หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 005
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 005
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่พวกท่านได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ทำความเข้าใจกับชีวิตของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ
นั่งตามสบายวางกายให้สบายฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก หลวงพ่อก็เป็นแค่เพียงพูดชี้แนะอุบายแนวทางให้พวกท่านฟัง การเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ การสังเกตการวิเคราะห์ การมีความสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง อันนี้เขาเรียกว่า การเจริญสติลงอยู่ที่กายของเรา อยู่ที่ลมหายใจของเรา
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ยังขาดการสร้างความรู้ตัวให้รู้ให้ต่อเนื่อง ทั้งที่ปัญญาทางสมมติก็เป็นอัจฉริยะเก่งกันทุกคน ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญอยากจะได้บุญ อยากจะรู้ธรรมอยากจะเห็นธรรม
การเกิดของใจนั้นก็เป็นทุกข์แล้วเพราะว่าความไม่เที่ยง การเกิดนั้นเขาก็หลง ‘หลง’ หลงเกิด หลงปรุงหลงแต่ง ทีนี้เขาได้เกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ภพนี้ชาตินี้เกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ได้มาสร้างภพเป็นมนุษย์ ซึ่งมีกายซึ่งเป็นส่วนรูปธรรมมาปกปิดดวงวิญญาณเอาไว้อีกทีหนึ่ง ลึกลงไปก็ความคิด อารมณ์ มาปกปิดดวงวิญญาณเอาไว้อีกทีหนึ่ง ลึกลงไปการเกิดของจิตการเกิดของใจก็ปิดตัวของมันเอาไว้อีกทีหนึ่ง กิเลสหยาบกิเลสละเอียด
เราต้องอาศัยปัญญาของผู้รู้ อาศัยปัญญาของพระพุทธองค์เข้าไปศึกษา เข้าไปค้นคว้า การเจริญสติ ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน รู้กายรู้การหายใจเข้าออก อันนี้เป็นการสร้างความรู้ตัว รู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออกก็เป็นส่วนหนึ่งของการรู้กาย แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง
ขณะเราสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่แล้วรู้จักเอาไปใช้ รู้ลักษณะของใจ ใจปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เกิดปรุงแต่งเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น มีความคิดปรุงแต่งเข้ามาปรุงแต่งใจได้อย่างไร ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า] ซึ่งเป็นนามด้วยกัน
ลักษณะหน้าตาอาการของความคิดเขาก่อตัว ตัวใจเคลื่อนเข้าไปรวมจนเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไรนี่แหละตัวโมหะตัวความหลงอย่างลุ่มลึก แล้วก็ใจของเราเกิดส่งออกไปภายนอกนั้น กำลังใจก็เสียไป ครั้งหนึ่ง ครั้งสอง ครั้งสาม ก็มากขึ้นมากๆๆ ท่านถึงบอกว่าให้ใช้สมถะสร้างกำลังใจ หนุนกำลังสติเข้าไปวิเคราะห์พิจารณาหาเหตุหาผล แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา
การเกิด การก่อตัวของใจ เขาเริ่มก่อตัวตรงไหน อยู่ที่ฐานกลางใจของเรานั่นแหละ เวลาเราเกิดความคิดปรุงแต่ง เขาเริ่มก่อตัวอย่างไรเราก็ดับ ส่วนมากเราจะไปดับไปหยุดเอาได้ครึ่งเหตุหรือปลายเหตุ หรือไม่ดับ หรือส่งเสริมไปเลย เราหยุดเราดับมันก็จะสั้นลงไปๆๆ จนขณะเขาก่อตัวเราก็ดับขณะที่เขาก่อตัว ใจของเราก็จะนิ่งใจของเราก็จะมีกำลัง
เขาเกิดอีกเราดับอีก ใจของเราก็มีกำลังมากขึ้นๆๆ หนุนกำลังสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่ สำรวจ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดูหูทำหน้าที่ฟัง ภาษาธรรมะสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของเรา เราก็จะมองเห็นชัดเจน ใจของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับรู้จักหยุดระงับยับยั้งให้ได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ต้องเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร ทำไปเรื่อยๆ อย่าไปทำด้วยความอยากที่เกิดจากตัวใจ ให้ทำไปเรื่อยๆ ให้วิเคราะห์ไปเรื่อยๆ เราไม่รู้เท่าทันต้นเหตุเราก็ดับเอาไว้ ดับแล้วก็วางๆๆ ทำความเข้าใจไป จนรู้เห็นตามความเป็นจริง จนหมั่นพร่ำสอนใจของเราได้ จนหมดความสงสัยได้ จนมีตั้งแต่สติปัญญาที่จะเข้าไปห้ำหั่นกับกิเลสจนหมดจดนั่นแหละ
กิเลสหมดนั่นแหละเราถึงจะได้หยุดพัก ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ใจยังเป็นทาสของกิเลสอยู่ เราต้องพยายามละพยายามดับ มันไม่เหลือวิสัยหรอกอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ทุกลมหายใจมีค่ามากมายมหาศาล ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างประโยชน์แล้วหรือยัง ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์อยู่ปัจจุบัน พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี อยู่กับสมมติก็เคารพสมมติ ทำหน้าที่ของสมมติให้ดี ถ้าเราไม่เคารพสมมติไม่ทำตามหน้าที่ของสมมติ สมมติก็วุ่นวาย
ธรรมกับโลกก็อยู่ร่วมกัน ใจกับกายก็อาศัยอยู่ร่วมกัน กายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่ อาศัยอยู่กับหมู่กับคณะกับสังคม เราต้องทำความเข้าใจให้หมดทุกเรื่อง ทำความเข้าใจกับโลก ทำความเข้าใจกับธรรม ธรรมกับโลกก็อยู่รวมกัน หมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้วางโล วางสมมติ เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ
เราทำความเข้าใจ วางกายก้อนนี้แล้วก็จะวางทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกได้ แต่รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล อยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข ถ้าคนเรามีความรับผิดชอบต่อตัวเราต่อส่วนรวม เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ ไปอยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ความสุขความเจริญ
กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กายของเราวิเวกจากพันธะจากภาระหน้าที่การงานต่างๆ ทีนี้ใจของเราวิเวกจากกิเลส วิเวกจากความคิด วิเวกจากอารมณ์ ถึงจะอยู่กับฝูงชน ถึงจะอยู่กลางตลาดกลางโรงหนัง ถ้าใจของเราไม่มีกิเลสใจของเราสงบก็เรียกว่าใจวิเวก กายของเรา วางภาระหน้าที่ต่างๆ เขาก็เรียกว่ กายวิเวก ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ชัดเจนทุกเรื่อง ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ใหม่ๆ สติของเราอาจจะพลั้งเผลอ เราก็พยายามประคับประคองนะ อย่าไปพลาดโอกาส ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ปรับปรุงตัวเราใหม่ มองโลกในทางที่ดี คิดดีแล้วก็ทำดี จัดระบบระเบียบของความคิดของอารมณ์ ระบบระเบียบของสมมติให้ราบรื่นให้เรียบร้อย ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุขความเจริญกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง
นั่งตามสบายวางกายให้สบายฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก หลวงพ่อก็เป็นแค่เพียงพูดชี้แนะอุบายแนวทางให้พวกท่านฟัง การเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ การสังเกตการวิเคราะห์ การมีความสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง อันนี้เขาเรียกว่า การเจริญสติลงอยู่ที่กายของเรา อยู่ที่ลมหายใจของเรา
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ยังขาดการสร้างความรู้ตัวให้รู้ให้ต่อเนื่อง ทั้งที่ปัญญาทางสมมติก็เป็นอัจฉริยะเก่งกันทุกคน ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญอยากจะได้บุญ อยากจะรู้ธรรมอยากจะเห็นธรรม
การเกิดของใจนั้นก็เป็นทุกข์แล้วเพราะว่าความไม่เที่ยง การเกิดนั้นเขาก็หลง ‘หลง’ หลงเกิด หลงปรุงหลงแต่ง ทีนี้เขาได้เกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ภพนี้ชาตินี้เกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ได้มาสร้างภพเป็นมนุษย์ ซึ่งมีกายซึ่งเป็นส่วนรูปธรรมมาปกปิดดวงวิญญาณเอาไว้อีกทีหนึ่ง ลึกลงไปก็ความคิด อารมณ์ มาปกปิดดวงวิญญาณเอาไว้อีกทีหนึ่ง ลึกลงไปการเกิดของจิตการเกิดของใจก็ปิดตัวของมันเอาไว้อีกทีหนึ่ง กิเลสหยาบกิเลสละเอียด
เราต้องอาศัยปัญญาของผู้รู้ อาศัยปัญญาของพระพุทธองค์เข้าไปศึกษา เข้าไปค้นคว้า การเจริญสติ ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน รู้กายรู้การหายใจเข้าออก อันนี้เป็นการสร้างความรู้ตัว รู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออกก็เป็นส่วนหนึ่งของการรู้กาย แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง
ขณะเราสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่แล้วรู้จักเอาไปใช้ รู้ลักษณะของใจ ใจปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เกิดปรุงแต่งเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น มีความคิดปรุงแต่งเข้ามาปรุงแต่งใจได้อย่างไร ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า] ซึ่งเป็นนามด้วยกัน
ลักษณะหน้าตาอาการของความคิดเขาก่อตัว ตัวใจเคลื่อนเข้าไปรวมจนเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไรนี่แหละตัวโมหะตัวความหลงอย่างลุ่มลึก แล้วก็ใจของเราเกิดส่งออกไปภายนอกนั้น กำลังใจก็เสียไป ครั้งหนึ่ง ครั้งสอง ครั้งสาม ก็มากขึ้นมากๆๆ ท่านถึงบอกว่าให้ใช้สมถะสร้างกำลังใจ หนุนกำลังสติเข้าไปวิเคราะห์พิจารณาหาเหตุหาผล แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา
การเกิด การก่อตัวของใจ เขาเริ่มก่อตัวตรงไหน อยู่ที่ฐานกลางใจของเรานั่นแหละ เวลาเราเกิดความคิดปรุงแต่ง เขาเริ่มก่อตัวอย่างไรเราก็ดับ ส่วนมากเราจะไปดับไปหยุดเอาได้ครึ่งเหตุหรือปลายเหตุ หรือไม่ดับ หรือส่งเสริมไปเลย เราหยุดเราดับมันก็จะสั้นลงไปๆๆ จนขณะเขาก่อตัวเราก็ดับขณะที่เขาก่อตัว ใจของเราก็จะนิ่งใจของเราก็จะมีกำลัง
เขาเกิดอีกเราดับอีก ใจของเราก็มีกำลังมากขึ้นๆๆ หนุนกำลังสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่ สำรวจ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดูหูทำหน้าที่ฟัง ภาษาธรรมะสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของเรา เราก็จะมองเห็นชัดเจน ใจของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับรู้จักหยุดระงับยับยั้งให้ได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ต้องเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร ทำไปเรื่อยๆ อย่าไปทำด้วยความอยากที่เกิดจากตัวใจ ให้ทำไปเรื่อยๆ ให้วิเคราะห์ไปเรื่อยๆ เราไม่รู้เท่าทันต้นเหตุเราก็ดับเอาไว้ ดับแล้วก็วางๆๆ ทำความเข้าใจไป จนรู้เห็นตามความเป็นจริง จนหมั่นพร่ำสอนใจของเราได้ จนหมดความสงสัยได้ จนมีตั้งแต่สติปัญญาที่จะเข้าไปห้ำหั่นกับกิเลสจนหมดจดนั่นแหละ
กิเลสหมดนั่นแหละเราถึงจะได้หยุดพัก ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ใจยังเป็นทาสของกิเลสอยู่ เราต้องพยายามละพยายามดับ มันไม่เหลือวิสัยหรอกอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ทุกลมหายใจมีค่ามากมายมหาศาล ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างประโยชน์แล้วหรือยัง ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์อยู่ปัจจุบัน พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี อยู่กับสมมติก็เคารพสมมติ ทำหน้าที่ของสมมติให้ดี ถ้าเราไม่เคารพสมมติไม่ทำตามหน้าที่ของสมมติ สมมติก็วุ่นวาย
ธรรมกับโลกก็อยู่ร่วมกัน ใจกับกายก็อาศัยอยู่ร่วมกัน กายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่ อาศัยอยู่กับหมู่กับคณะกับสังคม เราต้องทำความเข้าใจให้หมดทุกเรื่อง ทำความเข้าใจกับโลก ทำความเข้าใจกับธรรม ธรรมกับโลกก็อยู่รวมกัน หมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้วางโล วางสมมติ เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ
เราทำความเข้าใจ วางกายก้อนนี้แล้วก็จะวางทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกได้ แต่รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล อยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข ถ้าคนเรามีความรับผิดชอบต่อตัวเราต่อส่วนรวม เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ ไปอยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ความสุขความเจริญ
กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กายของเราวิเวกจากพันธะจากภาระหน้าที่การงานต่างๆ ทีนี้ใจของเราวิเวกจากกิเลส วิเวกจากความคิด วิเวกจากอารมณ์ ถึงจะอยู่กับฝูงชน ถึงจะอยู่กลางตลาดกลางโรงหนัง ถ้าใจของเราไม่มีกิเลสใจของเราสงบก็เรียกว่าใจวิเวก กายของเรา วางภาระหน้าที่ต่างๆ เขาก็เรียกว่ กายวิเวก ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ชัดเจนทุกเรื่อง ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ใหม่ๆ สติของเราอาจจะพลั้งเผลอ เราก็พยายามประคับประคองนะ อย่าไปพลาดโอกาส ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ปรับปรุงตัวเราใหม่ มองโลกในทางที่ดี คิดดีแล้วก็ทำดี จัดระบบระเบียบของความคิดของอารมณ์ ระบบระเบียบของสมมติให้ราบรื่นให้เรียบร้อย ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุขความเจริญกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง