หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 071

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 071
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 071
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ถึงเราละไม่ได้ก็ขอให้ใจของเราได้สงบนิ่งได้พักผ่อน ให้กายของเราได้พักผ่อน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ลองดูสิ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว

การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นแค่เพียงอุบาย ให้มีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่ชัดเจน กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะใจของเราก็จะสงบนิ่ง ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ อันนี้เป็นแค่เพียงชี้เป็นแค่เพียงแนะอุบายวิธี

ความรู้ตัวภาษาธรรมะท่านเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชินตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ให้มีสติรู้กายรู้การหายใจเข้าออกของเรา ถ้าความรู้ตัวต่อเนื่องเราก็จะรู้เท่าทันจิต รู้ลักษณะของจิตหรือว่าวิญญาณของเรา รู้การเกิดการดับของวิญญาณของเรา รู้อาการของความคิดที่มาปรุงแต่งใจของเรา เราก็จะได้รู้เท่าทันว่าใจของเราเป็นอย่างไร ใจของเราสงบสะอาดบริสุทธิ์หรือว่าใจของเราหลง

เพียงแค่การเกิดในหลักธรรมก็หลง เขาเรียกว่า ‘หลง’ หลงเกิด ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด อันนี้เพียงแค่การเกิดการปรุงการแต่งของวิญญาณ ทีนี้ความคิดอาการของขันธ์ห้าอีกเข้ามาปรุงแต่งจิตของเราอีก ได้รวมเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก ปกปิดเอาไว้หลายชั้น ถ้าเราไม่ได้มาเจริญสติคลายความหลง ทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงก็ยากที่จะเข้าใจตรงนี้

นอกจากบุคคลที่มีความเพียรแล้วก็จะทำความเข้าใจอยู่ตลอดเวลา มองหาความจริงในชีวิตของเรา ถ้าไม่หลงวิญญาณไม่เกิดหรอก อันนี้เขาเกิดเขาปรุงเขาแต่งเขาส่งออกไป แต่เขามาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์มาสร้างภพสร้างชาติอยู่ในภพของมนุษย์ ก็มีการเปลี่ยนแปลง จากเด็กขึ้นมาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน รู้จักรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี ขยันหมั่นเพียรอยู่ในระดับของสมมติ แต่เขาก็ปิดบังอำพรางตัวเขาเอาไว้หมดห่อหุ้มดวงจิตเอาไว้หมด กายเนื้อก็มาปกปิดดวงจิตเอาไว้หมด ความคิดอารมณ์ก็มาปกปิดดวงจิตเอาไว้หมด แถมดวงจิตของเรายังเป็นทาสของอารมณ์เป็นทาสของกิเลสอีก

ถ้าเราไม่ได้มาเจริญสติเข้าไปคลายความหลง เข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผลจริงๆ แล้วก็ยากที่จะเข้าถึงตรงนี้ เพียงแค่สติรู้ตัวเราก็ยังไม่ได้สร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง อาจจะรู้ได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว กิเลสมารต่างๆ ขันธ์มารต่างๆ เขาก็มีเหตุมีผลปิดบังอำพรางตัวเขาเอาไว้ แม้แต่ตัวใจหรือว่าตัวจิตของเราก็ปิดบังอำพรางตัวเขาเอาไว้ เขาก็มีเหตุมีผลเหมือนกัน กำลังสติปัญญาของเราจะแหลมคมมากน้อยถึงขนาดไหน ถึงจะเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผล หมั่นพร่ำสอนใจของเราให้ใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริงได้ ส่วนใจของเราปล่อยวางได้นั่นแหละ ดับความเกิดได้คลายความหลงได้นั่นแหละถึงจะมองเห็นหนทางชัดเจน

ทุกคนก็มีสติปัญญาในทางโลกิยะ ทุกคนก็มีอานิสงส์มีบุญสร้างบุญมาดี บางคนบางท่านก็สร้างมาเต็ม บางคนบางท่านก็สร้างมาน้อย บางคนบางท่านก็เพิ่งเพิ่งมาสร้างบุญระดับสมมติ ก็บางคนบางท่านก็เต็มเปี่ยม แต่ทางด้านจิตใจเราก็ต้องหมั่นวิเคราะห์หมั่นสํารวจหมั่นทำความเข้าใจ มีให้เป็นทำให้เป็น บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา ตนเป็นที่พึ่งของตน สติปัญญานั่นแหละเป็นที่พึ่งของใจ

แต่เวลานี้ใจของเราวิ่งออกไปพึ่งภายนอกพึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง อันนั้นก็พึ่งได้อยู่ในระดับของสมมติแต่ไม่ใช่ว่าเอาสติสร้าง เจริญสติปัญญาไปเป็นที่พึ่งของใจ แม้แต่สติปัญญาตัวใหม่ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างไร ความคิดปัญญาเกิดจากส่วนไหน เกิดจากส่วนกลางหรือว่าเกิดจากส่วนใจหรือว่าเกิดจากส่วนสมอง ความคิดเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนามธรรม

เราต้องหมั่นวิเคราะห์สํารวจทำความเข้าใจเดินตามแนวทางของพระพุทธองค์ที่ท่านได้ค้นพบ ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่อำนาจทิฏฐิมานะความคิดเห็นของเรา อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วถ้าใจยังไม่คลายออกจากความคิด ใจยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ นี่หลง เพียงแค่การเกิดเขาก็หลง เราต้องมาคลายความหลง ทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ

ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ตัวใจ แม้แต่การเกิดการปรุงการแต่งเราทำความเข้าใจ แล้วเราละเราดับทีนั้นทีนี้เขาก็เหือดแห้งไป จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา เป็นเรื่องของความขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา มีความรับผิดชอบ มีความขยันหมั่นเพียร มีความเสียสละ อยู่ด้วยพรหมวิหารด้วยความเมตตา มองโลกในทางที่ดี ขยันหมั่นเพียร ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่สังคม

เราก็ต้องพยายามอย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าไปคิดว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาหมด จะปฏิบัติมามากมาน้อย อยู่ในระดับของสมมติก็ปฏิบัติมาดี รู้จักรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ รู้จักขวนขวาย แต่ในเรื่องปัญญาขั้นสูง การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ตรงนี้เราขาดมากทีเดียว

เอาตั้งแต่ปัญญา ความคิดของโลกิยะความคิดเก่าๆ ก็เลยปกปิดตัวเองเอาไว้เสีย ก็เลยพลาดโอกาสทั้งที่ใจก็เป็นบุญใจก็อยู่ในฐานบุญอยู่ตลอดเวลา ความขยันหมั่นเพียรมีพร้อม ความเสียสละมีพร้อม กาลเวลามีพร้อม รู้จักแสวงหาด้วยสติด้วยปัญญาจนยังสมมติจนเต็มเปี่ยม ทางด้านวิมุตติ ทางด้านจิตใจเขาเกิดอยู่ตลอดเวลา ทำอย่างไรเราถึงจะทำให้ใจของเราสงบนิ่งได้ เราก็ต้องมาเจริญสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจ ใหม่ๆ ก็อาจจะฝืนเป็นการทวนกระแสเพราะว่าใจหรือว่าจิตของคนชอบคิดชอบเที่ยวชอบปรุงชอบแต่งสารพัดเรื่อง เขาก็หาเหตุหาผลของเขาเหมือนกัน กำลังสติปัญญาของเราจะมีเหตุมีผลที่แหลมคมหรือไม่เท่านั้นเอง อย่าไปมองข้ามตัวเราเอง จงพยายามแสวงสร้างทรัพย์ขึ้นมาให้มีให้เกิดขึ้นที่กายที่ใจของเรา

ใจของเรามีความโลภเราพยายามละความโลภ ใจของเรามีความโกรธเราพยายามดับความโกรธให้อภัยทานอโหสิกรรม เรามีความเกียจคร้านเราพยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญาของเรา อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน กายของเรานี่หล่ะก้อนโลก ใจของเรานั่นแหละคือองค์ธรรม แต่เวลานี้เขายังหลงอยู่ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์หมั่นพร่ำสอนใจของเรา

เพียงแค่สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเรายังไม่ค่อยจะได้สร้างกันเลย สร้างอยู่แต่ยังทำไม่ต่อเนื่องยังไม่เห็น ยังไม่เห็นยังไม่รู้ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ปราศจากการเกิด เรารู้อยู่เมื่อเขาเกิดแล้วเขาไปแล้ว เขาหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ ถ้าเปรียบเสมือนเรือก็เป็นเรือที่ไม่มีคนพายลอยเคว้งคว้าง ทั้งที่ใจก็อยู่ในกองบุญกองกุศล ความเสียสละ พรหมวิหารความเมตตา แต่เขายังหลงเกิดยังไขว่คว้าแสวงหา เพียงแค่แสวงหาธรรมนั้นเขาก็ปิดกั้นตัวของเขาเอง ตัวของเขาตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม

แต่เวลานี้เขายังคว่ำอยู่ยังไม่ได้หงาย ถ้ายังแยกคลายออกจากความคิดคลายออกจากอารมณ์ไม่ได้นี่เขาเรียกว่ายังคว่ำอยู่ ถ้ากำลังสติหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ ถ้าเรารู้เท่าทันเห็นใจคลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ นี่เขาถึงจะพลิกถึงจะหงาย เพียงแค่เริ่มต้นของสัมมาทิฏฐิข้อแรกในอริยมรรคในหนทางเดิน ถ้าเราตามทำความเข้าใจได้ ตามดูตามรู้ตามเห็นได้เราก็จะรอบรู้ในความคิด รอบรู้ในกองสังขาร เข้าใจในภาษาธรรม เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจคําว่า สมมติวิมุตติ รู้เห็นสมมติวิมุตติ รู้เห็นอัตตาอนัตตา รู้เห็นหลักความ หลักของอริยสัจซึ่งอยู่ในกายในใจของเรา หมดความสงสัยหมดความลังเล มีตั้งแต่ความเพียรที่จะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางคือความสะอาดความบริสุทธิ์ ดับความเกิด เพียงแค่การเกิดนั้นก็เป็นทุกข์ เป็นทาสของอารมณ์ทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอาถ้าเขารู้ความเป็นจริง

แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีน้อยจังไม่พากันสร้างขึ้นมา จะเอาตั้งแต่ปัญญาของโลกๆ เข้าไปแก้ไขเข้าไปตัดสิน วันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่งมีกี่นาที นาทีหนึ่งมีกี่วินาที ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันของเรายังไม่ได้สร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่องกันเลย ความคิดเก่าปัญญาเก่าเขาครอบงำหมด เราต้องพยายามเจริญสติจนรู้เท่าทันรู้เห็นตามธรรมความเป็นจริงจนเป็นมหาสติมหาปัญญา เอาไปใช้กับชีวิตประจำวัน อะไรผิดอะไรถูก อะไรควรละอะไรควรเจริญ เราต้องพยายามแก้ไขตัวเรา ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเราไม่มีใครที่จะแก้ไขตัวเราให้ได้เลย ทั้งที่อานิสงส์บารมีในสิ่งต่างๆ พวกเราก็สร้างกันมาดี ถ้าไม่ได้สร้างมาดีเราไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก ในเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเราพยายามรีบสร้างขึ้นมา

ใจของเรามีความเสียสละหรือไม่ มีความจริงใจต่อตัวเราหรือไม่ มีความโอบอ้อมอารี มีความเสียสละ มีพรหมวิหารมีความเมตตา ไม่เห็นแก่ตัว เป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในตัวตลอดเวลา เอาความจริงเป็นที่ตั้ง ความสัจเอาสัจจะเป็นที่ตั้ง เอาความขยันหมั่นเพียรเข้ามาวิเคราะห์หาเหตุหาผลด้วยสติด้วยปัญญา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล ในทางสมมติในทางโลกเขาก็มีเหตุมีผล ในทางธรรมเขาก็มีเหตุมีผล แต่เราจะเจริญสติเข้าไปค้นหาเหตุหาผลนั้นเจอหรือไม่เท่านั้นเอง ถ้าเราเจอหลักของความเป็นจริงแล้ว โลกธรรมก็อยู่ด้วยกันสมมติก็อยู่ด้วยกัน โน่นแหละหมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้ทิ้งสมมติ

ขณะที่เรายังมีลมหายใจเราก็รู้จักดำเนินชีวิตของเราให้ถูกต้องถูกทาง รู้จักขยันหมั่นเพียร ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ อะไรควรละอะไรควรเจริญ อะไรประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล อะไรควรทำก่อนควรทำหลัง รู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของตัวเราตลอดเวลา กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ตัววิญญาณทำหน้าที่อย่างไร ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ขันธ์ห้าเป็นของหนัก ทำไมถึงเป็นของหนัก ทำอย่างไรถึงจะแยกจะคลายได้

วิธีดำเนินอย่างไร มีวิธีมีแนวทางอยู่แล้วแต่พวกเราดำเนินยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางกัน แต่ก็ยังดำเนินอยู่ยังฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลากันอยู่ อยู่ตลอดเวลาไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว รู้จักหมั่นสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ในกายในใจของเราตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราก็รีบดูเราแก้ไขเราปรับปรุงเรา จนมองโลกในทางที่ดีไม่มองโลกในแง่ร้าย ไม่อคติไม่เพ่งโทษ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสมารต่างๆ นี้มีมาก มีมากจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาจะเปิดเผยตัวของเขาง่ายๆ เหมือนกัน แม้แต่ตัววิญญาณเขาก็ยังปิดกั้นตัวของเขาเอง

อย่าพากันพลาดโอกาสนะพยายามทำ บุญระดับสมมติเราก็ทำ ทำเถอะเรามีบุญอยู่แล้วถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บุญของสมมติเราก็ได้ทำ สร้างประโยชน์ให้มีให้เกิดขึ้น โอกาสได้เกิดขึ้นตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่ว่าอยู่บ้านอยู่ไร่อยู่นาอยู่ที่ทำการทำงาน ทำบุญให้กับตัวเราทำบุญให้กับพ่อกับแม่กับพี่กับน้อง

เป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร มีความเสียสละ เป็นที่พึ่งตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น มองบนมองล่างมองกลางใจของเราอยู่ตลอดเวลา อันนี้ลักษณะของใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ลักษณะของใจที่สงบเป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ปราศจากการเกิดเป็นอย่างนี้ โลกธรรมเป็นอย่างนี้ ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทา เราพยายามคลายออกจากสิ่งต่างๆ อยู่เหนือเหนือบุญเหนือบาป ละอกุศลเจริญกุศลแต่ไม่ให้ยึด

การพูดง่ายแต่การปฏิบัติการฝึกนี้เราต้องพยายามมีความเพียรอย่างยิ่ง จากน้อยๆ ไปหามากๆ ส่วนมากจะไปเอาตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ ไอ้ตัวเล็กๆ เขาเกิดอยู่ตลอดเวลาเราไม่ค่อยจะสนใจทั้งที่ใจก็เป็นบุญอยู่ตลอดเวลา ใจก็มีความเมตตามีพรหมวิหาร ความขยันหมั่นเพียรเต็มเปี่ยม นิวรณ์ความเกียจคร้านก็พยายามกำจัดออกไป ไม่เห็นแก่ตัว สักวันหนึ่งเราคงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง

เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว อยากจะได้ตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักธรรมทั้งที่ใจก็เป็นบุญ นี่ก็ต้องพยายามนะลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนาที 2 นาที ลองดูสิ ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ

ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อนะ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง พวกท่านจงไปทำไปสร้างให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของพวกท่านเอง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง