หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 102

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 102
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 102
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา​สติรู้กายสติรู้ใจ ไม่ใช่ว่าตื่นขึ้นมาปุ๊บคนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ มีตั้งแต่ความกังวล มีตั้งแต่ความฟุ้งซ่าน มีตั้งแต่นิวรณ์ อัตตาของนักปฏิบัติมันฟุ้งขึ้นมา เราปฏิบัติเก่งเราปฏิบัติเคร่ง คนโน้นไม่ปฏิบัติคนนี้ไม่ปฏิบัติ ขี้เหร่กว่าโยมซะอีกนะ

บางทีโยมนี่ไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ ใจดีใจบุญ​มองโลกในทางที่ดีคิดดี พระเรานี่ก็ตั้งแต่ยังไม่เป็นฆราวาสก็ใจดี๊ดี พอบวชเข้ามาแล้วก็ยิ่งฝึกไปเท่าไรก็ยิ่งเห็นเยอะ อัตตาของนักปฏิบัติมันก็เยอะ อันโน้นก็ผิดอันนี้ก็ผิดสารพัดอย่าง​ มันเพ่งโทษแย่กว่าฆราวาสที่ใจบุญสุนทานใจดีใจอิ่มในบุญ ใจมีตั้งแต่อยากจะให้มีตั้งแต่ปล่อยมีตั้งแต่วาง เราก็ต้องพยายามพยายามดู

เข้ามาฝึกหัดเข้ามาปฏิบัติอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ยิ่งพยายามอดทนอดกลั้นให้อภัย มองโลกในทางที่ดี รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลถนอมน้ำใจรักษาน้ำใจเพื่อนหมู่คณะเพื่อนฝูง เอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาใจเราไปใส่ใจเขา มีอะไรก็อนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนถ้าคนเกิน​ 2 คนไปแล้วก็ทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ ยิ่งเรื่องผู้หญิงมีเรื่องผู้หญิงก็เถียงกันทะเลาะเบาะแว้งกัน พวกชีมีด้วยกัน​ 2 คนก็เถียงกันทะเลาะกัน คงไม่ใช่ชีที่นี่หรอก ชีที่นี่ใจดีมีความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่เผลอไม่ได้ว่าตั้งแต่กะละมังเรื่องของผู้หญิง เรื่องของผู้หญิงอันนี้พูดเล่น

มีแม่ชีอยู่​ 2 คน​ คนหนึ่งอายุ 70​ กว่า 72 ปี อีกคนหนึ่งอายุ 16 ปี คนอายุ 16 ปีนี้บวชชีตั้งแต่ออกโรงเรียนชั้นป.4 บวชได้ 4-5​ ปี เดี๋ยวนี้แม่ชีอายุ 72 มาบวชใหม่ มาบวชใหม่ก็ถือเจ้ากี้เจ้าการเอาว่าแย่งกันเป็นใหญ่​ ว่า​ 2 คนแย่งกันเป็นใหญ่ทะเลาะกัน คนตัวเล็กก็ว่าตัวเองบวชนานต้องเป็นใหญ่ คนตัวอายุอายุเยอะก็ว่าเกิดมาก่อนถึงบวชทีหลังกูต้องเป็นใหญ่ ทะเลาะกันไม่ลงกันธรรมะไม่ลงกัน อยู่ด้วยกันแค่​ 2 คนนะอยู่ด้วยกันแค่​ 2 คนทะเลาะกันไม่ลงกัน หันหลังให้กันอยู่ตั้งนาน อ้อเป็นอย่างนี้นี่เองผู้หญิงก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ใช่ไหมเฉพาะผู้หญิง

ผู้ชายเราก็เหมือนกันทุกคนก็มีจิตมีวิญญาณเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าบวชเข้ามาโกนหัวนุ่งเหลืองแล้วกูเป็นพระเลยนะ นั่นมันยังไม่ใช่ ใจยังเกิดยังวิ่งอยู่ใจยังมีกิเลสอยู่ บางทีบวชเข้ามายิ่งหนากว่าช่วงไม่ได้บวชเสียอีก เพราะว่าอะไร ช่วงที่ไม่ได้บวชก็ฝักใฝ่สนใจแสวงหารู้จักควบคุมกายควบคุมวาจา รู้จักอันโน้นอันนี้พอบวชเข้ามาแล้วหยุดเลย ฉันเป็นนักปฏิบัติ​ฉันเก่งฉันเคร่ง อัตตาของฆราวาส​ 5 ขันธ์​มาบวชเป็นพระอีก​ 5​ขันธ์​เป็น 10แล้ว อัตตาของนักปฏิบัติอีก ​5ขันธ์​เป็น 15 แล้ว กร่าง​ แล้วทีนี้ ก็เลยไปที่ไหนก็ทุกข์ ทุกข์ตัวเองยังไม่พอก็ไปโยนความทุกข์ให้คนนั้นโยนความทุกข์ให้คนนี้ คนโน้นก็กูปฏิบัติเก่งปฏิบัติเคร่ง​ ไปเจอหลายที่ เจอๆๆ เจอมากเจอมากมาย​ ไม่เข้าใจในหลักของการปฏิบัติ

การปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อที่จะละกิเลส ละความโลภ ละความโกรธ ละความอยาก ทำความเข้าใจกับวิญญาณของเรา​ การเกิดของวิญญาณเป็นอย่างไร เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ออกมาทางกายทางวาจาหรือว่าทางใจ เราดับได้แต่ต้นเหตุ ละได้ตั้งแต่ต้นเหตุหรือไม่ ต้องเอาชนะกิเลสตัวนี้ถึงจะได้ชนะตน ส่วนมากจะไปเอาชนะคนโน้นคนนี้ระรานคนโน้นคนนี้ อัตตาของนักปฏิบัติมันขึ้นมา เห็นแล้วก็น่าสงสารหนอ ทุกคนเลยทีเดียวพยายามกัน ช่วงที่ยังไม่ได้บวชก็ดี๊ดี ช่วงที่บวชเข้ามาแล้วก็ความเกียจคร้านไม่รู้มาจากไหนมันเข้ามาครอบงำ ความขยันหมั่นเพียรเป็นอย่างไร​ ก็ไม่รู้จักขวนขวายไม่รู้จักสร้าง​

หลักของการปฏิบัติธรรม บางคนไปฝึกหัดปฏิบัติธรรมแทนที่จะเป็นคนขยันหมั่นเพียรกลับกลายเป็นคนขี้เกียจ ไม่ทำอะไรก็ไม่เป็น ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความเสียสละ ฉันจะปฏิบัติอย่างเดียวว่าอย่างนั้น แบกภาระแบกสมมติแบกกายไปให้คนโน้นคนนี้เขาเป็นภาระ แทนที่เราจะช่วยเหลือตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ รู้จักขวนขวาย อยู่คนเดียวก็ขวนขวายในการละกิเลสในการทำหน้าที่ของเราให้ดี

ยิ่งอยู่หลายคนก็ยิ่งเพิ่มความเสียสละให้เต็มที่ อันนี้กับกลับกันไปฝึกหัดปฏิบัติธรรมกับมีตั้งแต่ความเกียจคร้าน มีตั้งแต่นิวรณธรรมมีตั้งแต่มลทินเข้าครอบงำ แล้วก็อคติคนโน้นคนนี้ไม่ได้ปฏิบัติ เราเก่ง​เราเคร่ง เราปฏิบัติอย่างนั้นปฏิบัติอย่างนี้ผิดเลยทีเดียว ผิดเลยทีเดียว ปฏิบัติเพื่อละทิฏฐิ ละมานะละอัตตาตัวตน ไม่จำเป็นต้องไปนั่นมากมาย รู้ตัวเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา

ตื่นขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักเรื่อง ใจของเราเกิดสักกี่เที่ยวสักกี่ครั้ง เหตุจากภายนอกมาทำให้เกิดหรือเกิดจากภายในเราก็ไม่เคยสังเกตดู​ รู้ตั้งแต่ว่าตัวเราเป็นนักปฏิบัติ มีตั้งแต่อยู่มีแต่กินอย่างเดียว ทำกับข้าวก็ไม่เป็น ก็ไม่มีว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้ทำว่าอย่างนั้นไม่ใช่ปฏิบัติธรรม แต่กินเป็นพระพุทธเจ้าให้กินอยู่ กินแล้วก็ไม่รู้จักล้างรู้จักทำความสะอาดก็มี

บางทีพวกผู้หญิงนี่แหละล้างถ้วยล้างชามเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ กินแล้วก็แช่มันไว้เย็นค่อยล้าง บางทีอาทิตย์หนึ่งค่อยล้าง ต้องมันจะสะสมตัวเล็กๆ น้อยๆ​ ให้สะสม แทนที่เราจะกำจัดออกไปให้มันหมด จะไปคอยเอาตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ ตัวเล็กๆ ก็เลยไม่สนใจดู ความคิดเล็กๆ น้อยๆ เกิดจากใจ เกิดจากวิญญาณมันก่อตัวอย่างไรมันเกิดอย่างไร ฝึกไปเท่าไรก็ยิ่งเห็นเยอะ เห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทำความเข้าใจ มันน่าละอายนะน่าสงสารนะถ้ามีกับใคร ให้มองโลกในทางที่ดี ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านก็ยิ่งเพิ่มความเสียสละ​ ความรับผิดชอบ พรหมวิหาร รู้จักรักษาเรารักษาคนอื่น

ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด​ ในหลักธรรมนั้นแม้แต่การพูดการคิดเกิดจากตัวจิตนี่ ต้องให้ละให้ดับเลยให้คลายขันธ์ห้า ละความเกิดดับความเกิดเสียก่อน เหลือตั้งแต่สติปัญญาที่สร้างขึ้นมา ถ้าคิดในอกุศลก็ยังให้หยุดให้ละให้ดับอีก ไม่ใช่ว่ากายก็ไม่รู้จักควบคุม วาจาก็ไม่รู้จักควบคุม ยิ่งใจล่ะยิ่งไม่รู้จักควบคุมยิ่งห่างไกล จะเอาตั้งแต่บุญจะเอาตั้งแต่ธรรม มันก็ได้ตั้งแต่กรรมนั่นแหละไม่รู้จัก

ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่กรรม กรรมมากกรรมน้อย รู้จักปล่อยวางกรรมอยู่เหนือกรรมก็ไม่ทุกข์ ทุกข์ตั้งแต่ก้อนกาย เราต้องคร่ำเคร่งกับตัวของเราใจของเราไม่ให้กิเลสมันมาเล่นงาน​ กลางค่ำกลางคืนก็ออกมาเดินดูใจ พยายามช่วยเหลืออนุเคราะห์เกื้อกูลซึ่งกันและกัน อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ไม่ใช่ทิ่มแทงกันทั้งทางวาจาทางใจ อะไรก็ละได้ก็ละอะไรก็ลดได้ก็ลด ชอบไปให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอนนั่นนะมันไปไม่ถึงไหนหรอก

เราต้องสอนใจ รู้จักฐานของใจ ไปก็ได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนรู้กันรู้จักแนวทางกันมา เพราะอายุก็มากแล้วเรียนก็เรียนมาสูงแล้ว ความรับผิดชอบก็มีแล้วไม่จำเป็นต้องไปพูดไปคุยกันมากในสิ่งพวกนี้ พูดคุยกันเหมือนกับคนกิเลสหนา คนกิเลสเบาบางนั้นฟังนิดเดียวเขาจัดการกับตัวใจของตัวเองให้อยู่หมัดเลย ไม่จำเป็นต้องไปบอกไปกล่าวกันมากมาย​ ปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเพื่อให้ใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ลงไปเรื่อยๆ​ แม้แต่การเกิด​การก่อตัวการดับในบางครั้งบางคราว​ สารพัดอย่างกว่าจะได้มาให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุขมันลำบาก การปฏิบัติธรรมก็ต้องอาศัยปัจจัยสี่ อาศัยที่พักที่อาศัย​ ที่อยู่ที่กิน ที่หลับที่นอน ที่ถ่ายที่เยี่ยว

แต่ก่อนมันลำบากทุกวันนี้ไม่ค่อยจะลำบากเพราะอานิสงส์ผลบุญผลทานของทุกคนมาช่วยหล่อหลอมกัน พวกท่านก็ยังจะพากันมามัวเมาอยู่ไม่รู้จักพากันฝึกหัดขัดเกลาตัวมีตั้งแต่กาย​วาจาใจ​ น่าละอาย ไม่สงสารท่านเจ้าคุณเลย บอกไม่ฟังแล้วไปนั่งร้องไห้อยู่ใต้เล้าไก่ ไก่ตายเกือบหมดเลยปีกลายนี้ เพิ่งเกิดมาใหม่เยอะกว่าเก่า ขันตั้งแต่เช้าขนาดขันตั้งแต่ตีหนึ่งตีสองยังไม่พากันลุกมาเดิน ไก่ขันกันทุกวันนะขี้เกียจกว่าไก่ ยิ่งชีนี่ก็พยายามช่วยกัน เป็นบางที่บางที่ก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน บางที่ก็ดี๊ดี บางที่ก็ขยันหมั่นเพียรบางที่ก็เกียจคร้าน

คนเราสร้างความเพียรมาไม่เหมือนกัน ขอให้อยู่ดีมีความสุข ถ้าสมมติก็อนุเคราะห์ให้กับทุกคน แต่กลับมาไม่มีความสมัครสมานสามัคคีกัน อันนี้ก็เสียดายนะน่าเสียดาย อยู่ที่นี่ก็ไม่มีหรอก เพียงแค่เล่าเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟัง เหมือนกับแม่ชีทางบ้านไผ่ 4-5 คน 4-5​ องค์ 4-5 คน ถูกกันดี๊ดี มากราบไหว้หลวงพ่อว่าเข้าใจในธรรมะมีความสุข พอออกพรรษามาใส่กางเกงเสื้อผ้ามา อ้าวไหนว่าจะไม่สึก ทำไมสึกหลวงปู่ไล่สึกว่าอย่างนั้น ทำไมถึงไล่สึก ธรรมะไม่ลงกันจนขึ้นโรงพักจนได้ขึ้นโรงพักว่าอย่างนั้นนะ นั่นแหละยิ่งฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาไปๆ มาๆ หลายคน

บางคนแม่ชีก็อยู่ที่ไหนอยู่ที่ขอนแก่นเรานี่แหละ ไปในตลาดไปสั่งซื้ออันโน้นสั่งซื้ออันนี้แล้วไปชี้อันโน้นอันนี้ สามล้อก็รอนะ​ มันน่าละอายนั่นก็บางทีทะเลาะเบาะแว้งกันนะ ต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้สวยๆ งามๆ ต้นมะละกอต้นพริก​ ก่อนที่จะไปแกถอนทิ้งหมดไม่ให้มันได้กินหมด สารพัดอย่าง อยู่คนละทิศละที่ละทางมาอยู่รวมกัน เราก็อยู่มาตั้ง 30 ปี มาแล้วก็มาทะเลาะเบาะแว้งกันแล้วก็ไป ทะเลาะเบาะแว้งกันแล้วก็ไป มาเถียงกันมาว่ากันมาด่ากันแล้วก็ไป แถมมาว่าเราเสียอีกว่าเราไม่ดี เอ๊ะ อย่างนั้นอย่างนี้ เราก็อุตส่าห์ทำให้อนุเคราะห์ให้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ให้ลำบาก​ เรื่องอยู่เรื่องกิน เรื่องที่พักที่อาศัย​ ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาไปขัดเกลามา อะไรก็ไม่ดีหมดเพราะใจไม่ดีมันก็เลยไม่ดีหมด แทนที่จะลด​ละขัดเกลากิเลสออกจากใจของตัวเองของตัวเราให้มันหมดจด

ใจของเราไม่ดีก็ไปโทษว่าอันโน้นก็ไม่ดีอันนี้ก็ไม่ดี มันไม่ดีก็รีบแก้ไขเสียสิจะไปนั่นมาทำไม ก็รีบแก้ไขกายของเราใจของเรานั่นแหละ ธรรมะท่านก็ให้มีอยู่ ดูอยู่ที่กายที่ใจของเรา แก้ไขที่ใจของเรา ไม่ใช่ให้ไปอคติไปเพ่งโทษ​ไปว่าไปด่ากัน มันไม่มี อย่าให้มีอย่าให้ได้ยิน ถ้าได้ยินได้ฟังแล้วก็พยายามแก้ไขปรับปรุง ให้ดูแลใจให้คร่ำเคร่งที่ใจ ใจก่อตัว ใจเกิดเมื่อไรให้จัดการกิเลสที่ใจของเรา กิเลสหยาบกิเลสละเอียดให้มันได้ตลอดเวลา

กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ การอนุเคราะห์สงเคราะห์กันมันเป็นอย่างนี้ ยิ่งตั้งแต่ความไม่มีเราก็ทำให้มีขึ้น ยังเหลือตั้งแต่ไม่ได้ป้อนข้าวกับเช็ดตูดให้เท่านั้นแหละ ในหลักของการปฏิบัติ มันจะไปได้เร็วได้ไว

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ​ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน รู้เรื่องการหายใจเข้าออก รู้สัมผัสของลมหายใจให้ต่อเนื่อง ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ใจของเราจะไม่ได้ฟุ้งซ่านไม่ได้คิดเรื่อยเฉื่อยเรื่อยเปื่อย ให้อยู่กับลมหายใจให้อยู่กับการกระทำ​ อยู่ปัจจุบัน ลึกลงไปถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเราก็จะเห็น เห็นลักษณะอาการของใจ รู้ลักษณะของใจ รู้การดับรู้การควบคุม รู้การจำแนกแจกแจงรู้การแยกแยะ ตามดูละกิเลสให้มันหมดจดออกจากจิตใจของเรา จิตใจของเราจะไม่ได้ฟุ้งซ่านไม่ได้คิดไม่ได้ทุกข์ เราก็พยายามดูพยายามขัดเกลาตัวเองอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อะไรเป็นบุญอะไรเป็นกุศลก็ให้เรารีบทำ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์อยู่ปัจจุบัน เราก็พยายามให้รีบทำขณะที่เรากำลังกายยังแข็งแรง นั่นแหละคือข้อวัตร

ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสมัครสมานสามัคคี ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทางมันก็ต้องผ่านอุปสรรคสารพัดอย่าง นั่นเขาเรียกว่า ‘วิบากกรรม’ กรรมเจ้ากรรมนายเวรทั้งภายนอกทั้งภายใน เจ้ากรรมภายในก็อาการของขันธ์ห้าของเราที่มาปรุงแต่งใจของเรา ใจของเราที่เกิดปรุงแต่งเพราะว่าความหลง เรามาจัดการกับใจของเรา จัดระบบระเบียบมาหาเหตุ​ มองหาให้เห็นเหตุเห็นผล ให้ใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริง ให้เขายอมรับความเป็นจริง ตรงนี้แหล่ะยาก

ขนาดเจริญสติมันก็ยังทำไม่ต่อเนื่องแล้วก็ไม่สนใจ ใจมันจะไปละกิเลสได้อย่างไร มันจะไปวางได้อย่างไร ว่าความอยากก็ปิดกั้นเอาไว้ความเกิดก็ปิด เพียงแค่ความอยากกับความเกิดมันก็ปิดกั้นเอาไว้ เรื่องขันธ์ห้าที่จะมาปรุงแต่งใจอีก เรื่องการเจริญสติให้ต่อเนื่องกันอีก มันก็ยังขี้เกียจคร้านในการทำ แต่การทำบุญการให้ทาน การฝักใฝ่ตรงนั้นมันมีอยู่แต่มันยังดับทุกข์ไม่ได้ เราต้องมาทำความเข้าใจกับตัวรายละเอียดลงไป มันก็ทำหมดทุกอย่างนั่นแหละ

เพราะว่าคนเราก็อาศัยอานิสงส์บุญบารมี ก่อนที่จะขึ้นถึงตัวเรือนก็ต้องอาศัยบันได อาศัยการเดินขึ้นบันไดทุกขั้นนั่นแหล่ะ ตั้งแต่ทาน​ศีลสมาธิปัญญา ถ้าจะเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันก็กะพร่องกะแพร่ง นั่นไปไม่ถึงไหน ถ้าจะเอาตั้งแต่ปัญญาอย่างเดียวไม่มีความเสียสละ ไม่มีการเอาออกไม่มีการละกิเลส มันก็อยู่ลำบากอยู่แบบเหี่ยวๆ แห้งๆ อดๆ อยากๆ เพราะว่าพรหมวิหารความเสียสละมันไม่มี จะเอาตั้งแต่ปัญญา
เหมือนกับสมัยพุทธกาลก็เคยได้อ่านประวัติของพระอรหันต์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตร ซึ่งท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่ออกบวช ไม่เคยได้ขบได้ฉันอาหารที่ดีเลย มีแต่อดๆ อยากๆ จนพระสารีบุตรไปบิณฑบาตรมาให้ก็ยังไม่ได้ฉันเพราะว่าไม่เคยให้ทานมาก่อน จะเอาตั้งแต่ปัญญาอย่างเดียวตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส หรือภพก่อนๆ ไม่เคยให้ทาน ก็เลยเป็นพระอรหันต์ที่อดโซหิวอยากเหลือตั้งแต่กระดูก นั่นแหละเพราะว่าอานิสงส์ผลทานมันไม่มี

จะเอาตั้งแต่ปัญญา อานิสงส์พรหมวิหารไม่มี หมู่คณะเพื่อนฝูงไม่มี ไปไหนมาไหนก็ไม่มีบริวาร​ เราต้องให้พร้อมมูลหมดทั้งการทำบุญให้ทาน ทั้งความรับผิดชอบความเสียสละ สัจจะมีความจริงใจ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องให้พร้อมมูล​ ไปที่ไหนก็ไม่อดไม่อยากไปที่ไหนก็ไม่ลำบากถ้าคนเรามีความเพียบพร้อม แต่จะให้เพียบพร้อมหมดทุกอย่างมันก็ต้องสร้างขึ้นมาต้องทำขึ้นมา

ใจไม่สงบเราก็ทำใจให้สงบ ใจของเรามีความตระหนี่เราก็ต้องพยายามละความตระหนี่ ใจของเรามีความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธให้อภัยทานอโหสิกรรม จัดการกับเรื่องความเกิดของเราให้มันหมดจด รักษาตัวเรารักษาคนอื่น มองโลกในทางที่ดี ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ดูเรื่องของเราให้เห็นชัดเจน

รู้ลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ อย่าปล่อยใจไปทั่วพยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้เอาไปวิเคราะห์จนใจของเรายอมรับความเป็นจริง จนใจของเราไม่เกิดนั่นแหละ ได้วันละนิดละหน่อย ระลึกได้เมื่อไรเราก็รีบดู อย่าว่าไม่ดูเจริญสติให้ชัดเจนกัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง