หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 046

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 046
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 046
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเรา จะมีมากมีน้อยไม่สำคัญ มีมากเราก็ดูเรา มีน้อยเราก็ดูเรา ไม่มีเราก็ดูเรา

เจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ทำให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ มีความรู้สึกตัวขึ้นมาปุ๊บ ความรู้สึกรับรู้อยู่ปัจจุบันก็ตั้งมั่นขึ้นมา รู้การหายใจเข้าออก รู้ความปกติของจิต รู้ปัจจุบันธรรม มีสติระลึกรู้ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ จิตรับรู้อยู่ จะลุกจะก้าวจะเดินจิตก็นิ่ง สติพากายไป ล้างหน้าล้างตาทำกับข้าวกับปลา จะลุกจะก้าวจะเดินสติก็ตั้งมั่น ความรู้สึกตัวก็ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ พยายามฝึกตรงนี้ให้เกิดความเคยชิน

ถ้ากำลังความรู้สึกตัวของเรามีความเคยชินแล้ว เขาก็จะมากขึ้นเขาก็จะรู้เท่าทันจิต รู้ความปกติ รู้อาการของจิตเวลาเกิด อาการของขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิต รู้ไม่ทันเราก็ควบคุมเอาไว้ รู้จักดับ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สมถะ’ สมถะเข้าไปดับควบคุมเอาไว้

ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะฝืนอยู่บ้างก็ธรรมดา เพราะว่าความไม่เคยชิน ความไม่เคยชินในการสร้างความรู้สึกตัว นานๆ ถึงได้สร้างที ถ้าคนที่สร้างประจำจะรู้ตัวทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก นี่เรียกว่า ‘รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ ไม่ใช่ว่าปัจจุบันชั่วโมงนี้นาทีนี้ อันนั้นเป็นปัจจุบันในทางโลก ปัจจุบันในทางธรรมก็คือความรู้สึกรับรู้อยู่ในทุกขณะ แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง

ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ จิตจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ หมั่นสำรวจตรวจตราดูตัวเราตลอดเวลา อยู่คนเดียวเราก็พยายามวิเคราะห์เรา กายของเราเป็นอย่างไร จิตของเราเป็นอย่างไร ภาระหน้าที่ของเราราบรื่นดีอยู่หรือไม่ สมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะว่าทุกคนเกี่ยวเนื่องอยู่กับสมมติ กายของเรานี่แหละก้อนสมมติ จะไปทิ้งสมมติไม่ได้หรอก กายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ อาศัยโลกธรรมแปดอยู่ แต่เราต้องทำความเข้าใจ ไม่ให้จิตของเราเข้าไปยึดมั่นถือมั่น

คลาย เราคลายความหลงแยกรูปแยกนามภายในแล้ว เราก็คลายสมมติวางสมมติได้ระดับหนึ่ง ทีนี้ชำระสะสางกิเลสก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา พยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นสำรวจตรวจตราดูอยู่ตลอดเวลา ให้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเรา พยายามแข่งขันกับตัวเราเอง ไม่จำเป็นต้องไปแข่งขันกับคนโน้นคนนี้ พยายามแข่งขันกับตัวเรา ชนะตัวเราเองให้ได้ แก้ไขตัวเราเองให้ได้ สักวันนึงเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง ตราบเท่าที่เรายังเดินอยู่ ยังแสวงหาอยู่

เราแสวงหาธรรมเราย่อมจะรู้ธรรม แสวงหาโลกเราย่อมจะรู้โลก แต่เราก็ต้องทำความเข้าใจหมดทั้งโลกทั้งธรรม เพราะว่าธรรมกับโลกก็อาศัยกันอยู่ กายของเราก็เป็นก้อนโลกอยู่ ถ้าจิตของเราปล่อยวางเมื่อไหร่ นั่นแหละกายของเราก็เป็นก้อนธรรม จิตก็มาอาศัยกายอยู่ แต่มายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตน ก็เลยเกิดอัตตาตัวตน เกิดทิฐิเกิดมานะ เกิดกิเลสความทะเยอทะยานอยากหมักหมมเข้ามาสะสมเข้าไปเรื่อยๆ มันก็เลยเยอะขึ้นๆๆ เราจะมาคลายแค่วันสองวันมันก็ยาก

เราพยายามคลายแล้วก็เจริญพรหมวิหารสร้างตบะบารมีให้เต็มเปี่ยม ศรัทธาของเราเชื่อมั่นในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อมั่นในบุญในบาป แล้วก็มาศึกษาการสร้างสติเป็นอย่างนี้ จุดมุ่งหมายของการเจริญสติอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบไม่รู้อะไร เขาพาทำอะไรก็ทำ พาเดินก็เดิน พานั่งก็นั่ง ไม่รู้ว่าการสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเป็นอย่างไร เราต้องพยายามทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงความหมาย ความหมายของการเจริญสติก็เพื่อที่จะเข้าไปรู้เท่าทันจิต ชำระสะสางกิเลส สำรวจตรวจตราจิตของเราตลอดเวลา

จิตของเราเป็นกุศลหรือว่าเป็นอกุศล จิตของเราสงบ สงบจากกิเลส สงบจากความยึดมั่นถือมั่น สงบจากขันธ์ห้า หรือว่าจิตของเรายังหลงระเริงอยู่กับรูปรสกลิ่นเสียง หรือว่าจิตของเรายังมีความเกียจคร้าน เราก็ต้องพยายามสำรวจดู คนขยันหมั่นเพียรเท่านั้นแหละที่จะถึงจุดหมายปลายทางได้ ขยันหมั่นเพียรให้ถูกทาง ขยันหมั่นเพียรในการชำระสะสางกิเลสออกจากใจของตัวเราเอง

อะไรที่เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเรา พวกนิวรณธรรมต่างๆ พวกมลทินต่างๆ ถ้าเราไม่ช่วยเหลือตัวเองแก้ไขตัวเอง ไม่มีใครจะช่วยเราได้หรอก การทำบุญการให้ทานนั้นพวกเราได้มีโอกาสได้ทำร่วมกัน มีโอกาสได้สร้างอานิสงส์ร่วมกันทางด้านวัตถุทานทางด้านสมมติ แต่ทางด้านวิมุตติทางด้านจิต การเจริญสติการเจริญสมาธิอันนี้เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่จะทำ

ใหม่ๆ เราไม่เข้าใจ เราก็แสวงหาสถานที่ แสวงหาครูบาอาจารย์ บางทีก็ไปอยู่ที่โน่นบ้างไปอยู่ที่นี่บ้าง อันนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่ว่าไม่ดี ไปฝึกกับครูบาอาจารย์องค์นั้นบ้างองค์นี้บ้าง ถึงเรายังเดินปัญญาแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็เป็นการสร้างบารมีสร้างตบะให้กับตัวเรา เป็นการสร้างสะสมคุณงามความดี ถ้าถึงเวลาแล้วกำลังสติกำลังสมาธิของเรามีมากเพียงพอ เราก็คงจะสังเกตรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันขันธ์ห้า แยกรูปแยกนาม

ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้เมื่อไหร่ เราก็จะมองเห็นทาง สัมมาทิฐิ ความรู้เห็นที่ถูกต้องก็จะเปิดทางให้เรา สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงในความคิดในอารมณ์ หรือรอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในหลักของอริยสัจ การเกิดของจิตที่ส่งออกไปภายนอก เราก็น้อมเข้าสู่หลักอริยสัจ

เรื่องอะไรที่เขาเกิด เราดับเราควบคุมได้หรือไม่ บางทีก็ขันธ์ห้าผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจนั่นแหละ เขาผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิดตรงนั้นได้อย่างไร เขาเร็วไวมากทีเดียวจนเรารู้เพียงแค่ว่าเราคิด ขณะที่จิตกับกันธ์ห้าเขารวมกันไปแล้ว ก็เลยทำตามความคิด รู้เห็นอยู่ แต่แยกไม่ได้ มันยังหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ เราต้องอดต้องข่ม ต้องฝืนเพื่อที่จะคลายความหลงให้ได้

ถ้าเราคลายได้ ถ้ากำลังสติของเราไม่ตามทำความเข้าใจ เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม ถ้าเราคลายได้แยกได้จิตก็จะว่าง กายก็จะเบา กำลังสติก็จะตามดูตามรู้ตามเห็นการเกิดการดับ เขาเรียกว่า ‘รู้สภาวะธรรม’ ในขันธ์ห้า เรื่องอะไรที่เขาเกิด เรื่องอดีตบ้างอนาคตบ้างเป็นกลางๆบ้าง เป็นกุศลหรือว่าเป็นอกุศลบ้าง ถ้าเราตามทำความเข้าใจทุกเรื่องทุกอย่าง กำลังสติก็จะพุ่งเป็นมหาสติ เอาไม่อยู่ ต้องพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง แล้วก็ชำระสะสางกิเลส จิตจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กาย หรือเกิดขึ้นที่จิต จิตปรุงแต่งร่วมหรือไม่ หรือเกิดขึ้นจากภายในโดยตรง

ตามทำความเข้าใจจนจิตรู้เห็นตามความเป็นจริง จิตจะเกิดความเบื่อหน่ายเอง ถ้าเราตามเพียงแค่นิดๆหน่อยๆ จิตก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม เราต้องตามทำความเข้าใจทุกกระเบียดนิ้วเลย ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ไม่ให้คลาดสายตาของสติปัญญาของเราได้เลย

ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่จิต เราก็พยายามดับ จิตก่อตัวปุ๊บก็เริ่มดับ ดับจิตก็จะนิ่ง ถ้าเราไม่ดับก็เหมือนกับเพิ่มอาหารให้กิเลส เราพยายามดับ ถึงจะดีถึงขนาดไหนเราก็พยายามดับ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีความรู้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญญา เราดับให้จิตของเราสงบ หนุนกำลังสติเข้าไปวิเคราะห์ก็เป็นปัญญา แต่ถ้าเราตามดูรู้เห็นอาการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต อันนี้ก็เป็นตัววิปัสสนา เป็นตัววิปัสสนารู้แจ้งเห็นจริง ตามดูตามรู้ตามเห็น ดูทุกเรื่องเขาก็จะลงไตรลักษณ์ทุกเรื่อง ลงความว่างทุกเรื่อง

เมื่อรู้ความจริงแล้ว จนขี้เกียจตามแล้ว จิตก็จะเกิดเบื่อหน่ายเอง เบื่อหน่ายแล้วหนีไม่พ้นเขาก็จะอยู่อุเบกขารับรู้ เมื่อเรารู้ความจริงแล้ว เมื่อความคิดขันธ์ห้าเข้ามาเราก็รู้จักดับ ดับทีนั้นทีนี้เขาก็เหือดแห้งไป ถ้ากำลังสติเราพลั้งเผลอเมื่อไหร่เขาก็แอบเข้ามา เราก็ต้องพยายาม

จิตจะเกิดกิเลสอยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากไปไม่อยากมา แม้แต่การเกิดเราก็ต้องดับ ดับที่นั้นทีนี้เขาก็ไม่เกิดนั่นแหละ ไม่อยากจะกลับมาเกิดก็ต้องดับความเกิดเสีย จิตของเราเกิดไปก่อภพก่อก่อชาติ เกิดเราก็เกิดมาในภพมนุษย์ แล้วเราก็พยายามวิเคราะห์พิจารณาเสีย ดับความเกิดเสีย กายของเราก็เดินตามทางของเขา ไปตามสภาพของเขา เกิดขึ้นมาแล้วก็โตขึ้นมา แล้วก็แก่แล้วก็เจ็บ อีกซักหน่อยเราก็ตายไป ขณะที่ยังไม่ถึงวาระเวลาเราก็ทำความเข้าใจ ดูแลเขารักษาเขา เพื่อที่จะประคับประคองให้ถึงฝั่งให้เร็วให้ไว ก็ต้องพยายามกันนะ

ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ออกพรรษาก็ยิ่งทำความเพียรให้หนัก ไม่ใช่ว่าจะทำความเพียรเฉพาะอยู่ในพรรษาเท่านั้น ทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามีประโยชน์มหาศาล ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง ดูตัวเรารู้ตัวเรา ถ้าเราฝึกฝนให้เกิดความเคยชินเกิดความชำนาญแล้ว สติสมาธิปัญญาเขาก็จะรักษาเราเอง ทั้งสติทั้งจิตทั้งความคิดทั้งอารมณ์ต่างๆ เราต้องศึกษาค้นคว้าให้ละเอียด เมื่อจิตรู้ความจริงแล้วเขาไม่เกิดหรอก เป็นทาสของอารมณ์เขาก็ไม่เกิด เป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา การเกิดเป็นทุกข์ เราก็มาดับการเกิด มาละกิเลสแล้วก็มาดีบการเกิดเสีย

ส่วนมากมีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยาก ในหลักธรรมท่านว่ากิเลสตัณหา ความทะเยอทะยานอยากซึ่งเป็นยางเหนียว เราก็พยายามมาขัดมาเกลา ไม่ใช่ว่าจะขัดเกลาทีเดียววันหนึ่งวันเดียวมันจะหลุดมันจะร่อน มันต้องค่อยเป็นค่อยไป ค่อยวิเคราะห์ค่อยพิจารณา ค่อยชำระสะสาง มีความจริงใจ มีความเชื่อมั่นในตัวเองในทางที่ถูกในทางที่ควร แล้วก็ขยันหมั่นเพียร บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา สักวันนึงเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง

เราแสวงหาสิ่งใดเราก็ย่อมจะรู้สิ่งนั้น ถ้าเราแสวงหาธรรม อะไรคือธรรม ก็ดวงจิตของเรานั่นแหละคือตัวธรรม ถ้าจิตไปหาธรรม มันไม่เจอหรอก จิตไปหาจิตไม่เจอหรอก เราต้องสร้างผู้รู้ คือเจริญสติ สร้างความรู้สึกตัวๆ ใหม่เข้าไปดู ขณะที่เราสร้างนั้นบางทีจิตของเรายังส่งออกไปภายนอกอยู่ นั่นแหละเราก็จะเห็นเป็น 2 ส่วนอยู่

ถ้าเรารู้จักควบคุมจนกว่าเราจะสังเกตจิตกับความคิดเขาแยกออกจากกันได้ เราก็จะมองเห็นเป็น 3 ส่วน ลักษณะอาการของสามส่วนอีก สติ จิต ความคิด ลึกลงไปอีกในความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตเป็นเรื่องอะไรอีก เรื่องอดีตเขาเรียกว่า ‘กองสัญญา’ เรื่องความคิดทุกชนิดที่มาปรุงแต่งจิตเรียกว่า ‘กองสังขาร’

ตัววิญญาณตัวสุดท้ายนั่นแหละ มันเข้าไปรวมเข้าไปร่วมกับเขา ซึ่งหลวงพ่อชอบจะพูดว่า ‘จิต’ อยู่ตลอดเวลา ก็ตัววิญญาณตัวสุดท้ายในขันธ์ห้านั่นแหละ มันเคลื่อนเข้าไปรวมซึ่งก็ไปด้วยกันเราก็เคยชินอยู่กับความคิดปัญญาตรงนี้อยู่ ถ้าเรามาฝึกมาแยกใหม่ๆ มันก็อาจจะเกิดความไม่เคยชิน เราก็ต้องพยายาม หมั่นแก้ไขปรับปรุงตัวเรานะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี

เอาละ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสาน ทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง