หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 077
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 077
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ทำใจของเราให้สงบวางกายของเราให้สบาย ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สำรวจใจของเราแล้วหรือยัง สำรวจใจสำรวจกายของเรา รู้การเกิดการดับของใจ รู้การเกิดการดับของความคิดของอารมณ์ สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง
รู้จักลักษณะของการเจริญสติ รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน รู้กายรู้การหายใจเข้าออกของเรา อันนี้เรียกว่า ‘รู้กาย’ หายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ในกายของเรานี้มีอะไรดีๆ เยอะ ถ้าเราขาดการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์เข้าไปพิจารณา เราก็จะไม่เข้าใจในชีวิตของเรา เราก็จะดำเนินไปด้วยปัญญาของโลกิยะ ซึ่งตัววิญญาณหรือว่าตัวใจก็ยังหลงอยู่ เพียงแค่การเกิดเขาก็หลงอยู่ เขาเกิดเขาปรุงเขาแต่ง เขามาก่อร่างสร้างภพของมนุษย์ซึ่งมีวิญญาณ ตัววิญญาณมาอาศัยอยู่ภายในอยู่
ทำอย่างไรเราถึงจะทำความเข้าใจกับวิญญาณของเราได้ เราต้องมาเจริญสติดำเนินตามคำสอนของพระพุทธองค์ ทำความเข้าใจ รู้ไม่เท่าทันเราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้รู้จักดับเอาไว้ ขอให้เรามีศรัทธา แล้วมายังปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริง ปัญญาที่เกิดจากการเจริญสติ มาสำรวจมาทำความเข้าใจให้ได้ทุกอิริยาบถตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราต้องขยัน เราต้องพยายามมีความเพียรที่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเรารีบน้อมเข้าไปรู้กายของเรารู้ใจของเรา สำรวจดูเราขาดตกบกพร่องอะไร ทำไมเราถึงเดินไม่ถึงจุดหมายปลายทางสักที เป็นเพราะสาเหตุอะไร เราก็ต้องมาวิเคราะห์ตัวเรา มีความเพียรอาศัยกาลอาศัยเวลา ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีความจริงใจต่อตัวเราเองหรือเปล่า เราก็ต้องพยายาม ไม่ใช่ว่าจะไปมองตั้งแต่ภายนอกอย่างเดียว
การเกิดการดับของตัวใจเป็นอย่างไร อาการของใจเป็นอย่างไร ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีความหลงในความคิดหรือว่าไปเสวยอารมณ์เป็นอย่างไร ทุกเรื่องเลย จากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ ความเกิดเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละแต่เราขาดการวิเคราะห์
ในกายของเรานี้ท่านแบ่งออกเป็นกองเป็นขันธ์ คำว่ากองเป็นกองอย่างไร เป็นขันธ์อย่างไร เราสังเกตจนกว่าใจของเราจะแยกออกคลายออก คลายความหลงคลายความคิดคลายอารมณ์ เขามีอยู่แล้วแหละความคิดนั้นเขามีมาอยู่ตั้งแต่เกิดนั่นแหละ เขามีมาตั้งแต่หลายภพหลายชาติ เขาหลง เขาเกิดเขามาสร้างขันธ์ห้าปกปิดดวงจิตเอาไว้ ปกปิดดวงจิตของเขาเองเอาไว้ กายเนื้อก็ปกปิดดวงจิตเอาไว้ ความคิดอารมณ์ก็ปกปิดดวงจิตเอาไว้
พวกนิวรณธรรมมลทินต่างๆ เราก็มายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนของเราจริงๆ แล้วก็ของของเราจริงๆ มันยึดติดเสียจนคลายยาก คลายตัวนามธรรมก็คลายไม่ได้ คลายตัวรูปธรรมก็คลายไม่ได้ แถมไปสร้างภาระพันธะต่างๆ มาปกปิดตัวมันเองอีก มากเข้าไปอีกก็เลยทนทุกข์ทรมาน วนเวียนว่ายตายเกิด ทางกายเนื้อก็เกิดๆ ตายๆ อยู่ ทางด้านจิตวิญญาณเขาก็เกิดๆ ดับๆ ลองอดพูดอดคิด สังเกตดูความคิดดูสิ แต่ละวันตื่นเช้าขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง
ถ้าเราไม่ส่งออกไปมันเป็นอย่างไร อะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา เราสร้างขึ้นมาได้ต่อเนื่องหรือไม่ หมั่นวิเคราะห์หมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุง หมั่นพิจารณาหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องไปให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอนเราสอนตัวเราเอง สติหมั่นพร่ำสอนใจของเรา อะไรผิดอะไรถูก อะไรควรแก้ไข แก้ไขเร็วแก้ไขไว ประโยชน์เร็วประโยชน์ช้า ประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล
เราต้องพยายามศึกษาให้ละเอียดก่อนที่ธาตุขันธ์ของเราจะแตกดับ ไม่ให้ใจของเราไปเกิดที่ไหนอีกมองเห็นหนทางเดินตั้งแต่เรายังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ เพียงแค่ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาสติของเราก็ยังไม่รู้จักสร้างให้ต่อเนื่อง อาจจะสร้างอยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆ ไม่รู้จักเอาไปใช้
ในหลักธรรมแล้วท่านต้องให้รู้กายรู้ใจ รู้ความหลงของใจ ทำไมใจของเราถึงไปหลงเอาความคิด หลงอารมณ์ ทำไมเขาถึงรวมกันเป็นสิ่งเดียวกัน ทำไมใจของเราถึงเป็นทาสของกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด แม้แต่การไปการมาแม้แต่ความอยาก อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ทุกเรื่องเลย เราต้องศึกษาสติปัญญาของเราต้องศึกษาให้ละเอียด เพียงแค่สติปัญญาของเราก็ยังไม่ได้สร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ก็เลยที่จะเอาไปศึกษาเรื่องใจก็เลยยากอีก นอกจากบุคคลที่มีความเพียร มีความเสียสละ หมั่นสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีให้มีให้เกิดขึ้น สิ่งพวกนี้จะไปบังคับกันไม่ได้เลย
เราก็ต้องพยายามเอา พยายามทำเอา เพียงแค่ยังสมมติเพียงแค่ระดับสมมติเราก็พยายามยังสมมติให้เกิดอานิสงส์ให้เกิดบุญ จนล้นออกไปสู่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน อีกสักหน่อยพวกเราก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะว่าเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง เราต้องหาไตรลักษณ์ หาความว่างหาความบริสุทธิ์ภายในของเราให้เห็นให้เจอเสียก่อน เราก็จะมองเห็นโลกนี้ตามความเป็นจริง
ใจของเราเป็นธรรมเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรม ใจของเราเป็นโลกเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นโลก โลกกับธรรมก็อาศัยกันอยู่อิงอาศัยกันอยู่ แต่เราต้องจำแนกแจกด้วยการเจริญสติด้วยการเจริญปัญญา รู้แจ้งเห็นจริง แล้วก็ยังให้ถึงจุดหมายปลายทางที่ใจของเรา ใจของเราไม่เกิดเราก็รู้ใจของเราไม่เกิด ใจไม่มีกิเลสก็รู้ว่าใจไม่มีกิเลส กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร วันนี้มีวันพรุ่งนี้มี เมื่อวานนี้ก็มี โลกนี้มีโลกหน้ามี พระพุทธเจ้ามีจริง คำสอนมีจริง สัจธรรมมีจริง ขอให้เราดำเนินให้ถูกทางให้ถูกที่ เราก็จะเห็น
ใครเห็นธรรมคนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า เห็นธรรมหมายถึงเห็นใจของเราด้วยใจของเรา เพียงแค่รู้เฉยๆ ไม่ได้เราก็ต้องพยายามละกิเลสออกจากใจของเราอีก สภาพใจเดิมแท้นั้นเขาบริสุทธิ์ เขาไม่รู้เขาถึงเกิด เกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว อัดแน่นเข้าไปอัดแน่นเข้าไปเหมือนกับดินพอกหางหมู เราก็ต้องมาคลายมาค่อยงัดค่อยแงะ ด้วยการสร้างตบะสร้างบารมี ด้วยการสร้างความเพียร อย่าไปมองข้ามแม้แต่บุญเล็กๆ น้อยๆ เราก็พยายามสร้างขึ้นมา คิดดีทำดีพูดดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์
ทุกเรื่องในชีวิตเราก็ต้องรู้จักดำเนิน อย่าไปให้คนอื่นเขาสอนเราต้องสอนตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองปรับปรุงตัวเราเอง ถึงอยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่าน มาอยู่ร่วมกันเราก็ยิ่งเพิ่มความสมัครสมานสามัคคี เพิ่มพรหมวิหารความเมตตาให้เต็มเปี่ยม มีอะไรก็ช่วยกันทำ อย่าไปงอมืองอเท้าอย่าไปเกียจคร้าน ต้องขยันหมั่นเพียรกันนะ
ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ทำใจให้ว่างสมองให้โล่งกายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะนะ
พากันไว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
รู้จักลักษณะของการเจริญสติ รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน รู้กายรู้การหายใจเข้าออกของเรา อันนี้เรียกว่า ‘รู้กาย’ หายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ในกายของเรานี้มีอะไรดีๆ เยอะ ถ้าเราขาดการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์เข้าไปพิจารณา เราก็จะไม่เข้าใจในชีวิตของเรา เราก็จะดำเนินไปด้วยปัญญาของโลกิยะ ซึ่งตัววิญญาณหรือว่าตัวใจก็ยังหลงอยู่ เพียงแค่การเกิดเขาก็หลงอยู่ เขาเกิดเขาปรุงเขาแต่ง เขามาก่อร่างสร้างภพของมนุษย์ซึ่งมีวิญญาณ ตัววิญญาณมาอาศัยอยู่ภายในอยู่
ทำอย่างไรเราถึงจะทำความเข้าใจกับวิญญาณของเราได้ เราต้องมาเจริญสติดำเนินตามคำสอนของพระพุทธองค์ ทำความเข้าใจ รู้ไม่เท่าทันเราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้รู้จักดับเอาไว้ ขอให้เรามีศรัทธา แล้วมายังปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริง ปัญญาที่เกิดจากการเจริญสติ มาสำรวจมาทำความเข้าใจให้ได้ทุกอิริยาบถตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราต้องขยัน เราต้องพยายามมีความเพียรที่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเรารีบน้อมเข้าไปรู้กายของเรารู้ใจของเรา สำรวจดูเราขาดตกบกพร่องอะไร ทำไมเราถึงเดินไม่ถึงจุดหมายปลายทางสักที เป็นเพราะสาเหตุอะไร เราก็ต้องมาวิเคราะห์ตัวเรา มีความเพียรอาศัยกาลอาศัยเวลา ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีความจริงใจต่อตัวเราเองหรือเปล่า เราก็ต้องพยายาม ไม่ใช่ว่าจะไปมองตั้งแต่ภายนอกอย่างเดียว
การเกิดการดับของตัวใจเป็นอย่างไร อาการของใจเป็นอย่างไร ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีความหลงในความคิดหรือว่าไปเสวยอารมณ์เป็นอย่างไร ทุกเรื่องเลย จากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ ความเกิดเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละแต่เราขาดการวิเคราะห์
ในกายของเรานี้ท่านแบ่งออกเป็นกองเป็นขันธ์ คำว่ากองเป็นกองอย่างไร เป็นขันธ์อย่างไร เราสังเกตจนกว่าใจของเราจะแยกออกคลายออก คลายความหลงคลายความคิดคลายอารมณ์ เขามีอยู่แล้วแหละความคิดนั้นเขามีมาอยู่ตั้งแต่เกิดนั่นแหละ เขามีมาตั้งแต่หลายภพหลายชาติ เขาหลง เขาเกิดเขามาสร้างขันธ์ห้าปกปิดดวงจิตเอาไว้ ปกปิดดวงจิตของเขาเองเอาไว้ กายเนื้อก็ปกปิดดวงจิตเอาไว้ ความคิดอารมณ์ก็ปกปิดดวงจิตเอาไว้
พวกนิวรณธรรมมลทินต่างๆ เราก็มายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนของเราจริงๆ แล้วก็ของของเราจริงๆ มันยึดติดเสียจนคลายยาก คลายตัวนามธรรมก็คลายไม่ได้ คลายตัวรูปธรรมก็คลายไม่ได้ แถมไปสร้างภาระพันธะต่างๆ มาปกปิดตัวมันเองอีก มากเข้าไปอีกก็เลยทนทุกข์ทรมาน วนเวียนว่ายตายเกิด ทางกายเนื้อก็เกิดๆ ตายๆ อยู่ ทางด้านจิตวิญญาณเขาก็เกิดๆ ดับๆ ลองอดพูดอดคิด สังเกตดูความคิดดูสิ แต่ละวันตื่นเช้าขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง
ถ้าเราไม่ส่งออกไปมันเป็นอย่างไร อะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา เราสร้างขึ้นมาได้ต่อเนื่องหรือไม่ หมั่นวิเคราะห์หมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุง หมั่นพิจารณาหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องไปให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอนเราสอนตัวเราเอง สติหมั่นพร่ำสอนใจของเรา อะไรผิดอะไรถูก อะไรควรแก้ไข แก้ไขเร็วแก้ไขไว ประโยชน์เร็วประโยชน์ช้า ประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล
เราต้องพยายามศึกษาให้ละเอียดก่อนที่ธาตุขันธ์ของเราจะแตกดับ ไม่ให้ใจของเราไปเกิดที่ไหนอีกมองเห็นหนทางเดินตั้งแต่เรายังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ เพียงแค่ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาสติของเราก็ยังไม่รู้จักสร้างให้ต่อเนื่อง อาจจะสร้างอยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆ ไม่รู้จักเอาไปใช้
ในหลักธรรมแล้วท่านต้องให้รู้กายรู้ใจ รู้ความหลงของใจ ทำไมใจของเราถึงไปหลงเอาความคิด หลงอารมณ์ ทำไมเขาถึงรวมกันเป็นสิ่งเดียวกัน ทำไมใจของเราถึงเป็นทาสของกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด แม้แต่การไปการมาแม้แต่ความอยาก อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ทุกเรื่องเลย เราต้องศึกษาสติปัญญาของเราต้องศึกษาให้ละเอียด เพียงแค่สติปัญญาของเราก็ยังไม่ได้สร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ก็เลยที่จะเอาไปศึกษาเรื่องใจก็เลยยากอีก นอกจากบุคคลที่มีความเพียร มีความเสียสละ หมั่นสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีให้มีให้เกิดขึ้น สิ่งพวกนี้จะไปบังคับกันไม่ได้เลย
เราก็ต้องพยายามเอา พยายามทำเอา เพียงแค่ยังสมมติเพียงแค่ระดับสมมติเราก็พยายามยังสมมติให้เกิดอานิสงส์ให้เกิดบุญ จนล้นออกไปสู่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน อีกสักหน่อยพวกเราก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะว่าเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง เราต้องหาไตรลักษณ์ หาความว่างหาความบริสุทธิ์ภายในของเราให้เห็นให้เจอเสียก่อน เราก็จะมองเห็นโลกนี้ตามความเป็นจริง
ใจของเราเป็นธรรมเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรม ใจของเราเป็นโลกเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นโลก โลกกับธรรมก็อาศัยกันอยู่อิงอาศัยกันอยู่ แต่เราต้องจำแนกแจกด้วยการเจริญสติด้วยการเจริญปัญญา รู้แจ้งเห็นจริง แล้วก็ยังให้ถึงจุดหมายปลายทางที่ใจของเรา ใจของเราไม่เกิดเราก็รู้ใจของเราไม่เกิด ใจไม่มีกิเลสก็รู้ว่าใจไม่มีกิเลส กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร วันนี้มีวันพรุ่งนี้มี เมื่อวานนี้ก็มี โลกนี้มีโลกหน้ามี พระพุทธเจ้ามีจริง คำสอนมีจริง สัจธรรมมีจริง ขอให้เราดำเนินให้ถูกทางให้ถูกที่ เราก็จะเห็น
ใครเห็นธรรมคนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า เห็นธรรมหมายถึงเห็นใจของเราด้วยใจของเรา เพียงแค่รู้เฉยๆ ไม่ได้เราก็ต้องพยายามละกิเลสออกจากใจของเราอีก สภาพใจเดิมแท้นั้นเขาบริสุทธิ์ เขาไม่รู้เขาถึงเกิด เกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว อัดแน่นเข้าไปอัดแน่นเข้าไปเหมือนกับดินพอกหางหมู เราก็ต้องมาคลายมาค่อยงัดค่อยแงะ ด้วยการสร้างตบะสร้างบารมี ด้วยการสร้างความเพียร อย่าไปมองข้ามแม้แต่บุญเล็กๆ น้อยๆ เราก็พยายามสร้างขึ้นมา คิดดีทำดีพูดดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์
ทุกเรื่องในชีวิตเราก็ต้องรู้จักดำเนิน อย่าไปให้คนอื่นเขาสอนเราต้องสอนตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองปรับปรุงตัวเราเอง ถึงอยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่าน มาอยู่ร่วมกันเราก็ยิ่งเพิ่มความสมัครสมานสามัคคี เพิ่มพรหมวิหารความเมตตาให้เต็มเปี่ยม มีอะไรก็ช่วยกันทำ อย่าไปงอมืองอเท้าอย่าไปเกียจคร้าน ต้องขยันหมั่นเพียรกันนะ
ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ทำใจให้ว่างสมองให้โล่งกายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะนะ
พากันไว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา