หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 006

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 006
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 006
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาความรู้สึกตัวของเราต่อเนื่องกันหรือไม่ เราได้น้อมเข้าไปสํารวจกายของเรา สํารวจจิตของเราหรือยัง

ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ สติของเราตั้งมั่นแล้วก็ต่อเนื่องกันหรือไม่ หรือว่ามีตั้งแต่ความคิดที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้าวิ่งวุ่นอยู่ตลอดเวลา เราพยายามหยุดดับความคิดความกังวลที่เกิดจากจิตของเราด้วยการเจริญอานาปานสติระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ปล่อยลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับอย่าไปเพ่ง

การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น จิตของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละ ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักรักษาเอาไว้ ส่วนจิตของเราจะคิดไปที่อื่น เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกขึ้นมาแรงๆ ความคิดก็จะดับไป

จิตของเราจะคิดไปเรื่องไหนก็ช่าง เราพยายามกระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก พอจิตไม่เกิดส่งไปภายนอกเขาก็สงบตั้งมั่นขึ้นมา ความรู้สึกตัวเราต้องพยายามสร้างขึ้นมา แล้วก็รู้จักรักษาเสียก่อน ถ้าความรู้สึกตรงนี้ได้ต่อเนื่องกันก็จะมีมากขึ้นๆๆ จิตจะก่อตัว จิตจะเกิดปุ๊ปเขาก็รู้เท่าทัน เขาก็รู้จักดับ ดับตั้งแต่ต้นเหตุ

ความคิดจะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต สติของเรารู้ตัวอยู่ปัจจุบัน สติของเราก็จะรู้ทัน รู้ลักษณะอาการเขาเกิด แล้วก็จะรู้จะเห็นเวลาจิตจะเคลื่อนเข้าไปรวมเข้าไปร่วมความคิดตรงนั้น เขาจะดีดตัวออกจากกันทันที เขาก็จะว่างโล่ง กําลังสติของเราก็จะตามเห็นการเกิดการดับของอาการของความคิดของอารมณ์ เรื่องอะไรที่เขาเกิด ตรงนี้แหละสําคัญ เราพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกตคลายความหลงตรงนี้ให้ได้เสียก่อน

ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บเขาจะได้ปั๊บนะ ขณะที่เราทำนี้กิเลสมารต่างๆ​ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็รีบโหมกำลังเข้ามาชักลากจิตของเราไป เดี๋ยวก็เรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้างสารพัดเรื่องที่เขาจะมาชักลากจิตของเราไป เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เพราะว่ากิเลสมารขันธมารต่างๆ มันก็อยู่กับเราไม่รู้ว่ากี่ภพกี่กัปกี่กัลป์ เขาอยู่ด้วยกันเขาเป็นมิตรกันกับจิตอยู่ จิตของเราก็ทั้งทะเยอทะยานอยากด้วย ทั้งหลงรวยทั้งยึดด้วย กว่าจิตของเราจะคลายได้ กว่าจะปลงได้ กำลังสติของเราต้องชอนไชหาเหตุหาผลเข้าไปแยก เข้าไปแยกแยะ ทำความเข้าใจให้จิตยอมรับความเป็นจริงได้ นั่นแหละถึงจะยอมวางได้ ถ้าไม่รู้จุดวางก็ยากที่จะวางได้

ทุกคนก็มีบุญฝักใฝ่ในบุญ หมั่นสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่นึกแค่คิด คิดดีก็เป็นบุญ เราต้องพยายามสังเกตวิเคราะห์ความคิดของเรา ความคิดที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งจิต หรือว่าเกิดจากสติเกิดจากปัญญา เราต้องพยายามดูให้ละเอียดทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

ส่วนมากคิดเราก็รู้ ทำเราก็รู้ มันหลงอยู่ในความคิดหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้น อยู่เราต้องมาสร้างผู้รู้ คือมาสร้างความระลึกรู้ สร้างสติเข้าไปสำรวจตรวจตราดูจิตของเราให้ได้เสียก่อน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อย่าไปปิดกั้นตัวเองว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ทุกคนก็มีเวลาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก จนกระทั่งวันตายนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าไปที่โน้นถึงจะรู้ไปที่นี่ถึงจะรู้

ถ้าเราเข้าใจในการสร้างอานิสงส์สร้างบารมี เราจะสร้างได้ตลอดเวลา เรารู้จักควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ แล้วก็ลึกลงไปก็คลายจิตออกจากความหลงอันนี้ต้องเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ ไปบังคับกันไม่ได้หรอกของพวกนี้ ขึ้นอยู่กับอานิสงส์ผลบุญของแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของแต่ละบุคคล

เราจะพยายามขยันหมั่นเพียรหรือไม่ ความขยันหมั่นเพียรนั่นแหละคือตบะ​ ตบะบารมีขยันหมั่นเพียรในการขัดเกลากิเลส ขยันหมั่นเพียรในการวิเคราะห์ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร หูตาจมูกลิ้นกายเขาทำหน้าที่อย่างไร เรารู้จักจําแนกแจกแจงแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากวิญญาณของเราหรือไม่ หรือว่าดวงจิตของเราหรือไม่

ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นอย่างไร สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟังสักแต่ว่าธาตุ เป็นลักษณะความหมายเป็นอย่างไร เราต้องรู้ลักษณะ รู้ลักษณะอาการแล้วก็เข้าถึงลักษณะอาการ ตามทำความเข้าใจวิมุตติกับสมมติ

คำว่า ‘วิมุตติ’ นั่นเป็นลักษณะอย่างไร สมมติเป็นลักษณะอย่างไร กายของเรานี่ล่ะก้อนสมมติ ทำไมจิตของเราถึงมายึดกายก้อนนี้ทั้งที่เป็นกายของตัวเองในทางสมมติจริงๆ แต่ในหลักธรรมแล้วเป็นแค่ธาตุที่มาประชุมรวมกันเข้า มีวิญญาณคือดวงจิตของเราเข้ามาครอบครอง ถ้าถึงวาระเวลาเขาก็จะแตกก็จะดับ อันนี้เป็นของละเอียดอ่อน เราต้องพยายามศึกษาให้เข้าถึงธรรมชาติที่แท้จริงของจิต

อะไรมาปกปิดธรรมชาติอันนี้เอาไว้ ก็ความหลง โมหะ นี่แหละ แล้วก็กิเลส ความโลภความโกรธต่างๆ ความทะเยอทะยานอยากต่างๆ มาปิดกั้นดวงจิตของเราไว้ เราต้องพยายามหมั่นชําระสะสางด้วยการเจริญพรหมวิหาร ละกิเลสละความตระหนี่เหนียวแน่นทุกสิ่งทุกอย่าง ละความอยากที่เกิดจากจิต คลายความหลง แล้วก็ละความอยากออกจากจิตจากใจของตัวเราเอง

ตราบใดที่เราแสวงหาเราย่อมจะเจอ แสวงหาธรรมเรายอมจะเข้าใจในธรรม แสวงหาโลกเราย่อมจะเข้าใจในโลก โลกกับธรรมก็อยู่ร่วมกันนั่นแหละ ทำความเข้าใจหมดทั้งโลกทั้งธรรม อยู่ที่ไหนเราก็จะอยู่ที่มีความสุข บุคคลมีสติมีปัญญาจะหมั่นพร่ำสอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา

ทั้งกายทั้งจิตทั้งวาจา ทำวาจาให้เป็นบุญทำกายให้เป็นบุญทำใจให้เป็นบุญอยู่ตลอดเวลา อะไรที่จะนําความทุกข์ อะไรที่ทำให้จิตของเราเศร้าหมอง เราพยายามลดพยายามละออกไปเสีย ละทีละเล็กทีละน้อย เขาก็จะค่อยเหือดแห้งไปๆ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็พยายามขยันหมั่นเพียร

อยู่ที่นี่จะไม่พาทำนะ อยู่ที่นี่จะไม่พาทำ รู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้วไปทำความเพียรทั้งกลางวันทั้งกลางคืน พูดน้อยนอนน้อยปฏิบัติให้มากๆ ทำให้มากๆ บุคคลมีสติมีปัญญารู้จักแนวทางรู้จักวิธีจะไปเคี่ยวเข็ญตัวเองทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นได้บังคับ ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาเคี่ยวเข็ญ มีความรับผิดชอบต่อตัวเอง ขยันหมั่นเพียรอยู่ตลอดเวลา บุคคลเช่นนี้แหละจะไปถึงฝั่งได้เร็วได้ไว บุคคลที่ไม่สนใจไม่ฝักใฝ่จะไปบังคับอย่างไรมันก็เอาไม่ได้หรอก

เพราะว่าอะไร เพราะว่าวิบากกรรมมาปิดกั้นเอาไว้อยู่ ยังไม่ถึงวาระเวลา เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เพิ่งจะปลูกจะไปเร่งให้เขาออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ ต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยการดูแลรักษาให้บริบูรณ์ ถึงเวลาเขาก็ออกดอกออกผลให้ การประพฤติวัตรปฏิบัติทางด้านจิตก็เหมือนกัน

ตั้งแต่เป็นเด็กก็มีการพัฒนามาเป็นผู้ใหญ่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านการศึกษาผ่านการเล่าเรียน นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘วิบากกรรม’ ผ่านมาเรื่อยๆ จนเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ ได้ทำการทำงานมีความรับผิดชอบมีหน้าที่ บางทีก็มีครอบครัว

สติปัญญาของเราก็มากขึ้นๆๆ จนกําลังสติของเราก็ไปวิเคราะห์เห็นสิ่งต่างๆ​ ตามความเป็นจริง อะไรคือรูปธรรม อะไรคือนามธรรม เขาก็จะเดินปัญญาทำความเข้าใจ รู้จักปล่อยรู้จักวางเอง หลวงพ่อก็เป็นแค่เพียงผู้ชี้ผู้แนะผู้บอกผู้เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำ พวกท่านคงไม่เข้าใจ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง