หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 009

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 009
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 009
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเราชีเราพิจารณากะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ สติของเราตั้งมั่นขึ้นพยายามสร้างขึ้นมา ทุกเรื่องในชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่ขึ้นมา จะลุกจะก้าวจะเดินมีสติรู้กายรู้ใจ

เวลาจะขบจะฉัน กายเราหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก ก็รู้จักควบคุมรู้จักพิจารณาซึ่งภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘ปฏิสังขาโย’ กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง จะมีมากมีน้อยก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยากเพราะว่าความเคยชิน ความเคยชินแบบโลกๆ ใจเป็นผู้บงการ อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม มันบอกว่าเอาเยอะๆ ว่าอย่างนั้น มันสั่ง มันสั่งกิเลส กิเลสมันสั่ง เอาเยอะก็ทานไม่หมด มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง พิจารณาถ้ามันอยากก็ให้เลยผ่านไป ใจของเราก็จะเกิดความอาลัยอาวรณ์หรือไม่ เราก็ต้องหัดพิจารณาทุกเรื่อง ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

วันนี้รู้สึกว่าอากาศมันคล้ายๆ ฝนจะตกนะ เหมือนกับคล้ายๆ ฝนจะตก คงจะเปลี่ยนฤดูเข้าเดือนสาม เดือนสามของภาคอีสาน เดือนสาม เดือนอ้ายเดือนยี่เดือนสาม ขึ้นเดือนสามฝนตกรดช่อมะม่วง ญาติโยมก็พากันมามากมาย วันเด็ก วันเด็กมีแต่ผู้ใหญ่พาเด็กมาเต็มวัดหมดเมื่อวาน เห็นแล้วก็ดีใจภูมิใจ เป็นแหล่งบุญใหญ่ของจังหวัดขอนแก่นของภาคอีสาน ในวันข้างหน้าของประเทศของทั่วโลก ก็ความเป็นสิริมงคลได้บังเกิดขึ้น ณ สถานที่ตรงนี้ พระบรมสารีริกธาตุก็ได้อัญเชิญจากส่วนที่ท่านเสด็จมา หลวงปู่ใหญ่ก็มีเหล่าทวยเทพเทวดาทั้งหลายมาสิงสถิตเต็มมากมาย ณ สถานที่แห่งนี้ ทุกคนก็หล่อหลวมรวมใจกันมาช่วยกันทำให้เป็นแหล่งบุญ ช่วยกันทำโน่นทำนี่ให้เป็นประโยชน์ ช่วยกันดูแลรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยตั้งแต่ปากทางเข้ามา ทั้งภายนอกทั้งภายใน

ลึกลงไปรู้ใจรู้ฐานของใจของเราว่า ใจของเราขณะนี้สงบสะอาดบริสุทธิ์ เป็นอิสระ อิสระจากความคิด อิสระจากการเกิด ตั้งแต่ก่อนเขาเกิดเขาหลง เขาเกิดเรียกว่าเขาปรุงเขาแต่งนั่นแหละ เขาปรุงแต่งส่งออกไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ บางทีก็ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ เขาหลงจนเป็นตัวเดียวกันนั่นแหละความหลงอย่างลุ่มลึก ถ้าไม่ได้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผลก็ยากที่จะเข้าใจ

เพียงแค่สติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันก็ทำไม่ต่อเนื่องก็เลยไม่เข้าใจตรงนี้ เพราะว่าอะไร เพราะว่าวิบากกรรม สมมติยังไม่คลาย อันโน้นก็ยังลำบากอยู่อันนี้ก็ยังลำบากอยู่ ยังติดอยู่ตรงโน้นบ้างยังติดอยู่ตรงนี้บ้างนั่นแหละเรียกว่าวิบากกรรมสมมติ ปากท้องก็ยังหิวโหยอยู่ ครอบครัวบางทีก็ยังลำบาก ภาระหน้าที่การงานก็ยังติดขัดเพราะว่าวิบากกรรมสมมติยังไม่คลาย ถ้าวิบากกรรมสมมติคลายแล้วก็ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะโล่งโปร่ง

เป็นไปตามกาลเวลาตามวัย วัยเด็กก็อีกอย่างหนึ่งวัยเติบโตขึ้นมาก็อีกระดับหนึ่ง วัยศึกษาเล่าเรียน วัยสร้างฐานะสร้างครอบครัวสร้างความเป็นอยู่ ยังสมมติขวนขวายดิ้นรนทุกอย่างจนสมมติอิ่มตัวไม่ได้แสวงหาไม่ได้ดิ้นรนอะไรมีตั้งแต่เสวยผล ช่วงนั้นแหละคือวิบากกรรมสมมติก็เริ่มคลาย อะไรก็เริ่มสบาย ถ้าคนเกียจคร้านไม่รู้จักขวนขวายไม่รู้จักสร้างขึ้นมา สมมติก็ลำบากในวันข้างหน้า ถ้าคนรู้จักขวนขวายตั้งแต่อายุน้อยๆ เมื่ออายุมากสมมติก็สบายก็ส่งผลถึงทางด้านจิตใจได้นั่งเสวยผล สมมติก็ไม่ได้ลำบากตกถึงลูกถึงหลานถึงพี่ถึงน้อง ก็จะได้บริบูรณ์ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ

ดูดีๆ นะ ดูดีๆ ทั้งพระทั้งชี ส่วนมากก็ถ้าขาดการพิจารณาก็จะเอาไปเททิ้งเสียดาย มองบนมองล่าง มองคนข้างบนมองคนข้างล่างพิจารณาลงที่ใจของเรา จะมีมากมีน้อยก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก ถ้าขาดการพิจารณาขาดการสำรวจขาดการทำความเข้าใจ ไปปฏิบัติที่ไหนก็ไม่เข้าใจหรอก ถ้าไม่รู้จักการสังเกตการวิเคราะห์ ไม่รู้จักทำความเข้าใจในชีวิตของตัวเรา

จะปฏิบัติค่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ถ้าไม่รู้จักการเจริญสติ ไม่รู้จักลักษณะของสติ มันก็ปฏิบัติแบบหลงๆ ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจก็เป็นบุญใจก็อยากได้บุญอิ่มบุญ เราก็ต้องให้ได้ทั้งปัญญา ทั้งทำความเข้าใจทั้งปัญญาของโลกีย์ปัญญาโลกุตตระ ปัญญาโลกุตตระนี่คือปัญญาเหนือโลก ไม่ยึดมั่นถือมั่นในโลก โลกในที่นี้ก็หมายถึงความคิดอารมณ์ของสังขารขันธ์ห้าของเรา ในโลกภายนอก โลกภายใน โลกธรรมโลกธรรมแปด

พระเราก็ขยันหมั่นเพียรกันช่วยกันทำทุกอย่าง อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็ช่วยกัน ทั้งฆราวาสญาติโยมก็อย่าไปเกียจคร้าน คนอยู่วัดต้องเป็นคนขยัน ขยันหมั่นเพียรขยันขัดเกลากิเลส ขยันสร้างประโยชน์ ขยันละนิวรณ์ละความเกียจคร้าน ต้องเป็นคนขยัน ถ้าคนเกียจคร้านแล้วอย่าเข้ามาวัดเลย สร้างกรรมใส่ตัวเองโดยไม่รู้ตัว เอาคนเกียจคร้านเข้ามาวัด ส่วนมากเอาคนขยัน ต้องเป็นคนขยันหัดวิเคราะห์หัดพิจารณา หัดทำความเข้าใจ ขยันขัดเกลากิเลสทั้งภายนอกทั้งภายในมันจะได้เต็ม คนเกียจคร้านทำอะไรก็ไม่เป็นช่วยเหลือตัวเองก็ไม่ได้ มันก็เลยเดินเข้าไม่ถึงธรรมสักทีเพราะนิวรณ์เขาครอบงำ

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน หยุดความคิดหยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ ถึงเราละไม่ได้ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาด เราก็ให้รู้จักการเจริญสติ ฟังไปด้วยลองน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ

ศิลปะของการหายใจเข้าหายใจออก ลมหายใจยาวก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ให้เป็นธรรมชาติที่สุด ถ้าเราไปเพ่งสมองก็จะตึง ถ้าเราเอาตัวจิตไปจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูก หน้าอกก็จะแน่น ให้เราหัดสังเกตความรู้สึก มีความรู้สึก​รับรู้อยู่เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา

ถ้าความรู้สึกไม่ชัดเจน เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ นี่ลมมันจะกระทบปลายจมูกของเราชัดเจน เวลาลมเข้าลมออก ถ้าเราลมเข้าเราก็รู้สึกรับรู้อยู่ ลมออกก็รู้สึกรับรู้อยู่ แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องให้เกิดความเคยชิน เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัว รู้กายรู้ตัวทั่วพร้อม อันนี้เป็นส่วนของการเจริญสติของการเจริญปัญญาตัวใหม่ที่จะเข้าไปรู้เท่าทันใจของเรา รู้ว่าใจปกติ

ส่วนใจนั้นเขาก็ยังเกิดๆ ดับๆ เกิดปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก เกิดๆ ดับๆ ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งใจ เขายังรวมกันอยู่ ถ้าความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่องไม่แหลมคม ก็ยากที่จะรู้เท่าทันใจของเรา หรือบางทีก็รวมกันไปเลยทีเดียว เราต้องรู้จักจำแนกแจกแจง

‘การเจริญสติ’ ความหมายของการเจริญสติเพื่อที่จะเอาไปรู้ใจ ทำความเข้าใจเพื่อที่ไปหมั่นพร่ำสอนใจ ขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา เพื่อที่จะสังเกตใจให้คลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ ถ้าเรารู้เท่าทันขณะเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกัน เขาจะคลายออกจากกัน เขาจะแยกออกจากกันโดยปริยาย เราไม่จำเป็นต้องไปจับเขาแยกได้เลย

ถ้าเขาแยกออกจากกัน เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในคำว่าอัตตา เข้าใจคำว่าอนัตตา เข้าใจในคำว่าสมมติวิมุตติ ใจก็จะว่างกายก็จะโล่งเหมือนกับไม่มีกาย แต่กายสมมติมีอยู่ ถ้าใจเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ ใจจะปรุงแต่งเราก็รู้จักระงับดับไม่ให้เขาส่งออกไปภายนอก ถ้าเขาส่งไปภายนอกนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สมุทัย’ เขาเรียกว่าจิตส่งนอก แม้แต่ตัวจิตไปแสวงหาธรรม การเกิดของเขาก็มีตลอดเวลา เขาจะรู้ธรรมได้อย่างไรเพราะตัวเขาเป็นตัวธรรม

แต่เวลานี้เขายังหลงอยู่ ทั้งหลงด้วยเกิดด้วย หลงยินดียินร้าย หลงเป็นทาสของอารมณ์หลงเป็นทาสของกิเลส หลงเกิดคือความคิดนี่แหละที่คิดปรุงแต่งไปนั่นน่ะมันเกิด เขาเรียกว่าการเกิดของจิต ของจิตก็ยังไม่พอก็ยังมีอาการของจิตซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า บางทีก็เป็นเรื่องอดีตเรื่องอนาคต

ใจของทุกคนฝักใฝ่ในบุญอยากจะได้บุญ ตรงนี้มีกันบุญระดับของโลกิยะบุญระดับของสมมติ ทุกคนพากันมีกันเต็มเปี่ยมบารมีตรงนี้ แต่การเจริญปัญญา การสังเกตการวิเคราะห์ การแยกการคลาย การตามดูรู้เห็นกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ตรงนี้ความเพียรยังขาดกัน ยังขาดกันเยอะก็ต้องพยายามนะอย่าไปทิ้ง ทำได้ไม่ทำได้ก็พยายามหมั่นสนใจหมั่นฝักใฝ่

กายวิเวกเป็นอย่างนี้นะ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ สติรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ จะลุกจะก้าวจะเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ทำกับข้าวกับปลา ต้องรู้ ใหม่ๆ ก็อาจจะพลั้งเผลอ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรเราก็ยิ่งทำความเข้าใจ ฝ่ายกุศลหรือว่าอกุศล อะไรจะเยอะกว่ากัน ถ้าฝ่ายกุศลหรือว่าฝ่ายสติมันมีมาก ก็จะเข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของเราได้ ถ้าใจของเรายังเกิดอยู่ยังหลงอยู่ เราก็ต้องพยายามฝึกพยายามฝืน

ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการทวนกระแส เพราะว่าจิตของทุกคนนี่ชอบคิดชอบเที่ยว บางทีก็เที่ยวไปในกองกุศล บางทีก็เที่ยวไปในกองอกุศล ยิ่งเจริญสติเข้าไปดูรู้เห็นเท่าไรยิ่งมีความสุขนะ ยิ่งเห็นเท่าไรยิ่งค้นคว้าไปจนหมดความสงสัยนั่นแหละ ยิ่งมองเห็นหนทางเดิน ถ้าใจมันคลายออกจากความคิดได้ เขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ เพียงแค่เริ่มต้น ทีนี้เราจะชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราหมดจดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเราอย่างเข้มงวด แต่อย่าไปทิ้งบุญอย่าไปทิ้งวัด ทำกายให้เป็นวัดทำใจให้เป็นพระ ละอกุศล มองโลกในทางที่ดี คิดดี

มีอะไรให้รีบขวนขวายรีบสร้างขึ้นมา ในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์เราอย่าไปมองข้าม จัดระบบระเบียบของความคิดของอารมณ์ให้เรียบร้อย มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน มันไม่เหลือวิสัยหรอก พยายามทำกัน

สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน ทำใจให้ว่างสมองให้โล่งทำกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ ไปทำความเข้าใจกันเอา อันนี้เพียงแค่ย้ำแค่เตือน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง