หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 011
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 011
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวและรู้จักหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ พยายามน้อมเข้าไปสังเกตวิเคราะห์ทำความเข้าใจ แล้วก็สำรวจกายสำรวจใจสำรวจความเป็นอยู่ของเรา ลักษณะของใจของเราเป็นอย่างไร ความปกติเป็นลักษณะอย่างไร ความว่างเป็นลักษณะอย่างไร ความว่างนี่ก็คงจะเอาไว้หากันทีหลัง เพียงแค่สร้างความรู้ตัวให้ได้เสียก่อน ส่วนมากก็ความปกติความสงบนั้นมีอยู่
ถ้าเรื่องของความว่างนั้นคือ ใจต้องคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ ทำความเข้าใจแล้วก็ดับความเกิดละกิเลสเขาถึงจะว่าง ถ้าเขาแยกไม่ได้คลายไม่ได้ ตามทำความเข้าใจไม่ได้ทุกเรื่อง เขาก็จะอยู่ ถ้าเขาไม่เกิดเขาก็จะอยู่ในความสงบความปกติอยู่ระดับของสมมติ เพราะว่ายังไม่ได้พลิกยังไม่ได้หงาย ยังเดินปัญญาทำความเข้าใจไม่ได้
ทั้งที่ศรัทธาที่เกิดจากตัวใจนั้นก็มีกันเต็มเปี่ยม ฝักใฝ่ในการทำบุญ ฝักใฝ่ในการให้ทาน ฝักใฝ่ในการสร้างคุณงามความดี แต่การเจริญสติหรือว่าสร้างสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ถ้าความรู้ตัวพลั้งเผลอเราก็พยายามสร้างขึ้นมาไม่ให้เผลอ ถ้าเผลอเราก็เริ่มใหม่ เผลอแล้วก็เริ่มใหม่ เพียงแค่เริ่มต้น ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ให้ความรู้ตัวให้ต่อเนื่องจาก 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง จากนาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาที 10 นาที เป็นชั่วโมง ซึ่งรู้อัตโนมัติ เพียงแค่ช่วงสร้างสตินี่ก็ยังสร้างกันไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันเท่าไร เราจะไปทำความเข้าใจในปัญญาขั้นสูงไม่ได้เลยถ้ากำลังสติของเราไม่ต่อเนื่อง
ถ้ากำลังสติของเราต่อเนื่อง ถ้าขาดการสังเกตว่าลักษณะของใจที่ปกติเป็นอย่างไร ลักษณะของอาการของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจเป็นลักษณะอย่างไร ขณะเขาเกิดใจของเราเคลื่อนเข้าไปร่วมได้อย่างไร นี่แหละถ้าเราไม่สังเกตให้ต่อเนื่องก็ยากที่จะเห็นอาการเหล่านี้ ถ้าเราสังเกตเห็นได้ต่อเนื่องขณะเขาก่อตัว ใจก็จะเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเราเห็นปุ๊บเขาจะคลายออก
‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเหตุจริงถึงจะเปิดทาง ใจถึงจะพลิก ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าหงายของที่คว่ำ เปรียบเสมือนกับหงายของที่คว่ำ ช่วงที่เขาแยกออกจากความคิดออกจากอาการ เขาเรียกว่าหงายของที่คว่ำ ถ้าเราเห็นเขาจะหงายของเขาเองไม่ต้องไปจับเขาหงาย ยากแยกยาก เขาก็จะแยกออกจากกันเอง ใจก็จะว่างกายก็จะเบาแต่กายสมมติก็มีอยู่
เราก็ตามความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา ตามดูการเกิดการดับของความคิด เขาเกิดๆ ดับๆ เรื่องอะไรที่เขาเกิด เรื่องอดีตก็เป็นอาการของสัญญา เป็นอาการหนึ่งอยู่ในกายของเราในขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนนาม ส่วนรูปก็ร่างกายของเรานี่เป็นก้อน ส่วนวิญญาณนี่ก็เป็นก้อน มีความคิดทุกชนิดเขาเรียกว่ากองสังขาร ให้เห็นเป็นส่วนให้เห็นเป็นกอง ให้รู้ให้เห็นอาการของเขาเป็นอย่างนั้น ตามทำความเข้าใจ แล้วก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจังความไม่เที่ยง ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความดับไป
ทีนี้ตัววิญญาณ ตัววิญญาณของเรานี้เกิดความอยากอีกเกิดความทะเยอทะยานอยากอีก แล้วก็มาละความอยากออกจากตัววิญญาณของเรา ดับความเกิดละกิเลส ค่อยละออกทีละเล็กทีละน้อย แต่ส่วนมากก็ขาดการสนใจขาดการทำความเข้าใจ ก็เลยไปมองอยู่เฉพาะในภาพรวม สร้างประโยชน์สร้างคุณงามความดีอยู่ในระดับของสมมติ แม้แต่บางทีบางครั้งระดับของสมมติก็ยังขาดตกบกพร่อง
เราก็ต้องพยายามอย่าไปโทษคนอื่น จงโทษตัวเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียเปรียบคนโน้น ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนนั้นคนนี้ ให้เราชนะตัวเรา อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็รีบทำ ประโยชน์เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย
แต่ละวันตื่นขึ้นมาความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ เสียสละอยู่ในระดับไหน เสียสละต่อส่วนตัวต่อส่วนรวม ความรับผิดชอบของเรามีความสูงส่งหรือไม่ มีความเต็มเปี่ยมหรือไม่ เราก็ต้องหัดวิเคราะห์หัดพิจารณาทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การหายใจเข้าออกความรู้หรือตัวเป็นลักษณะอย่างไร จะรับประทานข้าวปลาอาหาร กายของเราหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก เราก็ต้องดู
ถ้าเราไม่ดูเราไม่แก้ไขเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้หรอกนอกจากตัวของเราเอง แก้ไขตัวของเราเอง ไปอยู่ที่โน่นไปอยู่ที่นี่ ถ้าไม่รู้จักการเจริญสติ ถ้าไม่รู้จักฐานของใจ มันก็ยากที่จะสอนใจของตัวเราได้ ไม่รู้จักควบคุมใจ ใหม่ๆ ก็ควบคุมเหมือนกับนักโทษนั่นแหละ โดนผู้คุมเขาควบคุมนำ ถ้าประพฤติปฏิบัติตัวดีเขาคลายออกให้เป็นนักโทษที่ดี ถ้าประพฤติปฏิบัติดีขึ้น เขาก็ค่อยคลายๆๆ จนเป็นปกติอยู่กับสังคมได้
ตัวใจก็เหมือนกัน เราก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราให้อยู่ในกองกุศล หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์หาเหตุหาผลไม่ให้เขาเข้าไปหลงเข้าไปยึด เขาไม่อยากจะหลงหรอกแต่ความหลงนั้นปิดกั้นมาตั้งแต่ยังไม่เกิด เขาถึงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ อยู่ในสังสารวัฏอยู่
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนก็ฝักใฝ่กันดี ถ้าจะเอากันจริงๆ แล้ว พอรู้จักวิธีรู้จักแนวทาง รู้จักการเจริญภาวนานั้น ให้รีบทำความเพียรอยู่คนเดียว แล้วก็วิเคราะห์กายวิเคราะห์ใจของเรา อยู่หลายคนเราก็วิเคราะห์กายวิเคราะห์ใจของเรา กายของเรานั้นเป็นก้อนทุกข์ จิตก็ยังมาสร้างความทุกข์ผสมโรงกันเข้าไปอีก เราต้องจำแนกแจกแจงให้ชัดเจน
บุคคลที่มีบุญมีอานิสงส์อยู่คนเดียวก็เดินถึงจุดหมายปลายทางได้ การเจริญสติ การดับการละ การหาเหตุหาผล อยู่คนเดียวก็ช่วยเหลือตัวเองพึ่งตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นเสียก่อน ไม่ใช่เอาไปแบกภาระ กายของตัวเราไปหนักอยู่ที่โน่นบ้างหนักอยู่ที่นี่บ้าง ต้องช่วยเหลือตัวเราให้ได้ทุกเรื่องทุกอย่างเท่าที่เราจะทำได้ ก็ต้องพยายามกันนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ยังสมมติให้ดีแล้วก็จะส่งผลทางวิมุตติ อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา
ถ้าเรื่องของความว่างนั้นคือ ใจต้องคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ ทำความเข้าใจแล้วก็ดับความเกิดละกิเลสเขาถึงจะว่าง ถ้าเขาแยกไม่ได้คลายไม่ได้ ตามทำความเข้าใจไม่ได้ทุกเรื่อง เขาก็จะอยู่ ถ้าเขาไม่เกิดเขาก็จะอยู่ในความสงบความปกติอยู่ระดับของสมมติ เพราะว่ายังไม่ได้พลิกยังไม่ได้หงาย ยังเดินปัญญาทำความเข้าใจไม่ได้
ทั้งที่ศรัทธาที่เกิดจากตัวใจนั้นก็มีกันเต็มเปี่ยม ฝักใฝ่ในการทำบุญ ฝักใฝ่ในการให้ทาน ฝักใฝ่ในการสร้างคุณงามความดี แต่การเจริญสติหรือว่าสร้างสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ถ้าความรู้ตัวพลั้งเผลอเราก็พยายามสร้างขึ้นมาไม่ให้เผลอ ถ้าเผลอเราก็เริ่มใหม่ เผลอแล้วก็เริ่มใหม่ เพียงแค่เริ่มต้น ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ให้ความรู้ตัวให้ต่อเนื่องจาก 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง จากนาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาที 10 นาที เป็นชั่วโมง ซึ่งรู้อัตโนมัติ เพียงแค่ช่วงสร้างสตินี่ก็ยังสร้างกันไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันเท่าไร เราจะไปทำความเข้าใจในปัญญาขั้นสูงไม่ได้เลยถ้ากำลังสติของเราไม่ต่อเนื่อง
ถ้ากำลังสติของเราต่อเนื่อง ถ้าขาดการสังเกตว่าลักษณะของใจที่ปกติเป็นอย่างไร ลักษณะของอาการของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจเป็นลักษณะอย่างไร ขณะเขาเกิดใจของเราเคลื่อนเข้าไปร่วมได้อย่างไร นี่แหละถ้าเราไม่สังเกตให้ต่อเนื่องก็ยากที่จะเห็นอาการเหล่านี้ ถ้าเราสังเกตเห็นได้ต่อเนื่องขณะเขาก่อตัว ใจก็จะเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเราเห็นปุ๊บเขาจะคลายออก
‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเหตุจริงถึงจะเปิดทาง ใจถึงจะพลิก ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าหงายของที่คว่ำ เปรียบเสมือนกับหงายของที่คว่ำ ช่วงที่เขาแยกออกจากความคิดออกจากอาการ เขาเรียกว่าหงายของที่คว่ำ ถ้าเราเห็นเขาจะหงายของเขาเองไม่ต้องไปจับเขาหงาย ยากแยกยาก เขาก็จะแยกออกจากกันเอง ใจก็จะว่างกายก็จะเบาแต่กายสมมติก็มีอยู่
เราก็ตามความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา ตามดูการเกิดการดับของความคิด เขาเกิดๆ ดับๆ เรื่องอะไรที่เขาเกิด เรื่องอดีตก็เป็นอาการของสัญญา เป็นอาการหนึ่งอยู่ในกายของเราในขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนนาม ส่วนรูปก็ร่างกายของเรานี่เป็นก้อน ส่วนวิญญาณนี่ก็เป็นก้อน มีความคิดทุกชนิดเขาเรียกว่ากองสังขาร ให้เห็นเป็นส่วนให้เห็นเป็นกอง ให้รู้ให้เห็นอาการของเขาเป็นอย่างนั้น ตามทำความเข้าใจ แล้วก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจังความไม่เที่ยง ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความดับไป
ทีนี้ตัววิญญาณ ตัววิญญาณของเรานี้เกิดความอยากอีกเกิดความทะเยอทะยานอยากอีก แล้วก็มาละความอยากออกจากตัววิญญาณของเรา ดับความเกิดละกิเลส ค่อยละออกทีละเล็กทีละน้อย แต่ส่วนมากก็ขาดการสนใจขาดการทำความเข้าใจ ก็เลยไปมองอยู่เฉพาะในภาพรวม สร้างประโยชน์สร้างคุณงามความดีอยู่ในระดับของสมมติ แม้แต่บางทีบางครั้งระดับของสมมติก็ยังขาดตกบกพร่อง
เราก็ต้องพยายามอย่าไปโทษคนอื่น จงโทษตัวเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียเปรียบคนโน้น ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนนั้นคนนี้ ให้เราชนะตัวเรา อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็รีบทำ ประโยชน์เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย
แต่ละวันตื่นขึ้นมาความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ เสียสละอยู่ในระดับไหน เสียสละต่อส่วนตัวต่อส่วนรวม ความรับผิดชอบของเรามีความสูงส่งหรือไม่ มีความเต็มเปี่ยมหรือไม่ เราก็ต้องหัดวิเคราะห์หัดพิจารณาทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การหายใจเข้าออกความรู้หรือตัวเป็นลักษณะอย่างไร จะรับประทานข้าวปลาอาหาร กายของเราหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก เราก็ต้องดู
ถ้าเราไม่ดูเราไม่แก้ไขเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้หรอกนอกจากตัวของเราเอง แก้ไขตัวของเราเอง ไปอยู่ที่โน่นไปอยู่ที่นี่ ถ้าไม่รู้จักการเจริญสติ ถ้าไม่รู้จักฐานของใจ มันก็ยากที่จะสอนใจของตัวเราได้ ไม่รู้จักควบคุมใจ ใหม่ๆ ก็ควบคุมเหมือนกับนักโทษนั่นแหละ โดนผู้คุมเขาควบคุมนำ ถ้าประพฤติปฏิบัติตัวดีเขาคลายออกให้เป็นนักโทษที่ดี ถ้าประพฤติปฏิบัติดีขึ้น เขาก็ค่อยคลายๆๆ จนเป็นปกติอยู่กับสังคมได้
ตัวใจก็เหมือนกัน เราก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราให้อยู่ในกองกุศล หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์หาเหตุหาผลไม่ให้เขาเข้าไปหลงเข้าไปยึด เขาไม่อยากจะหลงหรอกแต่ความหลงนั้นปิดกั้นมาตั้งแต่ยังไม่เกิด เขาถึงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ อยู่ในสังสารวัฏอยู่
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนก็ฝักใฝ่กันดี ถ้าจะเอากันจริงๆ แล้ว พอรู้จักวิธีรู้จักแนวทาง รู้จักการเจริญภาวนานั้น ให้รีบทำความเพียรอยู่คนเดียว แล้วก็วิเคราะห์กายวิเคราะห์ใจของเรา อยู่หลายคนเราก็วิเคราะห์กายวิเคราะห์ใจของเรา กายของเรานั้นเป็นก้อนทุกข์ จิตก็ยังมาสร้างความทุกข์ผสมโรงกันเข้าไปอีก เราต้องจำแนกแจกแจงให้ชัดเจน
บุคคลที่มีบุญมีอานิสงส์อยู่คนเดียวก็เดินถึงจุดหมายปลายทางได้ การเจริญสติ การดับการละ การหาเหตุหาผล อยู่คนเดียวก็ช่วยเหลือตัวเองพึ่งตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นเสียก่อน ไม่ใช่เอาไปแบกภาระ กายของตัวเราไปหนักอยู่ที่โน่นบ้างหนักอยู่ที่นี่บ้าง ต้องช่วยเหลือตัวเราให้ได้ทุกเรื่องทุกอย่างเท่าที่เราจะทำได้ ก็ต้องพยายามกันนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ยังสมมติให้ดีแล้วก็จะส่งผลทางวิมุตติ อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา