หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 052
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 052
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งก่อน ตามความเป็นจริงต้องรู้ตัวให้ได้ทุกขณะลมหายใจเข้าออกให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่นแหละ ไม่ใช่ว่าให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะ อันนี้เป็นการย้ำ เป็นการเตือน เป็นการกระตุ้น เพื่อที่จะให้มีความรู้ตัวให้มีความรู้สึกที่ตื่นตัว แล้วก็พยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง
รู้จักควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ จิตของเราก่อตัวอย่างไร จิตของเราเกิดส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร จิตของเราเป็นกุศลหรือว่าอกุศล ตราบใดที่จิตยังเกิดอยู่ ตราบใดที่จิตยังหลงอยู่ เราก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ หมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา ทั้งภาระหน้าที่สมมุติ ทั้งภาระหน้าที่การศึกษาเรื่องนามธรรมว่าเขาเกิดอย่างไรเขาหลงอะไร ไม่ใช่ว่าจะปล่อยปละละเลยทุกเรื่อง
ตั้งแต่เราตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาปุ๊บเราก็รีบดูเรา รู้ความปกติ บางทีจิตก็ปกติอยู่ แต่เราขาดความรู้ตัว เวลาจิตเกิดจิตก่อตัว ธรรมชาติของจิต ถ้าจิตยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ยังคลายความหลงไม่ได้ ยังดับความเกิดไม่ได้ เขาก็เกิดอยู่อย่างนั้นแหละ ทั้งเกิดด้วยทั้งหลงในขันธ์ห้าด้วย เข้าไปรวมเข้ายึดกัน เราก็รู้เมื่อเขาเกิดแล้ว ถ้าเราแยกได้ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจดูให้ละเอียดแล้วก็ละ แล้วก็ดับความเกิดให้ได้อีก เขาก็จะกลับซึมเข้าไปสู่สภาพเดิม
เราต้องพยายามเด็ดขาด ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ ทำความเข้าใจกับกายของเรา อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรม แต่ส่วนมากคนไม่ค่อยจะสนใจตรงนี้ แต่การทำบุญการให้ทาน ศรัทธาของทุกคนก็น้อมเข้ามาในการทำบุญในการให้ทานอยู่
แต่การที่จะศึกษาเรื่องรูปเรื่องนาม เรื่องการเกิดการดับ ศึกษาเรื่องหลักของอริยสัจ จิตส่งออกไปข้างนอกได้อย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร นิวรณธรรมที่เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราเป็นลักษณะอย่างไร ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไหร่ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ละเอียดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม บุคคลที่สนใจก็มีอยู่ แต่มีน้อย บางทีก็สนใจอยู่ แต่สนใจไม่ต่อเนื่อง ได้ลุ่มๆดอนๆ เราต้องพยายาม ทำได้เท่าไหร่ก็ทำ ไม่ต้องไปรีบเร่ง ค่อยทำไปเรื่อยๆ แต่อย่าให้พลั้งเผลอ
ความรู้สึกตัวถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นใหม่ ไม่ใช่ว่าเราจะมาสร้างความรู้สึกตัวได้ตลอดหรอก เราสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องกัน แล้วก็แยกรูปแยกนามแล้วเขาก็จะเป็นเอง ขยันหมั่นเพียรในการวิเคราะห์ในการพิจารณา เขาก็จะเป็นอัตโนมัติของเขาเอง ถ้าเรายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ความรู้ตัวเราของเราจะพลั้งเผลอ ตามปกติก็พลั้งเผลออยู่แล้ว แม้ตั้งแต่เราสร้างขึ้นมาเราก็ยังพลั้งเผลอ พลั้งเผลอให้จิตส่งออกไป พลั้งเผลอให้ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต
ถ้าเราสังเกตทัน จิตกับความคิดเขาก่อตัว เขาจะเคลื่อนเข้าไปรวมกัน เขาจะแยกออกจากกัน นั่นแหละให้ตามทำความเข้าใจ ให้ตามดูตามรู้ตามเห็น ถ้าเราดูเรารู้เราเห็นตรงนี้ทุกเรื่องทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก กำลังความรู้ตัวของเราถึงจะเป็นมหาสติ ให้รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย แล้วก็ละได้ด้วย เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรื่องอนัตตา
แต่เราเข้าใจอยู่ในระดับหนึ่ง อัตตาก็คือร่างกายตัวตนของเรา อนัตตาคือฝ่ายนามธรรม แต่เราขาดการแยกจิตออกจากความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน ว่าเขารวมกันไปได้อย่างไร ซึ่งเป็นอาการเป็นกองๆ ขันธ์ๆ อยู่ในขันธ์ห้า ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่เหลือวิสัยหรอก
หมั่นสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ถ้าคนเรารู้จักบุญก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา ทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ แล้วก็ทำใจให้เป็นบุญ ก็จะได้เป็นบุคคลที่เข้าวัด เอาเรื่องของเราให้ดี แก้ไขหน้าที่การงานของเราให้ดี ทำหน้าที่ของเราให้ดี ก็จะส่งผลออกไปถึงภายนอก
ส่วนมากจะไปมุ่งเอาตั้งแต่ข้างนอกเสียก่อน อีกอย่างหนึ่งนั้นวิบากกรรมของแต่ละบุคคลก็ไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมาดี บางคนก็สร้างมายังไม่เต็มเปี่ยม เราจะไปรีบเร่งว่าต้องทำให้ได้ต้องเอาให้ได้ ก็ไม่ได้ ขอให้เราฝักใฝ่ ขอให้เราสนใจ ค่อยสร้างสะสมไป ตั้งแต่ก่อนความทุกข์ของเรามีมาก เราก็ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาลงไป ความทุกข์ก็จะคลายลงคลายลงจนกว่าเหือดแห้งไป
ไม่ใช่ว่าจะให้มันเด็ดขาดแค่ชั่วโมงนึงแค่วันนึง เราทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ ค่อยสร้างสะสมไปเรื่อยๆ การเจริญสติของเราก็มี อาจจะได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้ากาลเวลาพร้อม ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม กำลังสติก็จะเข้มแข็งขึ้น ความเด็ดขาดก็จะมีมากขึ้น กาลเวลาก็จะเป็นตัวบ่มตัวอบรม เราก็จะเข้าถึงความจริงของชีวิต ของตัวเราเองได้สักวันนึง เพราะว่าตามสภาพความเป็นจริงนั้น จิตของเราทุกคนนั้นก็สะอาดบริสุทธิ์อยู่แล้ว เพราะความไม่รู้ความหลงอวิชชาเท่านั้นเอง
การได้ยินการได้ฟังการได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม สติปัญญาทางโลกทุกคนก็พอที่จะทำความเข้าใจศึกษาได้ เราต้องหมั่นน้อมเข้าไปศึกษาให้รู้ความเป็นจริง ลักษณะของศีลสมาธิเป็นอย่างไร ปัญญาที่แยกรูปแยกนามเป็นอย่างไร ปัญญาที่ตามทำความเข้าใจ หรือว่าความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร ก็ต้องพยายามเอานะ
หลวงพ่อก็เป็นแค่เล่า เล่าของเก่าอยู่มาตั้งนานแล้ว เรื่องเก่าของเก่าอยู่อย่างนี้แหละ ถ้าคนเรารู้จักวิเคราะห์พิจารณาก็จะไปได้เร็วได้ไว เพียงแค่การสร้างความรู้ตัว หรือว่าเจริญสติ ลักษณะของสติปัจจุบันเป็นอย่างนี้ รู้ไม่เท่าทันจิต ควบคุมจิต การควบคุมจิตเป็นอย่างนี้ สมาธิเป็นอย่างนี้ ถ้าละความโลภ ละความโกรธ ละความอยาก
ตามความเป็นจริงแล้วไม่อยากจะพูดเลย เพราะว่าทุกคนก็รู้กันอยู่แล้ว ทุกคนก็เข้าใจกันอยู่แล้ว แต่การดับการละ การทำหน้าที่ได้เต็มที่นั้นก็ขึ้นอยู่แต่ละตัวของบุคคลแต่ละท่านเอง ถ้าคนมีสติมีปัญญาฟังนิดเดียว ไม่จำเป็นต้องไปฟังมากมาย การสร้างสติเป็นอย่างนี้ การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างนี้ ถ้าเรารู้ทันเขาก็จะแยกของเขาเอง ตามทำความเข้าใจก็จะเข้าสู่วิปัสสนา ทีนี้เราจะละได้หมดหรือละไม่ได้หมดก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา
อยู่คนเดียวก็ได้ฟังธรรม ถ้าเราเข้าใจ อยู่หลายคนเราก็ได้ฟังธรรม รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา มีตั้งแต่ความสุข มีตั้งแต่ความสนุกในการพิจารณาในการดูในการรู้ คลายออกให้หมดจากจิตของเรา อย่าให้หลงเหลือ แม้แต่ความอยากแม้แต่นิด อยากจะรู้ธรรม อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา เราดับความอยากที่เกิดจากจิตเสีย เปลี่ยนเป็นความต้องการของสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน ก็ต้องพยายามไปศึกษาวิเคราะห์ตัวของแต่ละบุคคลเอานะ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง แค่ย้ำแค่เตือนเท่านั้นเอง
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
รู้จักควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ จิตของเราก่อตัวอย่างไร จิตของเราเกิดส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร จิตของเราเป็นกุศลหรือว่าอกุศล ตราบใดที่จิตยังเกิดอยู่ ตราบใดที่จิตยังหลงอยู่ เราก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ หมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา ทั้งภาระหน้าที่สมมุติ ทั้งภาระหน้าที่การศึกษาเรื่องนามธรรมว่าเขาเกิดอย่างไรเขาหลงอะไร ไม่ใช่ว่าจะปล่อยปละละเลยทุกเรื่อง
ตั้งแต่เราตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาปุ๊บเราก็รีบดูเรา รู้ความปกติ บางทีจิตก็ปกติอยู่ แต่เราขาดความรู้ตัว เวลาจิตเกิดจิตก่อตัว ธรรมชาติของจิต ถ้าจิตยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ยังคลายความหลงไม่ได้ ยังดับความเกิดไม่ได้ เขาก็เกิดอยู่อย่างนั้นแหละ ทั้งเกิดด้วยทั้งหลงในขันธ์ห้าด้วย เข้าไปรวมเข้ายึดกัน เราก็รู้เมื่อเขาเกิดแล้ว ถ้าเราแยกได้ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจดูให้ละเอียดแล้วก็ละ แล้วก็ดับความเกิดให้ได้อีก เขาก็จะกลับซึมเข้าไปสู่สภาพเดิม
เราต้องพยายามเด็ดขาด ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ ทำความเข้าใจกับกายของเรา อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรม แต่ส่วนมากคนไม่ค่อยจะสนใจตรงนี้ แต่การทำบุญการให้ทาน ศรัทธาของทุกคนก็น้อมเข้ามาในการทำบุญในการให้ทานอยู่
แต่การที่จะศึกษาเรื่องรูปเรื่องนาม เรื่องการเกิดการดับ ศึกษาเรื่องหลักของอริยสัจ จิตส่งออกไปข้างนอกได้อย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร นิวรณธรรมที่เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราเป็นลักษณะอย่างไร ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไหร่ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ละเอียดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม บุคคลที่สนใจก็มีอยู่ แต่มีน้อย บางทีก็สนใจอยู่ แต่สนใจไม่ต่อเนื่อง ได้ลุ่มๆดอนๆ เราต้องพยายาม ทำได้เท่าไหร่ก็ทำ ไม่ต้องไปรีบเร่ง ค่อยทำไปเรื่อยๆ แต่อย่าให้พลั้งเผลอ
ความรู้สึกตัวถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นใหม่ ไม่ใช่ว่าเราจะมาสร้างความรู้สึกตัวได้ตลอดหรอก เราสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องกัน แล้วก็แยกรูปแยกนามแล้วเขาก็จะเป็นเอง ขยันหมั่นเพียรในการวิเคราะห์ในการพิจารณา เขาก็จะเป็นอัตโนมัติของเขาเอง ถ้าเรายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ความรู้ตัวเราของเราจะพลั้งเผลอ ตามปกติก็พลั้งเผลออยู่แล้ว แม้ตั้งแต่เราสร้างขึ้นมาเราก็ยังพลั้งเผลอ พลั้งเผลอให้จิตส่งออกไป พลั้งเผลอให้ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต
ถ้าเราสังเกตทัน จิตกับความคิดเขาก่อตัว เขาจะเคลื่อนเข้าไปรวมกัน เขาจะแยกออกจากกัน นั่นแหละให้ตามทำความเข้าใจ ให้ตามดูตามรู้ตามเห็น ถ้าเราดูเรารู้เราเห็นตรงนี้ทุกเรื่องทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก กำลังความรู้ตัวของเราถึงจะเป็นมหาสติ ให้รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย แล้วก็ละได้ด้วย เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรื่องอนัตตา
แต่เราเข้าใจอยู่ในระดับหนึ่ง อัตตาก็คือร่างกายตัวตนของเรา อนัตตาคือฝ่ายนามธรรม แต่เราขาดการแยกจิตออกจากความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน ว่าเขารวมกันไปได้อย่างไร ซึ่งเป็นอาการเป็นกองๆ ขันธ์ๆ อยู่ในขันธ์ห้า ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่เหลือวิสัยหรอก
หมั่นสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ถ้าคนเรารู้จักบุญก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา ทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ แล้วก็ทำใจให้เป็นบุญ ก็จะได้เป็นบุคคลที่เข้าวัด เอาเรื่องของเราให้ดี แก้ไขหน้าที่การงานของเราให้ดี ทำหน้าที่ของเราให้ดี ก็จะส่งผลออกไปถึงภายนอก
ส่วนมากจะไปมุ่งเอาตั้งแต่ข้างนอกเสียก่อน อีกอย่างหนึ่งนั้นวิบากกรรมของแต่ละบุคคลก็ไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมาดี บางคนก็สร้างมายังไม่เต็มเปี่ยม เราจะไปรีบเร่งว่าต้องทำให้ได้ต้องเอาให้ได้ ก็ไม่ได้ ขอให้เราฝักใฝ่ ขอให้เราสนใจ ค่อยสร้างสะสมไป ตั้งแต่ก่อนความทุกข์ของเรามีมาก เราก็ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาลงไป ความทุกข์ก็จะคลายลงคลายลงจนกว่าเหือดแห้งไป
ไม่ใช่ว่าจะให้มันเด็ดขาดแค่ชั่วโมงนึงแค่วันนึง เราทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ ค่อยสร้างสะสมไปเรื่อยๆ การเจริญสติของเราก็มี อาจจะได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้ากาลเวลาพร้อม ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม กำลังสติก็จะเข้มแข็งขึ้น ความเด็ดขาดก็จะมีมากขึ้น กาลเวลาก็จะเป็นตัวบ่มตัวอบรม เราก็จะเข้าถึงความจริงของชีวิต ของตัวเราเองได้สักวันนึง เพราะว่าตามสภาพความเป็นจริงนั้น จิตของเราทุกคนนั้นก็สะอาดบริสุทธิ์อยู่แล้ว เพราะความไม่รู้ความหลงอวิชชาเท่านั้นเอง
การได้ยินการได้ฟังการได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม สติปัญญาทางโลกทุกคนก็พอที่จะทำความเข้าใจศึกษาได้ เราต้องหมั่นน้อมเข้าไปศึกษาให้รู้ความเป็นจริง ลักษณะของศีลสมาธิเป็นอย่างไร ปัญญาที่แยกรูปแยกนามเป็นอย่างไร ปัญญาที่ตามทำความเข้าใจ หรือว่าความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร ก็ต้องพยายามเอานะ
หลวงพ่อก็เป็นแค่เล่า เล่าของเก่าอยู่มาตั้งนานแล้ว เรื่องเก่าของเก่าอยู่อย่างนี้แหละ ถ้าคนเรารู้จักวิเคราะห์พิจารณาก็จะไปได้เร็วได้ไว เพียงแค่การสร้างความรู้ตัว หรือว่าเจริญสติ ลักษณะของสติปัจจุบันเป็นอย่างนี้ รู้ไม่เท่าทันจิต ควบคุมจิต การควบคุมจิตเป็นอย่างนี้ สมาธิเป็นอย่างนี้ ถ้าละความโลภ ละความโกรธ ละความอยาก
ตามความเป็นจริงแล้วไม่อยากจะพูดเลย เพราะว่าทุกคนก็รู้กันอยู่แล้ว ทุกคนก็เข้าใจกันอยู่แล้ว แต่การดับการละ การทำหน้าที่ได้เต็มที่นั้นก็ขึ้นอยู่แต่ละตัวของบุคคลแต่ละท่านเอง ถ้าคนมีสติมีปัญญาฟังนิดเดียว ไม่จำเป็นต้องไปฟังมากมาย การสร้างสติเป็นอย่างนี้ การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างนี้ ถ้าเรารู้ทันเขาก็จะแยกของเขาเอง ตามทำความเข้าใจก็จะเข้าสู่วิปัสสนา ทีนี้เราจะละได้หมดหรือละไม่ได้หมดก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา
อยู่คนเดียวก็ได้ฟังธรรม ถ้าเราเข้าใจ อยู่หลายคนเราก็ได้ฟังธรรม รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา มีตั้งแต่ความสุข มีตั้งแต่ความสนุกในการพิจารณาในการดูในการรู้ คลายออกให้หมดจากจิตของเรา อย่าให้หลงเหลือ แม้แต่ความอยากแม้แต่นิด อยากจะรู้ธรรม อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา เราดับความอยากที่เกิดจากจิตเสีย เปลี่ยนเป็นความต้องการของสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน ก็ต้องพยายามไปศึกษาวิเคราะห์ตัวของแต่ละบุคคลเอานะ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง แค่ย้ำแค่เตือนเท่านั้นเอง
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา