หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 050
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 050
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เพียงแค่สร้างเราก็พยายามทำให้ต่อเนื่องให้เกิดความเคยชิน ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย มีความรู้ตัวทั่วพร้อม รู้กายรู้ลมหายใจรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการศึกษาที่ต่อเนื่อง มีตั้งแต่ไปศึกษาตั้งแต่ภายนอกกันเสียตั้งมากมาย มันก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่ไม่ใช่ว่าไม่ดี ทีนี้เราก็มาน้อมเข้าไปศึกษากายของเรา เรียนสมมติเรียนไม่จบหรอกยิ่งเรียนยิ่งกว้างๆ เราเรียนเอาปัญญาแล้วก็เอาปัญญานั้นมาศึกษาภายในของเราให้เข้าใจ ด้วยการสร้างความรู้ตัวจากน้อยๆ แล้วก็ให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะเข้าไปถึงใจของเรา
ใจของเราปกติเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เห็นการแยกการคลาย เขาเรียกว่าพลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ เหมือนกับเราพลิกฝ่ามือ หลังมือก็ลงไปข้างล่างฝ่ามือก็ขึ้นอยู่ข้างบน แต่เวลานี้ฝ่ามือสมมติว่าฝ่ามือของเราอยู่ข้างล่างคือดวงวิญญาณของเรานั่นแหละ โดนสมมติเข้าครอบงำอยู่มีกายเนื้อเข้าครอบงำอยู่ แล้วก็อาการของความคิดซึ่งเป็นนามธรรมอีก เข้าไปครอบงำอีก ใจของเราก็เกิดกิเลสอีกปรุงแต่งอีก ปิดบังอำพรางตัวเองอีกหลายชั้น เราต้องมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง
เพียงแค่สร้างกับทำความเข้าใจ ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ช่วงใหม่ๆ นี่จะอึดอัด อึดอัดมากทีเดียวเพราะว่าเขาก็ไม่ยอมเปิดเผยตัวมาง่ายๆ เหมือนกัน กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน เขาเรียกว่า ‘ขันธมาร’ จิตของเราก็เป็นทาสของอารมณ์อีกเป็นทาสของกิเลสอีก เข้าไปเสวย เข้าไปร่วม เข้าไปยินดีเข้าไปยินร้าย เข้าไปร่วมปรุงแต่ง เขาปิดบังอำพรางตัวเองมากมาย
ถ้ากำลังสติปัญญาของเราไม่แหลมคม การสำรอกคลายกิเลสออก พยายามคลายกิเลสออกให้เบาบาง ดับความเกิดให้ช้าลง จนกว่าจะสังเกตเห็นตัววิญญาณกับอาการของวิญญาณแยกออกจากกันได้ วิญญาณก็จะว่างโล่งโปร่ง กายก็จะเบา กายสมมติก็มีอยู่ เพียงแค่เริ่มต้นของการรู้ปัญญาที่แท้จริงคือ ‘สัมมาทิฏฐิ’
ถ้าเราดูเรารู้เห็น เราตามดูตามเห็น ตามทำความเข้าใจ ให้ใจรับรู้เห็นตามความเป็นจริง เขาก็จะเห็นความเกิดความดับของอาการของขันธ์ห้าเขาเรียกว่า ‘อนิจจังทุกขังอนัตตา’ มีสติคอยดูตามดูตั้งแต่ต้นเหตุถึงกลางเหตุปลายเหตุ ตัวใจนิ่งรับรู้อยู่ ไม่ใช่ว่าให้ใจเข้าไปรวมเข้าไปร่วม แต่เวลานี้ใจของเราเข้าไปร่วม เข้าไปหลงในความคิด หลงในขันธ์ห้าแล้วก็หลงทุกสิ่งทุกอย่าง
ถ้าใจของเราคลายออกจากอาการของใจได้ ใจของเราก็วางได้ วางขันธ์ห้าวางอัตตาตัวตนได้ ทีนี้เราก็มาละกิเลสที่ใจ มาดับความเกิดที่ใจ หนุนกำลังสติปัญญาทำความเข้าใจให้เต็มรอบ เพียงแค่ความรู้ตัวด้วยสติปัญญาของเรานี่มีอยู่ แต่มีนิดเดียวมีไม่ต่อเนื่องก็เลยไม่เห็นตามความเป็นจริงตรงนี้ พยายามอดทน พยายามสร้างขึ้นมาแล้วก็รู้จักเอาไปใช้เอาไปวิเคราะห์ รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็ดับอยู่ปัจจุบันเราก็วางอยู่ปัจจุบัน อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ดับยอมตาย ตายเป็นตายอยู่เหนือตาย
ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ความรู้ตัวต้องชัดเจน ส่วนสมองส่วนกลาง ส่วนสมองความรู้ตัว ความรู้ สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา สติของเราจะพลั้งเผลออย่างไร จะขาดอย่างไร เราก็พยายามเริ่มอยู่บ่อยๆ มีไม่มาก ถ้าเราสนใจจริงๆ มีไม่มาก แต่มันมากสำหรับบุคคลที่เกียจคร้าน มากสำหรับบุคคลที่ไม่ขยันหมั่นเพียร ถ้าเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร จะสนุกดูรู้ว่าขณะนี้ใจของเราเป็นอย่างไร มีเรื่องเดียวคือเรื่องของการชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราให้หมดจด นอกนั้นก็เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกอยู่ในระดับของสมมติ ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์เพื่ออนุเคราะห์
ขณะที่เรายังมีลมหายใจ ยังมีธาตุขันธ์ที่จะดำเนินชีวิตอยู่ เราก็ต้องพยายามแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน เรารู้วิธีแล้วเราพยายามไปทำ ใจของเรามีกิเลสเราก็พยายามละกิเลส ใจของเราเกิดความโลภเราพยายามละความโลภด้วยการเอาออกด้วยการให้ ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่านเราก็รู้จักดับ นิวรณธรรมเป็นเครื่องกางกั้นจิตเป็นลักษณะอย่างไรเราต้องศึกษา ขณะนี้ใจของเรามีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ ใจของเราเกิดราคะหรือไม่ หรือว่าใจของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามระงับยับยั้งด้วยการให้อภัย
มีความรู้ตัว สติส่วนที่เราสร้างขึ้นมาพลั้งเผลอได้อย่างไร เราก็พยายามทำความเข้าใจและกระตุ้นขึ้นมาสร้างขึ้นมาแล้วก็รู้จักเอาไปใช้ ถ้าเราเห็นแล้วจะสนุก ว่าใจของเราไปอย่างไรมาอย่างไร ทำไมใจของเราถึงเกิด ทำไมใจของเราถึงเป็นทาสของกิเลส เราละออกให้มันหมดจดจนถึงความบริสุทธิ์ เราละออกจนหมดมันก็จะถึงตัวของมัน ดับความเกิดที่มันก่อตัว เราดับความเกิดมันก็จะถึงตัวของมันคือตัวความว่าง ในความว่างนั้นมีวิญญาณอยู่ เหมือนกับอยู่ในศาลานี่แหละศาลาโล่งโปร่งแต่ก็ยังมีอากาศอยู่เรารับรู้อยู่
เราก็ต้องพยายามศึกษาค้นคว้า ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก กายทวารทำหน้าที่อย่างไร เราแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากวิญญาณของเรา หูตาจมูกลิ้นกายเขาก็เป็นทางผ่าน กระทบเป็นทางผ่านเข้าถึงตัววิญญาณให้วิญญาณหรือว่าใจรับรู้ มีสติคอยดูรู้ หลายสิ่งหลายอย่างที่เราจะต้องสะสาง
การพูดง่าย แต่การสะสางนี่ต้องทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออกจนไม่เหลือ จนเหลือตั้งแต่สมมติที่เราจะเข้าไปบริหาร ก็ต้องพยายามกันน่ะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกอิริยาบถ จะลุกจะก้าวจะเดิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จะเข้าห้องส้วมเข้าห้องน้ำ รับประทานข้าวปลาอาหาร เวลาขบเวลาฉัน กายหิวหรือว่าใจเกิดความอยาก กำลังสติปัญญาของเราทำหน้าที่ได้เร็วได้ไวถึงขนาดไหน ถ้าเรารู้เราเห็นแล้วเราจะไม่ปล่อยวันเวลาทิ้งเลย ทั้งกลางวันทั้งกลางคืนนอกจากเราจะนอนหลับ
กายวิเวกเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ใจวิเวกเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ลักษณะของใจที่ไม่มีกิเลส ขณะทำการทำงานเอาการงานเป็นตัวปฏิบัติ ทำงานไปด้วยใจรับรู้ไปด้วย ขณะทำงานใจได้พักผ่อนใจไม่เครียด ละนิวรณ์ละความเกียจคร้านเพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้กับตัวเราไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน หนักเอาเบาสู้ ทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดประโยชน์
ประโยชน์ภายในทรัพย์ภายในเราก็ต้องเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง ทรัพย์ภายนอกเราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมาเพื่อยังประโยชน์กับสมมติ ก็พวกเรานั่นแหละไม่ใครที่ไหนหรอกได้รับอานิสงส์ ได้รับประโยชน์ได้รับความสะดวกสบายในสิ่งที่พวกเราทำ การปฏิบัติกายทางด้านสมมติก็จะไปได้เร็วได้ไว ช่วยกันทุกอย่างอย่างอมืองอเท้า จงเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบที่สูง มีความเสียสละ ไม่จำเป็นต้องไปให้คนอื่นเขาบังคับ เราบังคับตัวเราเอง ก็ต้องพยายามนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการศึกษาที่ต่อเนื่อง มีตั้งแต่ไปศึกษาตั้งแต่ภายนอกกันเสียตั้งมากมาย มันก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่ไม่ใช่ว่าไม่ดี ทีนี้เราก็มาน้อมเข้าไปศึกษากายของเรา เรียนสมมติเรียนไม่จบหรอกยิ่งเรียนยิ่งกว้างๆ เราเรียนเอาปัญญาแล้วก็เอาปัญญานั้นมาศึกษาภายในของเราให้เข้าใจ ด้วยการสร้างความรู้ตัวจากน้อยๆ แล้วก็ให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะเข้าไปถึงใจของเรา
ใจของเราปกติเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เห็นการแยกการคลาย เขาเรียกว่าพลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ เหมือนกับเราพลิกฝ่ามือ หลังมือก็ลงไปข้างล่างฝ่ามือก็ขึ้นอยู่ข้างบน แต่เวลานี้ฝ่ามือสมมติว่าฝ่ามือของเราอยู่ข้างล่างคือดวงวิญญาณของเรานั่นแหละ โดนสมมติเข้าครอบงำอยู่มีกายเนื้อเข้าครอบงำอยู่ แล้วก็อาการของความคิดซึ่งเป็นนามธรรมอีก เข้าไปครอบงำอีก ใจของเราก็เกิดกิเลสอีกปรุงแต่งอีก ปิดบังอำพรางตัวเองอีกหลายชั้น เราต้องมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง
เพียงแค่สร้างกับทำความเข้าใจ ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ช่วงใหม่ๆ นี่จะอึดอัด อึดอัดมากทีเดียวเพราะว่าเขาก็ไม่ยอมเปิดเผยตัวมาง่ายๆ เหมือนกัน กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน เขาเรียกว่า ‘ขันธมาร’ จิตของเราก็เป็นทาสของอารมณ์อีกเป็นทาสของกิเลสอีก เข้าไปเสวย เข้าไปร่วม เข้าไปยินดีเข้าไปยินร้าย เข้าไปร่วมปรุงแต่ง เขาปิดบังอำพรางตัวเองมากมาย
ถ้ากำลังสติปัญญาของเราไม่แหลมคม การสำรอกคลายกิเลสออก พยายามคลายกิเลสออกให้เบาบาง ดับความเกิดให้ช้าลง จนกว่าจะสังเกตเห็นตัววิญญาณกับอาการของวิญญาณแยกออกจากกันได้ วิญญาณก็จะว่างโล่งโปร่ง กายก็จะเบา กายสมมติก็มีอยู่ เพียงแค่เริ่มต้นของการรู้ปัญญาที่แท้จริงคือ ‘สัมมาทิฏฐิ’
ถ้าเราดูเรารู้เห็น เราตามดูตามเห็น ตามทำความเข้าใจ ให้ใจรับรู้เห็นตามความเป็นจริง เขาก็จะเห็นความเกิดความดับของอาการของขันธ์ห้าเขาเรียกว่า ‘อนิจจังทุกขังอนัตตา’ มีสติคอยดูตามดูตั้งแต่ต้นเหตุถึงกลางเหตุปลายเหตุ ตัวใจนิ่งรับรู้อยู่ ไม่ใช่ว่าให้ใจเข้าไปรวมเข้าไปร่วม แต่เวลานี้ใจของเราเข้าไปร่วม เข้าไปหลงในความคิด หลงในขันธ์ห้าแล้วก็หลงทุกสิ่งทุกอย่าง
ถ้าใจของเราคลายออกจากอาการของใจได้ ใจของเราก็วางได้ วางขันธ์ห้าวางอัตตาตัวตนได้ ทีนี้เราก็มาละกิเลสที่ใจ มาดับความเกิดที่ใจ หนุนกำลังสติปัญญาทำความเข้าใจให้เต็มรอบ เพียงแค่ความรู้ตัวด้วยสติปัญญาของเรานี่มีอยู่ แต่มีนิดเดียวมีไม่ต่อเนื่องก็เลยไม่เห็นตามความเป็นจริงตรงนี้ พยายามอดทน พยายามสร้างขึ้นมาแล้วก็รู้จักเอาไปใช้เอาไปวิเคราะห์ รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็ดับอยู่ปัจจุบันเราก็วางอยู่ปัจจุบัน อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ดับยอมตาย ตายเป็นตายอยู่เหนือตาย
ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ความรู้ตัวต้องชัดเจน ส่วนสมองส่วนกลาง ส่วนสมองความรู้ตัว ความรู้ สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา สติของเราจะพลั้งเผลออย่างไร จะขาดอย่างไร เราก็พยายามเริ่มอยู่บ่อยๆ มีไม่มาก ถ้าเราสนใจจริงๆ มีไม่มาก แต่มันมากสำหรับบุคคลที่เกียจคร้าน มากสำหรับบุคคลที่ไม่ขยันหมั่นเพียร ถ้าเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร จะสนุกดูรู้ว่าขณะนี้ใจของเราเป็นอย่างไร มีเรื่องเดียวคือเรื่องของการชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราให้หมดจด นอกนั้นก็เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกอยู่ในระดับของสมมติ ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์เพื่ออนุเคราะห์
ขณะที่เรายังมีลมหายใจ ยังมีธาตุขันธ์ที่จะดำเนินชีวิตอยู่ เราก็ต้องพยายามแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน เรารู้วิธีแล้วเราพยายามไปทำ ใจของเรามีกิเลสเราก็พยายามละกิเลส ใจของเราเกิดความโลภเราพยายามละความโลภด้วยการเอาออกด้วยการให้ ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่านเราก็รู้จักดับ นิวรณธรรมเป็นเครื่องกางกั้นจิตเป็นลักษณะอย่างไรเราต้องศึกษา ขณะนี้ใจของเรามีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ ใจของเราเกิดราคะหรือไม่ หรือว่าใจของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามระงับยับยั้งด้วยการให้อภัย
มีความรู้ตัว สติส่วนที่เราสร้างขึ้นมาพลั้งเผลอได้อย่างไร เราก็พยายามทำความเข้าใจและกระตุ้นขึ้นมาสร้างขึ้นมาแล้วก็รู้จักเอาไปใช้ ถ้าเราเห็นแล้วจะสนุก ว่าใจของเราไปอย่างไรมาอย่างไร ทำไมใจของเราถึงเกิด ทำไมใจของเราถึงเป็นทาสของกิเลส เราละออกให้มันหมดจดจนถึงความบริสุทธิ์ เราละออกจนหมดมันก็จะถึงตัวของมัน ดับความเกิดที่มันก่อตัว เราดับความเกิดมันก็จะถึงตัวของมันคือตัวความว่าง ในความว่างนั้นมีวิญญาณอยู่ เหมือนกับอยู่ในศาลานี่แหละศาลาโล่งโปร่งแต่ก็ยังมีอากาศอยู่เรารับรู้อยู่
เราก็ต้องพยายามศึกษาค้นคว้า ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก กายทวารทำหน้าที่อย่างไร เราแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากวิญญาณของเรา หูตาจมูกลิ้นกายเขาก็เป็นทางผ่าน กระทบเป็นทางผ่านเข้าถึงตัววิญญาณให้วิญญาณหรือว่าใจรับรู้ มีสติคอยดูรู้ หลายสิ่งหลายอย่างที่เราจะต้องสะสาง
การพูดง่าย แต่การสะสางนี่ต้องทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออกจนไม่เหลือ จนเหลือตั้งแต่สมมติที่เราจะเข้าไปบริหาร ก็ต้องพยายามกันน่ะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกอิริยาบถ จะลุกจะก้าวจะเดิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จะเข้าห้องส้วมเข้าห้องน้ำ รับประทานข้าวปลาอาหาร เวลาขบเวลาฉัน กายหิวหรือว่าใจเกิดความอยาก กำลังสติปัญญาของเราทำหน้าที่ได้เร็วได้ไวถึงขนาดไหน ถ้าเรารู้เราเห็นแล้วเราจะไม่ปล่อยวันเวลาทิ้งเลย ทั้งกลางวันทั้งกลางคืนนอกจากเราจะนอนหลับ
กายวิเวกเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ใจวิเวกเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ลักษณะของใจที่ไม่มีกิเลส ขณะทำการทำงานเอาการงานเป็นตัวปฏิบัติ ทำงานไปด้วยใจรับรู้ไปด้วย ขณะทำงานใจได้พักผ่อนใจไม่เครียด ละนิวรณ์ละความเกียจคร้านเพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้กับตัวเราไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน หนักเอาเบาสู้ ทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดประโยชน์
ประโยชน์ภายในทรัพย์ภายในเราก็ต้องเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง ทรัพย์ภายนอกเราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมาเพื่อยังประโยชน์กับสมมติ ก็พวกเรานั่นแหละไม่ใครที่ไหนหรอกได้รับอานิสงส์ ได้รับประโยชน์ได้รับความสะดวกสบายในสิ่งที่พวกเราทำ การปฏิบัติกายทางด้านสมมติก็จะไปได้เร็วได้ไว ช่วยกันทุกอย่างอย่างอมืองอเท้า จงเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบที่สูง มีความเสียสละ ไม่จำเป็นต้องไปให้คนอื่นเขาบังคับ เราบังคับตัวเราเอง ก็ต้องพยายามนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา