หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 080
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 080
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออกพวกเราก็ขาดการสนใจในการสร้างความรู้ตรงนี้ ทั้งที่สติปัญญาทางโลกทางสมมตินั้นมีกันเต็มเปี่ยม จิตมีศรัทธาน้อมเข้ามาอยู่ในการทำบุญอยู่ในการให้ทาน ฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทาน ฝักใฝ่ในการแสวงหาแต่ก็ยังไม่ถูกต้อง
สิ่งที่จะถูกต้องคือการเจริญสติเข้าไปให้รู้เท่าทันการเกิดของจิต รู้เท่าทันการเกิดของความคิด รู้จักควบคุมจิต ควบคุมความคิด จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากอาการของความคิดซึ่งเป็นส่วนนามธรรม ส่วนร่างกายก็เป็นส่วนรูปธรรม เราขาดการสังเกตที่ต่อเนื่องเพราะว่าการเจริญสติของเราไม่ค่อยจะทำกัน มีตั้งแต่นึกเอาคิดเอาซึ่งเป็นความคิดที่เกิดจากตัวจิตเกิดจากอาการของจิต ซึ่งเขาหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ เพียงแค่การเกิดเขาก็หลง หลงเกิดหลงคิดอันนี้เป็นส่วนนามธรรม
แต่เขาหลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ซึ่งมีกายเนื้อเข้ามาห่อหุ้มอยู่แล้วอันนั้นหลงอยู่ในภาพรวม ในรายละเอียดลงไปอีก ตัววิญญาณหรือว่าตัวจิตอยู่ในขันธ์ห้าของเราก็ไปหลงความคิดหลงอารมณ์ ในส่วนนามด้วยกันอีก ก็เลยเกิดอัตตาตัวตนก็เลยเหมารวมกันไปหมด ก็เลยมองเห็นตั้งแต่สภาพภายนอกกันเท่านั้ ก็เลยมองไม่เห็นความเป็นจริงภายในตรงนี้ เพราะว่าตัวใจก็ปิดบังอำพรางตัวเอง ขันธ์ห้าก็มาปิดบังอำพรางตัวใจ กายเนื้อก็มาปิดบังอำพรางตัวใจ แถมใจมีความทะเยอทะยานอยากเข้าไปเจือปน มีการเกิดส่งปรุงแต่งออกไปภายนอก ก็ปิดบังอำพรางตัวเองหลายชั้น
ถ้ากำลังสติไม่เพียงพอ กำลังอานิสงส์บุญบารมีไม่เพียงพอ ยากที่จะคลายได้ยากที่จะเข้าถึงตรงนั้น นอกจากการสร้างตบะสร้างบารมี คอยสร้างสะสมบุญอานิสงส์ไปเรื่อยๆ จนกว่ากำลังบารมี กำลังบุญ กำลังสติปัญญาเพียบพร้อม ถึงจะเข้าถึงรากฐานของตัววิญญาณจริงๆ คือความว่าง ว่างจากการเกิด เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ยังทำกันไม่ค่อยจะต่อเนื่อง
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาวันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่งมีกี่นาที นาทีหนึ่งหายใจเข้าหายใจออก เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออกพวกเราก็ทำกันไม่ต่อเนื่อง ความต่อเนื่องนั่นแหละเขาเรียกว่า สัมปชัญญะ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เพียงแค่สภาวะ ภาระหน้าที่ทางสมมติพวกเราก็ยังทำกันยังไม่บริบูรณ์ ถ้าสมมติไม่บริบูรณ์จิตใจก็ยากที่จะสงบ อันนั้นก็ติดขัด อันนี้ก็ติดขัด เขาเรียกว่าปัจจัยสี่สิ่งที่เอื้ออำนวยให้ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่
ในความสมบูรณ์คือความไม่พร่องความไม่ลำบาก ถึงจะไม่มีมากแต่ก็ไม่ได้ลำบาก เราก็ต้องพยายามหัดศึกษาชีวิตของเราให้ละเอียดให้เข้าใจ ความจริงนั้นมีอยู่สัจธรรมมีอยู่ คำสอนของพระพุทธองค์ ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม เราพยายามเดินตามคำสอนของท่านให้ถึงจุดหมายเสียก่อน ท่านถึงบอกให้เชื่อ
การเกิดของจิต การหลงของจิต จิตหรือว่าวิญญาณของเรามันหลงอยู่ในขันธ์ห้า ขันธ์ห้ามีอะไรบ้างที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ทำไมท่านถึงบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ อนิจจังทุกขังอนัตตาเป็นลักษณะหน้าตาอาการเป็นอย่างไร วิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร พระพุทธองค์ท่านสอนคำว่าอัตตา คำว่าอัตตากับอนัตตาเป็นอย่างไร อนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร รู้จักชำระสะสางกิเลส ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง
ใจของเราว่าง ว่างจากอะไร ว่างจากขันธ์ห้า ว่างจากการเกิด ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น เราทำทุกอย่างด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญา สติปัญญาเราสร้างขึ้นมาเราก็รู้จักเอาไปใช้แล้วหรือยัง เพียงแค่สร้างก็ยังไม่ต่อเนื่อง แล้วก็เรื่องการเอาไปใช้ เอาไปดับไปควบคุมไปหาเหตุหาผลให้ใจคลายออกจากความหลง รู้เห็นตามความเป็นจริง สติปัญญาตามทำความเข้าใจให้จิตยอมรับความเป็นจริงทุกเรื่อง จนจิตปล่อยวางจนจิตละกิเลส จากมากๆ ไปหาน้อยๆ จนไม่เหลือแม้แต่การเกิด
กำลังสติต้องหาเหตุหาผล ต้องแหลมคมเร็วไวอยู่ตลอดเวลาจนไม่ได้สร้างจนเป็นเองในการดูในการรู้ อะไรคือสติ อะไรคือสมาธิ อะไรคือปัญญา ปัญญาฝ่ายดับ ปัญญาฝ่ายเกิด ปัญญาฝ่ายตามดูตามรู้ตามเห็นตามทำความเข้าใจ สิ่งพวกนี้จะไปบังคับกันไม่ได้เลยแล้วแต่อานิสงส์ความเพียรที่ถูกที่ถูกทาง แล้วแต่อานิสงส์ของบุญของแต่ละบุคคล ว่าเราจะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่
เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะไปเร่งว่าต้องออกดอกออกผลวันนี้วันเดียวไม่ได้ เราก็ต้องค่อยหมั่นปลูกหมั่นดูแลหมั่นทำความเข้าใจ ถึงวาระเวลาเขาก็ออกดอกออกผลให้เรา การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน ให้เราย้อนดูตั้งแต่เป็นเด็กตั้งแต่เกิดขึ้นมา เขาก็มีการพัฒนามาเรื่อยๆ มีการพัฒนามาจากเด็กเล็กเป็นเด็กโต ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี รู้จักดำเนินชีวิตมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเติบโต ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีได้ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบ รู้จักขยันหมั่นเพียร บางคนบางท่านสมมติก็เต็มเปี่ยม บางคนบางท่านสมมติก็ยังขาดตกบกพร่อง แล้วแต่อานิสงส์แล้วแต่การบริหารของแต่ละบุคคล
เพียงแค่บริหารสมมติก็ยังขาดตกบกพร่อง ก็เลยยากที่ใจที่จะปล่อยจะวางได้ แต่ก็อย่าไปทิ้งในการทำบุญในการให้ทานเพราะว่าเป็นพื้นฐานอันยิ่งใหญ่เลยทีเดียว ถ้าการทำบุญการให้ทานไม่มี ก็ยากที่จะเสียสละตัวที่ปล่อยวางได้ในขั้นสูงๆ ในขั้นละเอียด เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็เกี่ยวเนื่องกันหมดอิงอาศัยกันหมด เหมือนกับเราขึ้นบันไดขึ้นบนตัวเรือนเราก็ต้องอาศัยแม่บันได อาศัยบันไดค่อยขึ้นไปทีละขั้นจนถึงตัวเรือน การแยกรูปแยกนามนั่นแหละเขาเรียกว่าการก้าวเข้าถึงตัวเรือน ทีนี้ตัวเรือนของเรา เราต้องปัดกวาดทำความสะอาดอีก การทำบุญการเสียสละ สัจจะความเพียรของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาสติของเราพลั้งเผลอไปสักกี่เที่ยว ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง
กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร การลุกการก้าวการเดิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เข้าห้องน้ำ ห้องครัวเข้าทำกับข้าวกับปลา ใจของเราเป็นอย่างไร ตากระทบรูปใจของเรานิ่ง หูกระทบเสียงใจของเราเป็นอย่างไร ใจของเราปรุงแต่งเป็นอย่างไร เราต้องหัดวิเคราะห์หัดสังเกต หัดดับหัดควบคุม หมั่นพร่ำสอนใจ เขาเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ถ้าเราทำไม่ได้มันก็ยาก ก็ยังอยู่ในการสร้างอานิสงส์สร้างคุณงามความดี สร้างบุญสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นอย่าไปทิ้ง หลวงพ่อก็พาทำพาสร้างอยู่ตลอดเวลา มีโอกาสก็พาทำกัน ไม่ว่าอานิสงส์ทางสมมติหรือว่าประโยชน์ทางสมมติก็พาทำ ทำให้กับทุกคน
เราก็พอมีอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ อย่าไปงอมืองอเท้าอย่าพากันเกียจคร้าน ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านที่ไร่ที่นาที่ทำการทำงาน ถ้าเกียจคร้านเราไปอยู่ที่ไหนก็หนักตัวเองหนักคนอื่นหนักสถานที่ ถ้าเรามีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ นั่นแหละคืออานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ การชำระสะสางกิเลสมันก็จะง่ายขึ้น ถ้าความเสียสละไม่มีการละกิเลสมันก็ยาก
เพียงแค่การกระทำไม่มี อยากจะได้อยู่ดีมีความสุขแต่ความเสียสละไม่มีการกระทำไม่มี มันจะไปได้อย่างไร มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไปที่ไหนก็เจอตั้งแต่คนเกียจคร้าน ไปที่ไหนก็เจอตั้งแต่เขาคิดอย่างเรา เราก็ไปเจอตั้งแต่ในสิ่งที่เราไม่เคยทำเอาไว้ ถ้าเราเคยทำเอาไว้ ไปที่นู่นที่นี่มีแต่คนทำเอาไว้ให้หมด เพราะเราเคยทำเอาไว้มาก่อนเราเสียสละมาก่อน นี่แหละไม่อดไม่อยากจนล้นเหลือไปสู่พี่สู่น้อง สู่หมู่สู่คณะสู่สังคมจนไม่ได้ลำบาก
ให้เราพยายามทำ อย่าไปมองข้ามแม้แต่ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ความคิดถ้าเป็นอกุศลเราก็ดับ ถ้าเป็นกุศลเราก็เจริญ ลึกลงไปแม้แต่ตัวจิต การเกิดของจิตเราก็ต้องดับ หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน แม้แต่กำลังสติปัญญาถ้าเป็นอกุศลแล้วก็ให้ดับอีกให้หยุดไม่ให้คิด คิดเฉพาะสิ่งที่ดี สิ่งนี้ไม่ดีเราก็ไม่คิด คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่คิด คิดก็ได้ไม่คิดก็ได้แต่สำหรับจิตนั้นไม่ให้เกิดเลยไม่ให้คิดเลย คนทั่วไปนี่ก็ยากนะ ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
สิ่งที่จะถูกต้องคือการเจริญสติเข้าไปให้รู้เท่าทันการเกิดของจิต รู้เท่าทันการเกิดของความคิด รู้จักควบคุมจิต ควบคุมความคิด จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากอาการของความคิดซึ่งเป็นส่วนนามธรรม ส่วนร่างกายก็เป็นส่วนรูปธรรม เราขาดการสังเกตที่ต่อเนื่องเพราะว่าการเจริญสติของเราไม่ค่อยจะทำกัน มีตั้งแต่นึกเอาคิดเอาซึ่งเป็นความคิดที่เกิดจากตัวจิตเกิดจากอาการของจิต ซึ่งเขาหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ เพียงแค่การเกิดเขาก็หลง หลงเกิดหลงคิดอันนี้เป็นส่วนนามธรรม
แต่เขาหลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ซึ่งมีกายเนื้อเข้ามาห่อหุ้มอยู่แล้วอันนั้นหลงอยู่ในภาพรวม ในรายละเอียดลงไปอีก ตัววิญญาณหรือว่าตัวจิตอยู่ในขันธ์ห้าของเราก็ไปหลงความคิดหลงอารมณ์ ในส่วนนามด้วยกันอีก ก็เลยเกิดอัตตาตัวตนก็เลยเหมารวมกันไปหมด ก็เลยมองเห็นตั้งแต่สภาพภายนอกกันเท่านั้ ก็เลยมองไม่เห็นความเป็นจริงภายในตรงนี้ เพราะว่าตัวใจก็ปิดบังอำพรางตัวเอง ขันธ์ห้าก็มาปิดบังอำพรางตัวใจ กายเนื้อก็มาปิดบังอำพรางตัวใจ แถมใจมีความทะเยอทะยานอยากเข้าไปเจือปน มีการเกิดส่งปรุงแต่งออกไปภายนอก ก็ปิดบังอำพรางตัวเองหลายชั้น
ถ้ากำลังสติไม่เพียงพอ กำลังอานิสงส์บุญบารมีไม่เพียงพอ ยากที่จะคลายได้ยากที่จะเข้าถึงตรงนั้น นอกจากการสร้างตบะสร้างบารมี คอยสร้างสะสมบุญอานิสงส์ไปเรื่อยๆ จนกว่ากำลังบารมี กำลังบุญ กำลังสติปัญญาเพียบพร้อม ถึงจะเข้าถึงรากฐานของตัววิญญาณจริงๆ คือความว่าง ว่างจากการเกิด เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ยังทำกันไม่ค่อยจะต่อเนื่อง
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาวันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่งมีกี่นาที นาทีหนึ่งหายใจเข้าหายใจออก เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออกพวกเราก็ทำกันไม่ต่อเนื่อง ความต่อเนื่องนั่นแหละเขาเรียกว่า สัมปชัญญะ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เพียงแค่สภาวะ ภาระหน้าที่ทางสมมติพวกเราก็ยังทำกันยังไม่บริบูรณ์ ถ้าสมมติไม่บริบูรณ์จิตใจก็ยากที่จะสงบ อันนั้นก็ติดขัด อันนี้ก็ติดขัด เขาเรียกว่าปัจจัยสี่สิ่งที่เอื้ออำนวยให้ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่
ในความสมบูรณ์คือความไม่พร่องความไม่ลำบาก ถึงจะไม่มีมากแต่ก็ไม่ได้ลำบาก เราก็ต้องพยายามหัดศึกษาชีวิตของเราให้ละเอียดให้เข้าใจ ความจริงนั้นมีอยู่สัจธรรมมีอยู่ คำสอนของพระพุทธองค์ ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม เราพยายามเดินตามคำสอนของท่านให้ถึงจุดหมายเสียก่อน ท่านถึงบอกให้เชื่อ
การเกิดของจิต การหลงของจิต จิตหรือว่าวิญญาณของเรามันหลงอยู่ในขันธ์ห้า ขันธ์ห้ามีอะไรบ้างที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ทำไมท่านถึงบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ อนิจจังทุกขังอนัตตาเป็นลักษณะหน้าตาอาการเป็นอย่างไร วิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร พระพุทธองค์ท่านสอนคำว่าอัตตา คำว่าอัตตากับอนัตตาเป็นอย่างไร อนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร รู้จักชำระสะสางกิเลส ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง
ใจของเราว่าง ว่างจากอะไร ว่างจากขันธ์ห้า ว่างจากการเกิด ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น เราทำทุกอย่างด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญา สติปัญญาเราสร้างขึ้นมาเราก็รู้จักเอาไปใช้แล้วหรือยัง เพียงแค่สร้างก็ยังไม่ต่อเนื่อง แล้วก็เรื่องการเอาไปใช้ เอาไปดับไปควบคุมไปหาเหตุหาผลให้ใจคลายออกจากความหลง รู้เห็นตามความเป็นจริง สติปัญญาตามทำความเข้าใจให้จิตยอมรับความเป็นจริงทุกเรื่อง จนจิตปล่อยวางจนจิตละกิเลส จากมากๆ ไปหาน้อยๆ จนไม่เหลือแม้แต่การเกิด
กำลังสติต้องหาเหตุหาผล ต้องแหลมคมเร็วไวอยู่ตลอดเวลาจนไม่ได้สร้างจนเป็นเองในการดูในการรู้ อะไรคือสติ อะไรคือสมาธิ อะไรคือปัญญา ปัญญาฝ่ายดับ ปัญญาฝ่ายเกิด ปัญญาฝ่ายตามดูตามรู้ตามเห็นตามทำความเข้าใจ สิ่งพวกนี้จะไปบังคับกันไม่ได้เลยแล้วแต่อานิสงส์ความเพียรที่ถูกที่ถูกทาง แล้วแต่อานิสงส์ของบุญของแต่ละบุคคล ว่าเราจะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่
เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะไปเร่งว่าต้องออกดอกออกผลวันนี้วันเดียวไม่ได้ เราก็ต้องค่อยหมั่นปลูกหมั่นดูแลหมั่นทำความเข้าใจ ถึงวาระเวลาเขาก็ออกดอกออกผลให้เรา การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน ให้เราย้อนดูตั้งแต่เป็นเด็กตั้งแต่เกิดขึ้นมา เขาก็มีการพัฒนามาเรื่อยๆ มีการพัฒนามาจากเด็กเล็กเป็นเด็กโต ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี รู้จักดำเนินชีวิตมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเติบโต ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีได้ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบ รู้จักขยันหมั่นเพียร บางคนบางท่านสมมติก็เต็มเปี่ยม บางคนบางท่านสมมติก็ยังขาดตกบกพร่อง แล้วแต่อานิสงส์แล้วแต่การบริหารของแต่ละบุคคล
เพียงแค่บริหารสมมติก็ยังขาดตกบกพร่อง ก็เลยยากที่ใจที่จะปล่อยจะวางได้ แต่ก็อย่าไปทิ้งในการทำบุญในการให้ทานเพราะว่าเป็นพื้นฐานอันยิ่งใหญ่เลยทีเดียว ถ้าการทำบุญการให้ทานไม่มี ก็ยากที่จะเสียสละตัวที่ปล่อยวางได้ในขั้นสูงๆ ในขั้นละเอียด เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็เกี่ยวเนื่องกันหมดอิงอาศัยกันหมด เหมือนกับเราขึ้นบันไดขึ้นบนตัวเรือนเราก็ต้องอาศัยแม่บันได อาศัยบันไดค่อยขึ้นไปทีละขั้นจนถึงตัวเรือน การแยกรูปแยกนามนั่นแหละเขาเรียกว่าการก้าวเข้าถึงตัวเรือน ทีนี้ตัวเรือนของเรา เราต้องปัดกวาดทำความสะอาดอีก การทำบุญการเสียสละ สัจจะความเพียรของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาสติของเราพลั้งเผลอไปสักกี่เที่ยว ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง
กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร การลุกการก้าวการเดิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เข้าห้องน้ำ ห้องครัวเข้าทำกับข้าวกับปลา ใจของเราเป็นอย่างไร ตากระทบรูปใจของเรานิ่ง หูกระทบเสียงใจของเราเป็นอย่างไร ใจของเราปรุงแต่งเป็นอย่างไร เราต้องหัดวิเคราะห์หัดสังเกต หัดดับหัดควบคุม หมั่นพร่ำสอนใจ เขาเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ถ้าเราทำไม่ได้มันก็ยาก ก็ยังอยู่ในการสร้างอานิสงส์สร้างคุณงามความดี สร้างบุญสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นอย่าไปทิ้ง หลวงพ่อก็พาทำพาสร้างอยู่ตลอดเวลา มีโอกาสก็พาทำกัน ไม่ว่าอานิสงส์ทางสมมติหรือว่าประโยชน์ทางสมมติก็พาทำ ทำให้กับทุกคน
เราก็พอมีอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ อย่าไปงอมืองอเท้าอย่าพากันเกียจคร้าน ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านที่ไร่ที่นาที่ทำการทำงาน ถ้าเกียจคร้านเราไปอยู่ที่ไหนก็หนักตัวเองหนักคนอื่นหนักสถานที่ ถ้าเรามีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ นั่นแหละคืออานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ การชำระสะสางกิเลสมันก็จะง่ายขึ้น ถ้าความเสียสละไม่มีการละกิเลสมันก็ยาก
เพียงแค่การกระทำไม่มี อยากจะได้อยู่ดีมีความสุขแต่ความเสียสละไม่มีการกระทำไม่มี มันจะไปได้อย่างไร มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไปที่ไหนก็เจอตั้งแต่คนเกียจคร้าน ไปที่ไหนก็เจอตั้งแต่เขาคิดอย่างเรา เราก็ไปเจอตั้งแต่ในสิ่งที่เราไม่เคยทำเอาไว้ ถ้าเราเคยทำเอาไว้ ไปที่นู่นที่นี่มีแต่คนทำเอาไว้ให้หมด เพราะเราเคยทำเอาไว้มาก่อนเราเสียสละมาก่อน นี่แหละไม่อดไม่อยากจนล้นเหลือไปสู่พี่สู่น้อง สู่หมู่สู่คณะสู่สังคมจนไม่ได้ลำบาก
ให้เราพยายามทำ อย่าไปมองข้ามแม้แต่ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ความคิดถ้าเป็นอกุศลเราก็ดับ ถ้าเป็นกุศลเราก็เจริญ ลึกลงไปแม้แต่ตัวจิต การเกิดของจิตเราก็ต้องดับ หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน แม้แต่กำลังสติปัญญาถ้าเป็นอกุศลแล้วก็ให้ดับอีกให้หยุดไม่ให้คิด คิดเฉพาะสิ่งที่ดี สิ่งนี้ไม่ดีเราก็ไม่คิด คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่คิด คิดก็ได้ไม่คิดก็ได้แต่สำหรับจิตนั้นไม่ให้เกิดเลยไม่ให้คิดเลย คนทั่วไปนี่ก็ยากนะ ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา