หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 045
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 045
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้ของการหายใจเข้าออกของตัวเราเอง นั่งตามอิริยาบถให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ นั่งให้สบายที่สุด ไม่ต้องไปเกร็งร่างกาย แล้วก็ไม่ต้องไปเพ่งไปจดไปจ่อไปจ้อง วางใจทุกสิ่งทุกอย่าง หยุดคิดดับความคิดดับความกังวล ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา
ฟังไปด้วยแล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความคิดต่างๆ ก็จะดับก็จะหยุด กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ เราพยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ลุกจากที่ ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่เลยทีเดียว ตั้งแต่รู้ตัว ความรู้สึกก็จะตั้งมั่นขึ้น นั่นแหละสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน
รู้กาย เราก็พยายามประคับประคองความรู้สึกให้ต่อเนื่อง จะลุกจะก้าวจะเดินก็รู้กาย รู้ความปกติของจิต จะเห็นเป็น 2 ส่วน ความรู้สึกตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้ เขาเรียกว่า ‘สติ’ ถ้ารู้ได้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ จิตปกติเราก็รู้ปกติ จะลุกจะก้าวจะเดิน จิตรับรู้อยู่ในกาย สติคอยดูรู้อยู่ ความรู้สึกรับรู้ของการเดิน จิตก็จะรับรู้ตั้งแต่ก้าวแรก จะเข้าห้องส้วมเข้าห้องน้ำจิตก็นิ่งอยู่ จะทำกับข้าวกับปลาจิตก็นิ่งอยู่ จะล้างหน้าล้างตาจิตก็นิ่งอยู่ นั่นแหล่ะเราต้องเอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเราจะไปฝึกเฉพาะเวลาไปตั้งใจทำตั้งสติทำเวลาเดินเวลานั่ง ทีละ 5 นาที 10 นาที ทีละชั่วโมง ไปนั่ง อันนั้นเป็นแค่เพียงอิริยาบถของกายเท่านั้นแหละ
เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติระลึกรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าความรู้สึกตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ เราอย่าไปเกียจคร้านในการสร้างความรู้สึกตัวตรงนี้ อย่างอื่นค่อยว่ากัน ได้ปัญญารอบรู้ในความคิดในอารมณ์ อันอื่นค่อยว่ากัน
เพียงแค่สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เขาจะค่อยๆ รู้จากน้อยๆ ไปหามากๆ ส่วนธรรมชาติของจิตนั้นเวลานี้เขายังเกิดส่งออกไปภายนอกอยู่ เขายังหลงอยู่ บางทีก็ความคิดอาการของขันธ์ห้าก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตอยู่ มีกันทุกคนนั่นแหละ จะมีมากหรือว่ามีน้อยเท่านั้นเอง เราต้องพยายามหมั่นสร้างความรู้ตัว แล้วก็รู้ลักษณะอาการของจิต
เวลาจิตเกิดจิตก่อตัว เรารู้จักดับรู้จักควบคุม เราดับควบคุมจิตแล้วก็สังเกตการเกิดของขันธ์ห้า ขณะขันธ์ห้าเขาเกิด จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง แล้วก็เร็วไวมากทีเดียว ขณะที่เขาเคลื่อนเขาไปรวม ถ้าเรารู้เท่าทันตอนนั้น จิตก็จะดีดตัวออกจากความคิดออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’
ถ้ารู้เห็นตรงนี้ชัดเจนเราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตาทันที เข้าใจในเรื่องอนัตตา พอแยกออกดีดออก เขาก็จะว่างโล่งโปร่ง กายก็จะเบา จิตก็จะว่าง ในความว่างนั้นมีดวงจิตอยู่ สติก็ตามความรู้ตัวของเรารู้อาการเกิดการดับของขันธ์ห้านั่นแหละ พอเขาจบลง อนัตตาความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฎ นี่แหละเขาเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร
เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นมา บางทีก็เป็นเรื่องอดีตบางทีก็เป็นเรื่องอนาคต บางทีก็เป็นกลางๆ ที่พระพุทธองค์บอกว่าเป็นขันธ์เป็นกองของใครกองของมันอยู่ จิตของเราเข้าไปรวมทำให้เกิดอัตตา กายก็เลยหนัก จิตก็เลยหนัก อวิชชาความไม่รู้ตรงนี้มาครอบเอาไว้ ก็เลยเกิดความหลง แถมมิหนำซ้ำจิตของเราก็ยังเป็นทาสของกิเลสอีกด้วย เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลส มีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยาก
ความอยากทุกชนิดนั่นแหละ อยากอย่างหยาบอยากอย่างละเอียด แต่อยาก ความอยากอย่างหยาบนี่จะมองเห็นได้ชัดเจน ความอยากอย่างละเอียดนี้จะยาก ถ้าไม่วิเคราะห์จริงๆ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากไปไม่อยากมา แม้ตั้งแต่อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้รับความสงบ อยากจะได้รับความสุข ก็ปิดกั้นเอาไว้หมดเลยทีเดียว ถ้าเป็นความอยากที่เกิดจากตัวจิต
ท่านถึงบอกว่าที่ละทฏฐิละความคิดเห็นเก่าๆ ที่เกิดจากจิตเกิดจากปัญญาเก่าๆ น้อมนำเอาปัญญาของพระพุทธองค์เอาไปวิเคราะห์เอาไปใช้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ เรารู้ไม่ทันต้นเหตุของจิตเรา ก็ใช้สมถะเข้าไปดับเข้าไปควบคุม ขณะที่จิตเกิดนั่นแหละ ขณะที่ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตนั่นแหละ
ถ้าเรารู้ต้นเหตุไม่ทัน เราก็รู้จักควบคุมรู้จักดับเอาไว้ กำลังสติก็จะมากขึ้น กำลังจิตก็จะนิ่งขึ้น ถ้าเราสังเกตทันเมื่อไหร่เขาแยกกันได้เมื่อไหร่นั่นจิตว่าง สติของเราก็จะตามดู ไม่ใช่ว่าไม่ให้ตามดูนะ ให้ตามดูขันธ์ห้าให้จบเรื่องทุกเรื่อง ให้จิตรับรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง ถ้าจิตเข้าไปรวมกับความคิดนั้นถึงให้ดับให้หยุด ถ้าเราดับไม่ได้หยุดไม่ได้ก็นั่งดู สติดูรู้ไปจนจบเรื่อง เมื่อเขาอ่อนกำลังแล้วค่อยดับค่อยควบคุมใหม่ จนกว่าเราจะแยกได้ตามดูได้ก็จะเข้าสู่วิปัสสนา
วิปัสสนาคือรู้แจ้งเห็นจริง สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงข้อแรกในอริยมรรคมีองค์แปดเลยทีเดียว ถ้ารู้แจ้งเห็นจริงแล้วก็ตามทำความเข้าใจมันก็ถูกไปตลอดสาย อะไรเป็นกุศล หรือว่าอะไรเป็นอกุศลเราก็รู้จักละรู้จักดับ ทุกคนมีบารมีกัน สร้างบารมีมาดี เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคนก็มีศรัทธาน้อมกายเข้ามา แต่อยู่ในระดับของการให้ทานสร้างบารมีทานกันเยอะ
แต่การเจริญสติที่ต่อเนื่องเข้าไปเดินปัญญาแยกรูปแยกนาม เพียงแค่สร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราสร้างได้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง วันทั้งวันความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเรามีต่อเนื่องกันถึง 5 นาทีไหม 10 นาทีไหม ทำอย่างไรถึงรู้ตัวได้ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก อันนี้ต้องขยันมันเพียรจริงๆ ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ตามทำความเข้าใจได้ ตามดูตามรู้ตามเห็นได้กำลังสติถึงจะเป็นมหาสติ
ถึงเราแยกได้ เราไม่ตามทำความเข้าใจได้ เราไม่ตามทำความเข้าใจทุกเรื่อง เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม เราแยกได้ตามดูได้ เราก็มาละกิเลสอีก มาทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจแล้วค่อยนิวรณธรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราเป็นอย่างไร ขนาดตื่นตัวอยู่นี้จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง ในเรื่องของราคะ รูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาทเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม แล้วก็รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี จิตของเรามีความฟุ้งซ่านเรื่องอะไร เราก็รู้จักดับ
สติของเราพลั้งเผลอ ความรู้สึกตัวเราพลั้งเผลอ เราก็พยามกระตุ้นความรู้สึกขึ้นมาใหม่ เขาจะอ่อนตัวลงอย่างไร เขาจะขาดอย่างไร เราก็พยายามสังเกตดู เราก็พยายามรู้ สมองส่วนบนนี่แหละส่วนสติ ใจของเรา หรือว่าจิตของเราวิญญาณของเราอยู่กลางใจนั่นแหละ ให้พยายามสังเกตดูดีๆ
อย่างเวลาเราตกใจ ใจมันจะผวาอยู่ตรงไหน มันจะเกิดอยู่ตรงไหน เกิดความสุข เวลาเกิดปิติ ทำอะไรได้รับความสำเร็จลุล่วงลงไป เกิดความสุขเกิดปิติ ใจของเรามันเกิดขึ้นที่ตรงไหน เราพยายามดูอยู่ รู้อยู่ที่ตรงนั้น ก็อยู่ที่กลางใจของเรานั่นแหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก แต่เราขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ที่ต่อเนื่อง แล้วก็ขาดการรักษา ก็เลยปล่อยเลยตามเลยๆ จากวันเป็นเดือนเป็นปี หลายปี ไม่ใช่เฉพาะหลายปี หลายภพด้วยหลายกัปหลายกัลป์ด้วย
เราก็ต้องพยายามฝึกฝนตนตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเราแล้ว ไม่มีใครจะแก้ไขที่เราได้ จะไปฝึกหัดปฏิบัติธรรมที่นั่นฝึกหัดปฏิบัติทำที่นี่ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นการสร้างบารมีให้กับตัวเรา ถึงเราไม่เข้าใจเราก็พากันไปเถอะขณะที่มีกำลัง ครูบาอาจารย์ท่านไหนที่ท่านชี้แนะแนวทางให้ เราก็ไปประพฤติไปปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเอง ถ้าถึงเวลาแล้วก็ตัวเรานั่นแหละเป็นอาจารย์ของเรา สติของเราที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบจิตของเรา นอกนั้นก็เป็นการสร้างบารมี
ถ้าเรารู้จักจิต รู้จักเดินปัญญาทำความเข้าใจได้ เราก็จะได้ฟังธรรมะตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ให้พยายามทำความเพียร ขณะที่หมดกำลังแล้วก็คงจะหมดสภาพ พยายามทำดำเนินไป ล้มแล้วก็ลุกใหม่ๆ พลั้งเผลอเราก็เริ่มต้นใหม่แก้ไขใหม่อยู่ตลอดเวลา รู้จักหนทาง รู้จักสร้างความเพียรอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ปล่อยให้ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำ เราจงเป็นนายอยู่เหนือกิเลส อย่าให้กิเลสมาเป็นนายเหนือเรา
ทำความเข้าใจกับสมมติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ กายของเรานี่แหละก้อนสมมติ ตัวจิตนี่แหละคือตัววิมุตติ แต่เวลานี้เขายังหลงอยู่ เขาก็เลยกลายเป็นทาสของสมมติ เรามาแยกมาคลายมาชำระสะสางกิเลส พวกเรามีโอกาสมากที่สุดเลย ทุกคนมีโอกาสทุกคนมีเวลาเหมือนกันหมด จะมีมากมีน้อย จะบริหารเวลาได้ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง จะใช้เวลาให้เกิดประโยชน์หรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน
ไม่ว่าผู้หญิงหรือว่าผู้ชายก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีอย่าพากันเกียจคร้าน ทุกคนเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เกิดมาก็เพื่อที่จะสร้างความบริสุทธิ์ความสะอาดให้จิตของตัวเราเอง จะเดินถึงช้าหรือถึงเร็วก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง จงพากันไปสร้างไปทำไปสานต่อกันนะ
ฟังไปด้วยแล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความคิดต่างๆ ก็จะดับก็จะหยุด กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ เราพยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ลุกจากที่ ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่เลยทีเดียว ตั้งแต่รู้ตัว ความรู้สึกก็จะตั้งมั่นขึ้น นั่นแหละสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน
รู้กาย เราก็พยายามประคับประคองความรู้สึกให้ต่อเนื่อง จะลุกจะก้าวจะเดินก็รู้กาย รู้ความปกติของจิต จะเห็นเป็น 2 ส่วน ความรู้สึกตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้ เขาเรียกว่า ‘สติ’ ถ้ารู้ได้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ จิตปกติเราก็รู้ปกติ จะลุกจะก้าวจะเดิน จิตรับรู้อยู่ในกาย สติคอยดูรู้อยู่ ความรู้สึกรับรู้ของการเดิน จิตก็จะรับรู้ตั้งแต่ก้าวแรก จะเข้าห้องส้วมเข้าห้องน้ำจิตก็นิ่งอยู่ จะทำกับข้าวกับปลาจิตก็นิ่งอยู่ จะล้างหน้าล้างตาจิตก็นิ่งอยู่ นั่นแหล่ะเราต้องเอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเราจะไปฝึกเฉพาะเวลาไปตั้งใจทำตั้งสติทำเวลาเดินเวลานั่ง ทีละ 5 นาที 10 นาที ทีละชั่วโมง ไปนั่ง อันนั้นเป็นแค่เพียงอิริยาบถของกายเท่านั้นแหละ
เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติระลึกรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าความรู้สึกตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ เราอย่าไปเกียจคร้านในการสร้างความรู้สึกตัวตรงนี้ อย่างอื่นค่อยว่ากัน ได้ปัญญารอบรู้ในความคิดในอารมณ์ อันอื่นค่อยว่ากัน
เพียงแค่สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เขาจะค่อยๆ รู้จากน้อยๆ ไปหามากๆ ส่วนธรรมชาติของจิตนั้นเวลานี้เขายังเกิดส่งออกไปภายนอกอยู่ เขายังหลงอยู่ บางทีก็ความคิดอาการของขันธ์ห้าก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตอยู่ มีกันทุกคนนั่นแหละ จะมีมากหรือว่ามีน้อยเท่านั้นเอง เราต้องพยายามหมั่นสร้างความรู้ตัว แล้วก็รู้ลักษณะอาการของจิต
เวลาจิตเกิดจิตก่อตัว เรารู้จักดับรู้จักควบคุม เราดับควบคุมจิตแล้วก็สังเกตการเกิดของขันธ์ห้า ขณะขันธ์ห้าเขาเกิด จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง แล้วก็เร็วไวมากทีเดียว ขณะที่เขาเคลื่อนเขาไปรวม ถ้าเรารู้เท่าทันตอนนั้น จิตก็จะดีดตัวออกจากความคิดออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’
ถ้ารู้เห็นตรงนี้ชัดเจนเราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตาทันที เข้าใจในเรื่องอนัตตา พอแยกออกดีดออก เขาก็จะว่างโล่งโปร่ง กายก็จะเบา จิตก็จะว่าง ในความว่างนั้นมีดวงจิตอยู่ สติก็ตามความรู้ตัวของเรารู้อาการเกิดการดับของขันธ์ห้านั่นแหละ พอเขาจบลง อนัตตาความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฎ นี่แหละเขาเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร
เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นมา บางทีก็เป็นเรื่องอดีตบางทีก็เป็นเรื่องอนาคต บางทีก็เป็นกลางๆ ที่พระพุทธองค์บอกว่าเป็นขันธ์เป็นกองของใครกองของมันอยู่ จิตของเราเข้าไปรวมทำให้เกิดอัตตา กายก็เลยหนัก จิตก็เลยหนัก อวิชชาความไม่รู้ตรงนี้มาครอบเอาไว้ ก็เลยเกิดความหลง แถมมิหนำซ้ำจิตของเราก็ยังเป็นทาสของกิเลสอีกด้วย เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลส มีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยาก
ความอยากทุกชนิดนั่นแหละ อยากอย่างหยาบอยากอย่างละเอียด แต่อยาก ความอยากอย่างหยาบนี่จะมองเห็นได้ชัดเจน ความอยากอย่างละเอียดนี้จะยาก ถ้าไม่วิเคราะห์จริงๆ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากไปไม่อยากมา แม้ตั้งแต่อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้รับความสงบ อยากจะได้รับความสุข ก็ปิดกั้นเอาไว้หมดเลยทีเดียว ถ้าเป็นความอยากที่เกิดจากตัวจิต
ท่านถึงบอกว่าที่ละทฏฐิละความคิดเห็นเก่าๆ ที่เกิดจากจิตเกิดจากปัญญาเก่าๆ น้อมนำเอาปัญญาของพระพุทธองค์เอาไปวิเคราะห์เอาไปใช้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ เรารู้ไม่ทันต้นเหตุของจิตเรา ก็ใช้สมถะเข้าไปดับเข้าไปควบคุม ขณะที่จิตเกิดนั่นแหละ ขณะที่ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตนั่นแหละ
ถ้าเรารู้ต้นเหตุไม่ทัน เราก็รู้จักควบคุมรู้จักดับเอาไว้ กำลังสติก็จะมากขึ้น กำลังจิตก็จะนิ่งขึ้น ถ้าเราสังเกตทันเมื่อไหร่เขาแยกกันได้เมื่อไหร่นั่นจิตว่าง สติของเราก็จะตามดู ไม่ใช่ว่าไม่ให้ตามดูนะ ให้ตามดูขันธ์ห้าให้จบเรื่องทุกเรื่อง ให้จิตรับรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง ถ้าจิตเข้าไปรวมกับความคิดนั้นถึงให้ดับให้หยุด ถ้าเราดับไม่ได้หยุดไม่ได้ก็นั่งดู สติดูรู้ไปจนจบเรื่อง เมื่อเขาอ่อนกำลังแล้วค่อยดับค่อยควบคุมใหม่ จนกว่าเราจะแยกได้ตามดูได้ก็จะเข้าสู่วิปัสสนา
วิปัสสนาคือรู้แจ้งเห็นจริง สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงข้อแรกในอริยมรรคมีองค์แปดเลยทีเดียว ถ้ารู้แจ้งเห็นจริงแล้วก็ตามทำความเข้าใจมันก็ถูกไปตลอดสาย อะไรเป็นกุศล หรือว่าอะไรเป็นอกุศลเราก็รู้จักละรู้จักดับ ทุกคนมีบารมีกัน สร้างบารมีมาดี เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคนก็มีศรัทธาน้อมกายเข้ามา แต่อยู่ในระดับของการให้ทานสร้างบารมีทานกันเยอะ
แต่การเจริญสติที่ต่อเนื่องเข้าไปเดินปัญญาแยกรูปแยกนาม เพียงแค่สร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราสร้างได้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง วันทั้งวันความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเรามีต่อเนื่องกันถึง 5 นาทีไหม 10 นาทีไหม ทำอย่างไรถึงรู้ตัวได้ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก อันนี้ต้องขยันมันเพียรจริงๆ ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ตามทำความเข้าใจได้ ตามดูตามรู้ตามเห็นได้กำลังสติถึงจะเป็นมหาสติ
ถึงเราแยกได้ เราไม่ตามทำความเข้าใจได้ เราไม่ตามทำความเข้าใจทุกเรื่อง เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม เราแยกได้ตามดูได้ เราก็มาละกิเลสอีก มาทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจแล้วค่อยนิวรณธรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราเป็นอย่างไร ขนาดตื่นตัวอยู่นี้จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง ในเรื่องของราคะ รูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาทเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม แล้วก็รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี จิตของเรามีความฟุ้งซ่านเรื่องอะไร เราก็รู้จักดับ
สติของเราพลั้งเผลอ ความรู้สึกตัวเราพลั้งเผลอ เราก็พยามกระตุ้นความรู้สึกขึ้นมาใหม่ เขาจะอ่อนตัวลงอย่างไร เขาจะขาดอย่างไร เราก็พยายามสังเกตดู เราก็พยายามรู้ สมองส่วนบนนี่แหละส่วนสติ ใจของเรา หรือว่าจิตของเราวิญญาณของเราอยู่กลางใจนั่นแหละ ให้พยายามสังเกตดูดีๆ
อย่างเวลาเราตกใจ ใจมันจะผวาอยู่ตรงไหน มันจะเกิดอยู่ตรงไหน เกิดความสุข เวลาเกิดปิติ ทำอะไรได้รับความสำเร็จลุล่วงลงไป เกิดความสุขเกิดปิติ ใจของเรามันเกิดขึ้นที่ตรงไหน เราพยายามดูอยู่ รู้อยู่ที่ตรงนั้น ก็อยู่ที่กลางใจของเรานั่นแหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก แต่เราขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ที่ต่อเนื่อง แล้วก็ขาดการรักษา ก็เลยปล่อยเลยตามเลยๆ จากวันเป็นเดือนเป็นปี หลายปี ไม่ใช่เฉพาะหลายปี หลายภพด้วยหลายกัปหลายกัลป์ด้วย
เราก็ต้องพยายามฝึกฝนตนตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเราแล้ว ไม่มีใครจะแก้ไขที่เราได้ จะไปฝึกหัดปฏิบัติธรรมที่นั่นฝึกหัดปฏิบัติทำที่นี่ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นการสร้างบารมีให้กับตัวเรา ถึงเราไม่เข้าใจเราก็พากันไปเถอะขณะที่มีกำลัง ครูบาอาจารย์ท่านไหนที่ท่านชี้แนะแนวทางให้ เราก็ไปประพฤติไปปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเอง ถ้าถึงเวลาแล้วก็ตัวเรานั่นแหละเป็นอาจารย์ของเรา สติของเราที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบจิตของเรา นอกนั้นก็เป็นการสร้างบารมี
ถ้าเรารู้จักจิต รู้จักเดินปัญญาทำความเข้าใจได้ เราก็จะได้ฟังธรรมะตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ให้พยายามทำความเพียร ขณะที่หมดกำลังแล้วก็คงจะหมดสภาพ พยายามทำดำเนินไป ล้มแล้วก็ลุกใหม่ๆ พลั้งเผลอเราก็เริ่มต้นใหม่แก้ไขใหม่อยู่ตลอดเวลา รู้จักหนทาง รู้จักสร้างความเพียรอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ปล่อยให้ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำ เราจงเป็นนายอยู่เหนือกิเลส อย่าให้กิเลสมาเป็นนายเหนือเรา
ทำความเข้าใจกับสมมติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ กายของเรานี่แหละก้อนสมมติ ตัวจิตนี่แหละคือตัววิมุตติ แต่เวลานี้เขายังหลงอยู่ เขาก็เลยกลายเป็นทาสของสมมติ เรามาแยกมาคลายมาชำระสะสางกิเลส พวกเรามีโอกาสมากที่สุดเลย ทุกคนมีโอกาสทุกคนมีเวลาเหมือนกันหมด จะมีมากมีน้อย จะบริหารเวลาได้ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง จะใช้เวลาให้เกิดประโยชน์หรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน
ไม่ว่าผู้หญิงหรือว่าผู้ชายก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีอย่าพากันเกียจคร้าน ทุกคนเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เกิดมาก็เพื่อที่จะสร้างความบริสุทธิ์ความสะอาดให้จิตของตัวเราเอง จะเดินถึงช้าหรือถึงเร็วก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง จงพากันไปสร้างไปทำไปสานต่อกันนะ