หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 054

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 054
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 054
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พระก็ดีชีก็ดีก็ขยันหมั่นเพียรกันนะ ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่นั่นไปอยู่ที่นี่จะเข้าใจ ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง มันก็ยากที่จะเข้าใจ เราต้องพยายามทำความเข้าใจทุกเรื่อง ชีวิตของเราอะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรม เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริญสุขได้อย่างไร เราจะอยู่กับสมมติ ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำได้อย่างไร

ทุกคนก็มีวิบากกรรมเหมือนกันหมด อาการขันธ์ห้านี่แหละคือตัววิบากกรรม ตัวขันธ์ห้า ตัวรูปธรรมนี่แหละ คือก้อนกรรมแท้ๆ เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็ร้อน ไม่อยู่ในอำนาจของจิต แต่วิญญาณหรือว่าดวงจิตของเราไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นของเราจริงๆ อันนี้ก็เป็นของเราจริงๆ นั่นแหละ เป็นของเราจริงๆ ในทางสมมติเท่านั้นเอง

ในหลักธรรมแล้วก็มีตั้งแต่ความว่างเปล่าๆ ถ้าเขาหมดเวลาแล้วเขาก็แตกดับสลายกลับคืนสู่สภาวะเดิม แต่จิตของเรานี่สิต้องไปก่อภพก่อชาติอีก ต้องไปเกิดอีก เราก็ต้องไปพยายามดับความเกิด สร้างกุศลกรรม คลายความหลง ดับความเกิดออกจากจิตจากใจของเราให้หมด จนกว่าจิตของเราจะไม่เกิด

ตราบใดที่จิตยังเกิดอยู่มันก็ต้องเกิด ถึงจิตยังเกิดอยู่ก็ต้องพยายามสร้างกุศล แล้วกลับมาไว้ให้เป็นเสบียงเป็นกองบุญกองทุนเพื่อที่จะเดินทางไปในวันข้างหน้า ทุกคนเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ เกิดแล้วก็ต้องตายอยู่ดี แต่จะตายช้าตายเร็วเท่านั้นเอง อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของธรรมชาติ ทีนี้เราก็มารอบรู้ทำความเข้าใจกับธรรมชาติตรงนี้เสีย เราก็ดับความเกิด ไม่ให้จิตเราไปเกิดก่อภพก่อชาติอีก

ก่อนที่จะดับความเกิดได้ เราก็ต้องคลายความหลง ชำระสะสางกิเลส ความทะเยอทะยานอยาก อยากทุกอย่างอยากทุกชนิด อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา แม้แต่จะอยากรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม เราก็ต้องละต้องดับ การดับ การควบคุมการแยก การทำความเข้าใจของเรามี เราก็จะได้เองนั่นแหละ

จิตไม่มีกิเลส จิตปราศจากกิเลส เขาก็สะอาดบริสุทธิ์ จิตปราศจากการเกิดเขาก็นิ่ง แต่เวลานี้เขาทั้งเกิดด้วยทั้งวิ่งด้วยทั้งหลงด้วยสารพัดอย่าง เราก็ต้องพยายามคอยสร้างอานิสงส์สร้างตบะ สร้างคุณงามความดีไปทีละเล็กทีละน้อย เขาก็จะค่อยอบรมบ่ม สติปัญญาก็จะค่อยอบรมบ่มจิตของเรา

อะไรควรหรือไม่ควร อะไรควรละ อะไรควรเจริญ เราก็ต้องพยายาม เราไม่เข้าใจแนวทาง เราก็ต้องแสวงหาแนวทาง แนวทางนั้นมีมาตั้งนานแล้วพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบตั้ง 2000 กว่าร้อยปีแล้ว แต่พวกเราจะเดินได้ถูกทางตามที่ท่านชี้แนะหรือไม่เท่านั้นเอง

ธรรมะก็มีอยู่ประจำสำหรับทุกคน จะอยู่ในระดับไหนเท่านั้นเอง ก็ต้องขยันหมั่นเพียรเอา การเจริญสติ การเจริญสมาธิ การรักษาศีล การเจริญภาวนา จุดมุ่งหมายก็เพื่อที่ชำระกิเลส คลายความหลงออกให้หมด เราอย่าไปยึดติดอยู่เพียงแค่รูปแบบ แค่ภายนอกเราพยายามเจาะให้เข้าถึงแก่น ทั้งแก่น ทั้งเปลือก ทั้งกระพี้ เขาก็อยู่ร่วมกันนั่นแหละ สมมติกับวิมุตติก็อยู่ร่วมกันนั่นแหละ ให้รู้ความเป็นจริงถึงจะได้ของดี

ถ้าไม่รู้ความเป็นจริงแล้ว มันก็มีตั้งแต่เอากิเลสมาปกปิดเอาไว้ แต่อยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่เป็นทาสของกิเลสทาสของอารมณ์อยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าเราไม่เข้าใจ ถ้าเราเข้าใจแล้วเอาอยู่กับที่นี้แหละ นั่งดูนอนดูเดินดูมันอยู่กับที่นี้แหละ จิตเกิดยังไง จิตส่งออกไปข้างนอกอย่างไร กิเลสมาบงการจิต ความทะเยอทะยานอยากเป็นอย่างไร เราต้องดูให้ละเอียด

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงสร้างความรู้สึกตัว หรือว่าเจริญสติระลึกรู้ หรือว่าเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราสร้างความรู้สึกตัวที่ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ลมหายใจยังวิ่งเข้าวิ่งออกที่ปลายจมูกของเราแล้วหรือยัง หรือว่ามันหนีไปเที่ยวตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เกิดมาก็หายใจอยู่แล้ว แต่เราขาดการสร้างความรู้ให้ต่อเนื่อง เรามีตั้งแต่ไปนึกไปคิดเอา อันนั้นก็เป็นปัญญาของโลกีย์ ปัญญาอยู่ในระดับของสมมติ ปัญญาในหลักธรรมจริงๆ แล้ว เราต้องมาสร้างความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน แล้วก็ทำความเข้าใจกับลักษณะของปัจจุบันธรรม เพียงแค่รู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่อง อันนี้เขาเรียก ‘รู้กาย’

ถ้าความรู้สึกตัวที่ต่อเนื่อง ต่อไปข้างหน้าก็รู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้การเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของความคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้า เขาเกิดอย่างไร ทำไมจิตของเราถึงไปหลงจนเป็นสิ่งเดียวกัน จนเกิดทิฐิ เกิดมานะ เกิดอัตตาตัวตน จิตของเราทำไมเป็นทาสของอารมณ์ ทำไมเป็นทาสของกิเลส ทำอย่างไรถึงจะแยกถึงจะคลายได้ เราต้องพยายามมาสังเกต มาวิเคราะห์บ่อย ๆ มาสำรวจบ่อยๆ สร้างความรู้ตัวขึ้นมา ถ้าความรู้สึกตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่

ถ้าเรานั่งเราก็สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจหายใจเข้าออก ถ้าเราจะลุกจะก้าวจะเดินเราก็พยายามเปลี่ยนความรู้สึกอยู่ที่ฝ่าเท้าของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเรายังไม่ได้ทำเลย เรายังไม่ได้สร้างเลย วันหนึ่งมีตั้งกี่ชั่วโมง สติมีไม่ต่อเนื่องกันสัก 5 นาที มันจะไปสู้กิเลสได้อย่างไร

เราต้องพยามสร้างกำลังสติให้มาก แล้วก็เจริญพรหมวิหาร สร้างตบะบารมี หมั่นตรวจสอบจิตของเราแต่ละวัน จิตของเรามีความเสียสละ มีศรัทธา มีความเชื่อมั่นในบุญในบาป ในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์หรือไม่ มีความละอายเกรงกลัวต่อบาปหรือไม่ จิตของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน ฝักใฝ่สนใจในทางดับทุกข์ในทางละทุกข์ อะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งทุกข์ เราต้องทำความเข้าใจ

ถ้าพูดเรื่องทุกข์กันแล้วไม่มีใครอยากจะสนใจกันเท่าไหร่ ถ้าพูดเรื่องสุขเรื่องสนุกสนานแล้วพากันชอบ ถ้าเราเข้าใจเรื่องทุกข์เราก็ละทุกข์ได้ ความสุขเราไม่อยากจะได้เขาก็จะเกิดขึ้นมาเองนั่นแหละ จิตที่ปราศจากกิเลสปราศจากความหลง ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น เขาก็สะอาดบริสุทธิ์มีความสุขอยู่ในตัว

แม้แต่สุขเราก็ไม่ให้หลงไม่ให้ยึด วางให้หมด แต่เราก็จะอยู่กับบุญ ตัวใจนั่นแหละคือตัวบุญ เราพยายามดูใจของเราให้เป็น ท่านถึงว่า ‘ทำใจให้เป็นบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ’ การเจริญสติ การรักษาศีล การเจริญภาวนา จุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะทำให้จิตของเราสะอาดให้บริสุทธิ์ ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ก็เกิดเพื่อที่จะเป็นเครื่องร้อยรัดให้เราได้เดินตรง ไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ให้ประมาท

จงเป็นบุคคลที่ตื่นอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามขัดเกลาตนเอง ไม่ว่าพระไม่ว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามกันนะ เพราะว่าทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีอานิสงส์กัน จะเร่งทำความเพียร ทำความเข้าใจได้ช้าได้เร็วก็ขึ้นอยู่กับความเพียรที่ถูกต้อง คนเราจะเดินถึงจุดหมายปลายทางได้ ก็เกิดจากการรู้แจ้งเห็นจริง ด้วยการเจริญสติการเจริญภาวนาเข้าไปทำความเข้าใจให้รู้จริงๆ

การได้เรียนการได้อ่านการได้ศึกษาการได้ค้นคว้า การได้ยินได้ฟังทุกคนผ่านมากันมาก ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ตั้งแต่เกิดมาจนถึงอายุปูนนี้ก็เยอะอยู่ ส่วนภพก่อนๆ หรือชาติก่อนๆ นั้นผ่านมามากต่อมากหลายกัปหลายกัลป์นั้น เราอย่าพึ่งไปกังวลกับมัน เอาอยู่ปัจจุบันนี้ให้ได้เสียก่อน ว่าจิตของเราเป็นอย่างไร สภาวะความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร เราจะแก้ไขอย่างไร เราทำปัจจุบันให้ดี ทางด้านรูปธรรมก็ทำปัจจุบันให้ดี ทางด้านจิตเราก็ดู ถ้าเราเข้าใจแล้วจิตกับกายเขาก็อยู่ร่วมกัน ธรรมกับโลกเขาก็อยู่ร่วมกัน เพียงแค่เราคลายจิตออกจากความหลง จากความยึดมั่นถือมั่น ให้เขารับรู้ในสิ่งต่างๆ มีสติคอยดู

แต่เวลานี้จิตของเรายังหลงอยู่ ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ เราอาจจะว่าเราไม่ได้ยึดมั่นถือถือมั่น เพราะเรายังแยกยังคลายไม่ได้ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง อาจจะสร้างคุณงามความดีอยู่ในระดับสมมติ อันนั้นก็เป็นตบะบารมีอยู่ระดับหนึ่ง ถ้าตราบใดที่เราสร้างความรู้สึกตัวได้ต่อเนื่อง แยกรูปแยกนามได้เมื่อไหร่ นั่นแหละเราถึงจะมองเห็นว่าเราหลง เราหลงในความคิด หลงในอารมณ์ ไม่รอบรู้ในกองสังขารของตัวเอง

กองสังขารมันมีอะไรบ้างที่พระพุทธองค์บอกว่าเป็นขันธ์ ขันธ์ของใครขันธ์ของมันอยู่ ขันธ์ของรูป ขันธ์ของนาม ขันธ์ของสัญญา ขันธ์ของความคิดอารมณ์ ตัววิญญาณมันไปเสวยอย่างไร มันเข้าไปรวมได้อย่างไรขณะที่มันเกิด ถ้าเรารู้เห็นลักษณะจิต เห็นลักษณะของการเข้าร่วมกันจริงๆ แล้ว จะมีตั้งแต่ความสุข สติก็จะตามดู ตามทำความเข้าใจ หมั่นอบรมหมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา

แต่เวลานี้จิตของคนเรามันเกิด ทั้งเกิดทั้งเร็วด้วยทั้งไปด้วยหลงด้วย มันก็หาข้ออ้างมาปิดกั้นตัวเองตลอดเวลา เราต้องหมั่นฝนสติของเราให้เร็วให้ไว หาเหตุหาผล ไปจำแนกแจกแจงจนจิตของเรารู้เห็นตามความเป็นจริงนั่นแหละ จนจิตของเรายอมจำนนนั่นแหละ เขาถึงจะปล่อยถึงจะวางได้ ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยเวลาทิ้ง ทุกคนมีเวลาเท่ากันหมด ทุกคนก็มีโอกาสเท่ากันหมด

อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ทุกคนก็มีการหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมารู้ตัวปุ๊บ เราก็พยามสร้างความรู้กายรู้จิต ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่มีนิวรณธรรมเข้าครอบงำไหม จิตของเรามีความกังวลไหม เกิดความฟุ้งซ่านไหม ใหม่ๆ จะอาจจะอึดอัดก็เป็นของธรรมดา ถ้าจิตตกกระแสธรรมเมื่อไหร่แล้ว จิตของเราก็จะโล่งก็จะโปร่ง การชำระสะสางกิเลสก็ต้องเข้มข้นขึ้นไปอีก ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง