หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 043
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 043
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน ทำใจของเราให้สงบ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
การเจริญสติ การสร้างความรู้ตัว เราต้องพยายามสร้างตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ใจ ไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา เอาไปแก้ไขใจของเรา ใจของเราเกิดอย่างไร ใจของเราปรุงแต่งอย่างไร ความคิดเขาเกิดอย่างไร สติความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องสร้างขึ้นมา ใจไม่สงบเราก็ต้องพยายามควบคุมให้สงบ ใจเกิดกิเลสเราก็พยายามละกิเลส ถ้าเราไม่ฝึกฝนตัวเราไม่มีใครที่จะฝึกฝนตัวเราให้ได้เลย ใจของคนเร็วไว บางคนก็ช้าบางคนก็นิ่งบางคนก็เร็วไว ก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์ของแต่ละบุคคลที่สร้างมาไม่เหมือนกัน บางคนบางท่านก็สร้างมาดี บางคนบางท่านก็ลำบากอยู่
แต่ก็ใจทุกดวงนั้นมีความบริสุทธิ์อยู่เดิม เพราะความไม่เข้าใจความหลงเขาถึงเกิด แต่ก็ได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐ เพราะว่าจะได้อาศัยกายของมนุษย์มาศึกษามาค้นคว้า มาเจริญสติเข้าไปอบรมใจอบรมปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริงๆ ในแนวทางของการเดิน ในแนวทางของการดำเนินของชีวิต ระดับของสมมติระดับของวิมุตติ
แนวทางนั้นมีอยู่ พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบคือหลักของอริยสัจความจริง สัจจะความจริงอันประเสริฐ ซึ่งอยู่ในกายของเรานี้ เขาเกิดๆ ดับๆ วิญญาณก็เกิดๆ ดับๆ เพราะความไม่รู้ความหลงเขาถึงเกิดๆ ดับๆ อยู่ในภพน้อยอยู่ในภพใหญ่ แล้วก็มีขันธ์ห้าเข้ามาปรุงแต่ง เขาก็หลงขันธ์ห้าอยู่ หลงทั้งกายก้อนเนื้อทั้งส่วนเป็นรูปธรรมทั้งส่วนนามธรรม เขายังหลงเขายังรวมกันอยู่
นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์ เมื่อวิญญาณแยกคลายจากรูปจากนามได้ ถึงจะเข้าใจในคำสอนของท่าน เข้าใจในเรื่องอัตตาเข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจรอบรู้ในกองสังขาร ว่าทำไมใจของเราถึงเกิด ทำไมใจของเราถึงหลงในความอยาก ความทะเยอทะยานอยากความไม่อยาก อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา
ตัวใจ หรือว่าตัววิญญาณนี้ก็กลับกลอกปิดบังอำพรางตัวเอง กว่าเขาจะเปิดเผยออกมาให้รู้เห็นตามความเป็นจริง เราต้องเจริญสติให้แหลมคม ตามดูตามรู้ตามค้นคว้าหาเหตุหาผล จนใจยอมจำนนความเป็นจริงได้ เขาถึงจะปล่อยเขาถึงจะวางได้ อยากจะปล่อยอยากจะวางถ้าไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวางเขาก็วางไม่ได้อีก เราก็ต้องพยายามสร้างอานิสงส์สร้างบารมี
ใจเกิดความโลภเราก็พยายามละความโลภ ใจเกิดความโกรธเราพยายามละความโกรธ ใจมีความเกียจคร้านใจมีความทะเยอทะยานอยากเราก็ต้องพยายามละพยายามขัดเกลา หมั่นขัดเกลาหมั่นคลายออก การเอาออกการคลายออก การดับการละนั่นแหละก็คือการจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ความสะอาด
แม้ตั้งแต่การเกิด ตั้งแต่เช้าขึ้นมาใจของเราเกิดส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่องสักกี่เที่ยว สติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องศึกษาค้นคว้าอย่าไปเกียจคร้าน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีต้องขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ ในเมื่อพวกเราได้มาอยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่าน ก็เคยสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีมาร่วมกันถึงได้มาอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าอยู่ใกล้อยู่ไกล ประโยชน์อยู่ในระดับของสมมติ เราก็พยายามขยันหมั่นเพียรยังสมมติให้เกิดประโยชน์
ใหม่ๆ ช่วงฝึกฝนตนเองใหม่ๆ มันก็จะอาจจะอึดอัด เพราะความเคยชินความคิดเก่า ปัญญาเก่า ของเก่า อาจจะอยู่ในกระแสบุญอยู่ในระดับของสมมติ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่หลักธรรมแล้วเราต้องคลาย คลายความหลงซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ทำความเข้าใจ เห็นการเกิดการดับตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มลทินต่างๆ นิวรณ์ต่างๆ ซึ่งมีอยู่ในกายของเรา จงแสวงหาทรัพย์อันประเสริฐอยู่ในกายของเรานี่แหละ หาให้เจอแล้วก็ทำให้มีให้เกิด แล้วก็รู้จักรักษาแล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เราก็จะอยู่กับบุญ
อีกสักหน่อยสภาพร่างกายธาตุขันธ์ของเราก็ถึงเวลาแตกดับ เพราะว่าเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ท่านถึงว่าอนิจจังทุกขังอนัตตา ความไม่เที่ยงของร่างกายของสังขาร ลึกลงไปความไม่เที่ยงของการเกิดการดับของวิญญาณอีก ถ้าเราดับความเกิดได้ คลายความหลงได้ จิตนิ่ง เขาเรียกว่า ‘จิตเที่ยง’ จิตเที่ยงนิพพานก็เที่ยง จิตไม่เที่ยงนิพพานก็ไม่เที่ยง
แต่เวลานี้ ถ้าเราไม่ได้เจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ให้ต่อเนื่องเราก็ว่าเราไม่หลง เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องพวกเราก็ไม่มีความเพียรกันตรงนี้ ทั้งที่ใจก็ปรารถนาอยากจะรู้ธรรม อยากจะรู้บุญอยากจะได้บุญตรงนี้มีกันเต็มเปี่ยม เราต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาเป็นอย่างไร การควบคุมใจเป็นอย่างไร ใจของเราสงบ ปกติ สะอาด ใจของเราสงบด้วยการบังคับด้วยใช้สมถะ ใจของเราสงบด้วยการตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยการปล่อยการวาง ก็ต้องพยายามนะ ได้ทำได้วันละเล็กละน้อยก็ดี ดีกว่าไม่ทำ
การทำบุญ การให้ทาน การเจริญสติ การเจริญสมาธิ การทำความเข้าใจกับศีล ศีลสมาธิปัญญาเป็นลักษณะอย่างไร เราอย่ารู้ตั้งแต่ชื่อของเขาเราต้องพยายามให้เข้าถึงความหมายนั้นๆ แล้วก็ละกิเลสให้ได้ ไม่เหลือวิสัยหรอกถ้าเราขยันหมั่นเพียรมีความจริงใจจริงๆ แต่คนทั่วไปนี่ก็จะมีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยากทั้งอยากด้วยหวังด้วย ปิดกั้นตัววิญญาณเอาไว้หมด เพียงแค่การเกิดเขาก็ปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้เสียแล้ว ทั้งเกิดด้วยหลงด้วย เราก็ต้องพยายามกัน
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนพวกเราก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง จะไปเที่ยวปฏิบัติที่โน่นปฏิบัติที่นี่แต่ไม่เข้าใจ ถ้าเราเข้าใจแล้วก็อยู่ที่กายของเรานี่แหละ ทำกายให้เป็นวัดทำใจให้เป็นพระ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นแหละ ถ้าพวกท่านไม่ไปทำไปสร้างขึ้นมาก็ยาก อยู่เราก็อาศัยอานิสงส์ทั้งสมมติเราก็คอยช่วยเหลือกันได้ แต่ทางด้านกิเลสก็ต้องพยายามทำ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ ทำใจให้ว่างสมองให้โล่งกายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจเข้าหายใจออกให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ
การเจริญสติ การสร้างความรู้ตัว เราต้องพยายามสร้างตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ใจ ไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา เอาไปแก้ไขใจของเรา ใจของเราเกิดอย่างไร ใจของเราปรุงแต่งอย่างไร ความคิดเขาเกิดอย่างไร สติความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องสร้างขึ้นมา ใจไม่สงบเราก็ต้องพยายามควบคุมให้สงบ ใจเกิดกิเลสเราก็พยายามละกิเลส ถ้าเราไม่ฝึกฝนตัวเราไม่มีใครที่จะฝึกฝนตัวเราให้ได้เลย ใจของคนเร็วไว บางคนก็ช้าบางคนก็นิ่งบางคนก็เร็วไว ก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์ของแต่ละบุคคลที่สร้างมาไม่เหมือนกัน บางคนบางท่านก็สร้างมาดี บางคนบางท่านก็ลำบากอยู่
แต่ก็ใจทุกดวงนั้นมีความบริสุทธิ์อยู่เดิม เพราะความไม่เข้าใจความหลงเขาถึงเกิด แต่ก็ได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐ เพราะว่าจะได้อาศัยกายของมนุษย์มาศึกษามาค้นคว้า มาเจริญสติเข้าไปอบรมใจอบรมปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริงๆ ในแนวทางของการเดิน ในแนวทางของการดำเนินของชีวิต ระดับของสมมติระดับของวิมุตติ
แนวทางนั้นมีอยู่ พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบคือหลักของอริยสัจความจริง สัจจะความจริงอันประเสริฐ ซึ่งอยู่ในกายของเรานี้ เขาเกิดๆ ดับๆ วิญญาณก็เกิดๆ ดับๆ เพราะความไม่รู้ความหลงเขาถึงเกิดๆ ดับๆ อยู่ในภพน้อยอยู่ในภพใหญ่ แล้วก็มีขันธ์ห้าเข้ามาปรุงแต่ง เขาก็หลงขันธ์ห้าอยู่ หลงทั้งกายก้อนเนื้อทั้งส่วนเป็นรูปธรรมทั้งส่วนนามธรรม เขายังหลงเขายังรวมกันอยู่
นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์ เมื่อวิญญาณแยกคลายจากรูปจากนามได้ ถึงจะเข้าใจในคำสอนของท่าน เข้าใจในเรื่องอัตตาเข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจรอบรู้ในกองสังขาร ว่าทำไมใจของเราถึงเกิด ทำไมใจของเราถึงหลงในความอยาก ความทะเยอทะยานอยากความไม่อยาก อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา
ตัวใจ หรือว่าตัววิญญาณนี้ก็กลับกลอกปิดบังอำพรางตัวเอง กว่าเขาจะเปิดเผยออกมาให้รู้เห็นตามความเป็นจริง เราต้องเจริญสติให้แหลมคม ตามดูตามรู้ตามค้นคว้าหาเหตุหาผล จนใจยอมจำนนความเป็นจริงได้ เขาถึงจะปล่อยเขาถึงจะวางได้ อยากจะปล่อยอยากจะวางถ้าไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวางเขาก็วางไม่ได้อีก เราก็ต้องพยายามสร้างอานิสงส์สร้างบารมี
ใจเกิดความโลภเราก็พยายามละความโลภ ใจเกิดความโกรธเราพยายามละความโกรธ ใจมีความเกียจคร้านใจมีความทะเยอทะยานอยากเราก็ต้องพยายามละพยายามขัดเกลา หมั่นขัดเกลาหมั่นคลายออก การเอาออกการคลายออก การดับการละนั่นแหละก็คือการจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ความสะอาด
แม้ตั้งแต่การเกิด ตั้งแต่เช้าขึ้นมาใจของเราเกิดส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่องสักกี่เที่ยว สติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องศึกษาค้นคว้าอย่าไปเกียจคร้าน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีต้องขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ ในเมื่อพวกเราได้มาอยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่าน ก็เคยสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีมาร่วมกันถึงได้มาอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าอยู่ใกล้อยู่ไกล ประโยชน์อยู่ในระดับของสมมติ เราก็พยายามขยันหมั่นเพียรยังสมมติให้เกิดประโยชน์
ใหม่ๆ ช่วงฝึกฝนตนเองใหม่ๆ มันก็จะอาจจะอึดอัด เพราะความเคยชินความคิดเก่า ปัญญาเก่า ของเก่า อาจจะอยู่ในกระแสบุญอยู่ในระดับของสมมติ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่หลักธรรมแล้วเราต้องคลาย คลายความหลงซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ทำความเข้าใจ เห็นการเกิดการดับตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มลทินต่างๆ นิวรณ์ต่างๆ ซึ่งมีอยู่ในกายของเรา จงแสวงหาทรัพย์อันประเสริฐอยู่ในกายของเรานี่แหละ หาให้เจอแล้วก็ทำให้มีให้เกิด แล้วก็รู้จักรักษาแล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เราก็จะอยู่กับบุญ
อีกสักหน่อยสภาพร่างกายธาตุขันธ์ของเราก็ถึงเวลาแตกดับ เพราะว่าเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ท่านถึงว่าอนิจจังทุกขังอนัตตา ความไม่เที่ยงของร่างกายของสังขาร ลึกลงไปความไม่เที่ยงของการเกิดการดับของวิญญาณอีก ถ้าเราดับความเกิดได้ คลายความหลงได้ จิตนิ่ง เขาเรียกว่า ‘จิตเที่ยง’ จิตเที่ยงนิพพานก็เที่ยง จิตไม่เที่ยงนิพพานก็ไม่เที่ยง
แต่เวลานี้ ถ้าเราไม่ได้เจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ให้ต่อเนื่องเราก็ว่าเราไม่หลง เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องพวกเราก็ไม่มีความเพียรกันตรงนี้ ทั้งที่ใจก็ปรารถนาอยากจะรู้ธรรม อยากจะรู้บุญอยากจะได้บุญตรงนี้มีกันเต็มเปี่ยม เราต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาเป็นอย่างไร การควบคุมใจเป็นอย่างไร ใจของเราสงบ ปกติ สะอาด ใจของเราสงบด้วยการบังคับด้วยใช้สมถะ ใจของเราสงบด้วยการตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยการปล่อยการวาง ก็ต้องพยายามนะ ได้ทำได้วันละเล็กละน้อยก็ดี ดีกว่าไม่ทำ
การทำบุญ การให้ทาน การเจริญสติ การเจริญสมาธิ การทำความเข้าใจกับศีล ศีลสมาธิปัญญาเป็นลักษณะอย่างไร เราอย่ารู้ตั้งแต่ชื่อของเขาเราต้องพยายามให้เข้าถึงความหมายนั้นๆ แล้วก็ละกิเลสให้ได้ ไม่เหลือวิสัยหรอกถ้าเราขยันหมั่นเพียรมีความจริงใจจริงๆ แต่คนทั่วไปนี่ก็จะมีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยากทั้งอยากด้วยหวังด้วย ปิดกั้นตัววิญญาณเอาไว้หมด เพียงแค่การเกิดเขาก็ปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้เสียแล้ว ทั้งเกิดด้วยหลงด้วย เราก็ต้องพยายามกัน
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนพวกเราก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง จะไปเที่ยวปฏิบัติที่โน่นปฏิบัติที่นี่แต่ไม่เข้าใจ ถ้าเราเข้าใจแล้วก็อยู่ที่กายของเรานี่แหละ ทำกายให้เป็นวัดทำใจให้เป็นพระ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นแหละ ถ้าพวกท่านไม่ไปทำไปสร้างขึ้นมาก็ยาก อยู่เราก็อาศัยอานิสงส์ทั้งสมมติเราก็คอยช่วยเหลือกันได้ แต่ทางด้านกิเลสก็ต้องพยายามทำ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ ทำใจให้ว่างสมองให้โล่งกายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจเข้าหายใจออกให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ