคุณงามความดีพวกเรามีโอกาสได้ทำร่วมกันอยู่ตลอดเวลา แต่การละกิเลสเราต้องละเอาทำเอา ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกของเรา เราก็ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไรทั้งที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ พวกเราก็ไม่มีความเพียรกันตรงนี้ ทั้งที่ใจก็เป็นบุญปรารถนาอยากจะได้บุญปรารถนาอยากจะรู้ธรรม ใจเกิดอยู่ตลอดเวลา ใจหลงความคิดหลงขันธ์ห้า เราก็ยังแยกไม่ได้คลายไม่ได้เพราะว่ากำลังสติของเรามีน้อยทั้งที่ใจเป็นบุญ เราพยายามหัดสร้างความรู้ตัวหัดวิเคราะห์ รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักหยุดรู้จักควบคุม จนกว่ากำลังสติของเราจะสังเกตเห็นลักษณะของจิตที่คลายออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’
แต่เวลานี้สมมติยังเข้าครอบงำดวงจิตของเราอยู่ ถ้าจิตยังถ้าจิตคลายออกจากขันธ์ห้าได้คลายออกจากความคิดได้เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ช่วงนั้นแหละจิตจะพลิกจิตจะหงายเหมือนกับหงายของที่คว่ำ จิตจะว่างกายก็จะเบา เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตาในเรื่องอนัตตา เพียงแค่เริ่มต้นของการคลายการแยก เราต้องพยายามละกิเลสอีก ทำความเข้าใจดับความเกิดละกิเลสอีกจนกว่าจะหมดจด จนกว่าจิตของเราจะสะอาดบริสุทธิ์อีก ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ เราก็ต้องพยายาม แต่มันก็ไม่เหลือวิสัยของบุคคลที่มีบุญมีสติมีปัญญา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเพียรรู้กายรู้ใจรู้กายรู้ใจละกิเลส มีเรื่องเดียวเท่านั้นแหละไม่มีเรื่องอะไรอื่นมากมายเท่าไร นอกนั้นก็เป็นอานิสงส์ในระดับของสมมติ แต่สำหรับตัวจิตตัววิญญาณแล้วอยู่ในกายของเรานี่เราพยายามค้นคว้าทำความเข้าใจให้ละเอียด รู้แล้วเห็นแล้วตามทำความเข้าใจให้ได้แล้วก็ละให้ได้ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผลหมด ให้เราเห็นเหตุ ทำความเข้าใจแล้วก็ละ เราไม่อยากจะได้ผลมันก็ต้องได้เพราะว่าการกระทำของเราถูกต้อง อันนี้คือสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันที่เราสร้างขึ้นมา รู้จักเอาไปใช้เอาไปสังเกต ใจของเรายังส่งยังเกิดยังปรุงยังแต่งเราก็รู้จักระงับรู้จักดับ ใจที่ส่งออกไปภายนอกนั้นเสียพลังไปแล้วเสียพลังเสียกำลัง จะเรียกว่ากายทิพย์มันแตก ยิ่งคิดยิ่งปรุงแต่งยิ่งฟุ้งซ่านมากเท่าไรกายทิพย์มันก็ยิ่งแตกออกไป
ท่านถึงบอกว่าให้หล่อหลอมด้วยใช้สมถะเข้าไปหล่อหลอม สร้างกำลังใจให้อยู่ในความเป็นเอกในความเป็นหนึ่ง แล้วก็ละกิเลสออกจากใจ แยกใจออกจากอาการของใจให้มันได้ รู้แล้วเห็นแล้วตามทำความเข้าใจ ส่วนมากก็ได้แค่ควบคุมกับบังคับ ทั้งที่ใจก็ยังคว่ำอยู่เขาไม่ได้หงายขึ้นมาเลย การที่เขาจะหงายหรือว่าแยกรูปแยกนามได้ต้องให้ชัดเจน ทุกสิ่งทุกอย่างต้องชัดเจนหมด อย่าให้ความอยากเกิดขึ้นที่ใจแม้แต่นิดเดียว
ความก่อตัวความอยาก อยากจะได้ธรรมอยากจะรู้ธรรมแล้วก็ไม่อยากอีก ต้องให้รู้ความเป็นกลาง ความปกติหนุนกำลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน เป็นความต้องการที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกธรรมต่างๆ ที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียง ทุกสิ่งทุกอย่างก็แยกแยะกันอยู่ แต่เขาก็รวมกันอยู่ในกาย แต่ให้แยกแยะด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล ให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้งอย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง
หลวงพ่อก็พูดตั้งแต่เรื่องเดียวนี่แหละ เพราะว่าไม่มีอะไรมากก็วนเวียนอยู่ในกายในใจของเรานี่ นอกนั้นก็เป็นผักบุ้งโหรงเหรงเท่านั้นแหละ ทำอย่างไรเราถึงจะละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมดกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ดับความเกิดของเราให้มันได้ สนใจกันอยู่ แต่สนใจไม่ถูกที่ถูกทาง ปล่อยปละละเลย
กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร อยู่คนเดียวใจของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเริ่มเกิดอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราได้อย่างไร ซึ่งก็มีกันทุกคนจะมีมากมีน้อย ใจของเราเกิดความสงบเกิดความปกติ เกิดปิติได้อย่างไร กำลังสติของเรามีเพียงพอหรือไม่ มีเท่าไรภายในวันหนึ่ง 1นาที 5นาที 10นาที เราสนใจหรือไม่ เราเพิ่มความเพียรไปเท่าไร เรายิ่งเห็นเยอะยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทำความเข้าใจ
ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ทำหน้าที่ ตัววิญญาณเขาก็ปกปิดตัวของเขาเอาไว้มากเลยทีเดียว เขาก็หาเหตุหาผลมาปกปิดอำพรางตัวของเขา ขันธ์ห้าก็หาเหตุหาผลมาปกปิดดวงจิตเอาไว้ดวงใจเอาไว้ สติปัญญากิเลสก็ปกปิดดวงใจเอาไว้ เราต้องให้รู้ชัดเจนว่าอะไรคือสติที่เราสร้างขึ้นมา เราต้องหมั่นพร่ำสอนหมั่นสร้างสติเข้าไปแก้ไขใจของเราแก้ไขสมมติของเรา ท่านถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ไม่ต้องให้คนอื่นมาบังคับมาเคี่ยวเข็ญเราต้องบังคับตัวเอง แก้ไขตัวเราเอง อะไรผิดอะไรถูก
แต่ละวันใจของเราเป็นอย่างไร ใจของเรามีกิเลส กิเลสเล่นงานของเราสักกี่เที่ยว เหตุจากภายนอกทำให้เกิดหรือเกิดจากภายใน ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความอดทน มีพรหมวิหาร มีความเสียสละอย่างเต็มเปี่ยมหรือไม่ เราต้องรู้ต้องเข้าถึง ไม่เข้าถึงวันนี้เราวันพรุ่งนี้ก็ต้องเข้าถึงตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวหาที่โน่นเที่ยวหาที่นี่
ตื่นขึ้นมาแล้วก็รีบรู้ใจของเรา สติความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้นะ การรู้ที่ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ใหม่ๆ ก็อาจจะบังคับอาจจะฝืน เพียงแค่การหายใจเข้าออกเป็นธรรมชาติ หายใจเข้าออกยาวหายใจเข้าออกสั้น เป็นธรรมชาติเป็นอย่างไร จุดมุ่งหมายของการเจริญสติรู้การหายใจก็เพื่อที่ลึกลงไปก็เพื่อที่จะให้รู้ฐานของใจ รู้การก่อการเกิดของความคิดของอารมณ์นั่นแหละ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้เราก็จะเข้าใจในเรื่องกรรม
กรรมเก่าขันธมารมาปรุงแต่งใจ แล้วก็ใจปรุงแต่งความคิด เข้าไปหลงเข้าไปยึดอีก ตัวใจนี่แหล่ะไปสร้างกรรมไปยึด ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งใจเป็นเหมือนกับวงกลม ถ้าเราสังเกตทันแยกแยะได้ ใจของเราพลิกหงายขึ้นมาเหมือนก็ตัดวงกลม ถ้าเราขาดการทำความเข้าใจทุกเรื่อง เขาก็จะวิ่งเข้าไปด้วยกันอีก มีกันทุกคนจะมีมากมีน้อยอยู่ในกายของเราซึ่งมีหนังห่อหุ้มอยู่นี่แหละ พยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต แต่การสร้างคุณงามความดีพวกเรามีโอกาสได้ทำร่วมกันอยู่ตลอดเวลา แต่การละกิเลสเราต้องละเอาทำเอา ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ