หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 025
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 025
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามอิริยาบถของเราให้สบาย ไม่ต้องพนมมือก็ได้ นั่งตามสบาย ให้รู้จักสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ฟังไปด้วยแล้วก็น้อมสำเหนียกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ วางทุกสิ่งทุกอย่าง หยุดคิดนั่นแหละ หยุดคิดหยุดปรุงแต่ง แล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด แล้วก็ผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติธรรมดา
ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตัวนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ นิวรณ์ธรรมต่างๆ สติของเราก็ตั้งมั่นขึ้นความเกียจคร้านก็คลายไป จิตของเราเกิดความกังวลแล้วก็ใช้สมถะเข้าไปดับอยู่กับลมหายใจ นี่แหละเขาเรียกว่า ‘สมถะภาวนา’ ความระลึกรู้ตัวของเรามีมากก็จะรู้กาย แล้วก็รู้จิต รู้ความปกติของจิต รู้ความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตว่าเขาเกิดอย่างไร จิตของเราเข้าไปร่วมได้อย่างไร ตรงนี้แหละสำคัญ
ถ้าเราแยกไม่ได้นี่ โมหะอย่างลุ่มลึกเลยทีเดียว จิตของเราหลงเข้าไปรวมกับความคิดทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก จิตก็เลยหนัก อัตตาตัวตนก็คือกายเนื้อของเรา แล้วก็ถ้าเรายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ เราก็วางอัตตาตัวตนไม่ได้ พยายามหัดวิเคราะห์หัดสังเกต
ทุกคนก็อาจจะมีการควบคุมจิตได้ ควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ได้ แต่ยังขาดการแยกจิตออกจากความคิดให้รับรู้ สติตามทำความเข้าใจกับความคิดให้ละเอียด เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยงของขันธ์ห้าที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เป็นเรื่องอะไรที่มันเกิด เป็นเรื่องอดีตก็เป็นกองของสัญญา บางทีก็เป็นเรื่องสารพัดเรื่อง บางทีก็เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง ที่มันเกิดจิตของเราเข้าไปรวมจนเป็นตัวเดียวกัน แนบแน่นเลยทีเดียว
ถ้ากำลังสติกำลังความเพียรของเราไม่มีเพียงพอนี่ยากจริงๆ ตรงนี้ส่วนมากก็อยู่ในกองบุญ ฝักใฝ่ในบุญ ความเคยชินของจิตที่ส่งออกไปภายนอก ส่งออกไปข้างนอก เดี๋ยวก็คิดเดี๋ยวก็ปรุงเดี๋ยวก็แต่ง เกิดจากจิตส่งออกไปข้างนอกนี่ก็ส่วนหนึ่ง บางทีก็เกิดจากขันธ์ห้าขึ้นมาปรุงแต่ง จิตของเราก็เข้าไปรวมนี่เป็นสองส่วนแล้ว รวมเป็นอีกเป็นตัวหนึ่งไปด้วยกันอีก บางทีก็ทั้งปัญญาทั้งสติทั้งปัญญาก็รวมกันไปอีก เพราะเราขาดการจำแนกแจกแจงเราก็เลยไม่รู้
ถ้าเราไม่สร้างความรู้ตัว นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราสร้างขึ้นมา ส่วนความคิดกับจิตนั้นเขาเกิดๆ ดับๆ นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งอยู่ ถ้าเราสังเกตจนกว่าร่วมกัน เขาจะแยกออกจากกัน เราก็จะเห็นเป็น 3 ส่วน ความระลึกรู้ตัวส่วนหนึ่งที่เราสร้างขึ้นมา ความว่างนั้นคือตัวจิตเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนอาการของความคิดที่มันเกิดๆ ดับๆ นั่นก็ส่วนหนึ่ง นั่นแหละให้เราตามดู
ถ้าเราแยกได้ตามดูความคิดเกิดๆ ดับๆ เขาเรียกว่า ’รอบรู้ในกองสังขาร’ ‘รอบรู้ในอาการของขันธ์ห้า’ เขาเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เวลาดับไปอนัตตาความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏ เรื่องใหม่ก็เข้ามาอีกหมุนปรุงแต่งจิตของเราอยู่อย่างนี้แหละ เราเข้าไปหลงเข้าไปร่วมทำให้เกิดอัตตาตัวตนเป็นทาสของขันธ์ห้า เป็นทาสของกิเลส
ถ้าเราแยกขันธ์ห้าได้ ก็ตามทำความเข้าใจวิบากกรรมเก่า หรือว่าอาการของขันธ์ห้า ก็จะหมดสภาพที่จะมาหมุนปรุงแต่งจิตของเราได้ เหมือนกับเราตัดวงกลม มันหมุนต่อไปไม่ได้ ถ้าเราแยกได้เฉยๆ แต่ไม่ตามทำความเข้าใจ แต่เราไม่ละมันก็เหมือนเดิม ถ้าเราแยกได้ ตามทำความเข้าใจได้ รู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วค่อยละ แล้วก็มาละกิเลสที่จิต มาดับความเกิดที่จิต จิตก็จะเกิดน้อยลงๆๆ แต่คนส่วนมากไม่ค่อยจะดับ ไม่รู้ความจริง มีตั้งแต่ไปคิดแสวงหา
แม้แต่แสวงหาธรรมก็เหมือนกัน แสวงหาด้วยความอยากที่เกิดจากตัวจิต เราให้แสวงหาด้วยสติด้วยปัญญา ให้รู้เห็นรู้แจ้งเห็นจริงจริงๆ แล้วก็ค่อยค่อยดับ ถึงเราละไม่ได้แยกไม่ได้ก็ให้จิตของเราน้อมอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ แล้วก็รู้จักสร้างตบะบารมีให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทำบุญให้กับตัวเราตลอดเวลา ศรัทธาของเราเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ประพฤติปฏิบัติลงไป
เรามีความโลภเราก็พยายามและความโลก เรามีความตระหนี่เหนียวแน่นเราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่น เรามีความโกรธเราก็พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดีอยู่ตลอดเวลา เรามีความเกียจคร้าน เราก็ขยันหมั่นเพียรให้มากๆ อย่าไปเกียจคร้าน 5:51
เราต้องพยายามเพิ่มสวนทางกับกองกิเลสเลยทีเดียวถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ ถึงไม่ถึงจุดหมายปลายทางเราก็พยายามเดิน อย่าเกียจคร้านพยายามทำสมมติของเราให้ดี ภาระหน้าที่สมมติอะไร ที่เรายังขาดตกบกพร่องเราก็พยายามให้ดี เพราะปากท้องของทุกคนก็ยังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับปัจจัยสี่ ทำความเข้าใจกับโลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทา
ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหกของเรา ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงที่เข้าไปถึงดวงจิตของเรา เวลาตากระทบรูปปุ๊บ จิตของเราเกิดความยินดีไหมยินร้ายไหม เห็นรูปสวยๆ แล้วเกิดความอยากได้หรือไม่ นี่เขาเรียกว่า ‘สัมผัส’ ‘ผัสสะ’ ที่ส่งเข้าไปทางทวารทั้งหกของเรา เรามีสติค่อยรู้จิตของเรา เราก็จะคอยตรวจสอบจิตของเราตลอดเวลา
แต่เปล่าเลยตั้งแต่เช้าขึ้นมาเราไม่ได้เจริญสติเลย เราจะไปรู้เท่าทันจิตได้อย่างไร จิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่องเราก็ไม่รู้ ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่อย่างก็ไม่รู้ สติระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร เราอาจจะมีอยู่กระท่อนกระแท่นเล็กๆ น้อยๆ เราไม่ได้ทำให้ต่อเนื่องมันก็เลยไม่รู้ตรงนี้ ถ้าเราฝึกฝนให้ต่อเนื่องกันจริงๆ แล้ว ใหม่ๆ อาจจะอึดอัดบ้าง เพราะว่าจิตเขาเคยไปแบบโลกๆ แบบธรรมชาติ ถ้าเราไม่ให้เขาไป เราก็อาจจะอึดอัดวิ่งหน้าวิ่งหลังอยู่ในกายของเรานี่แหละ พอฝึกไปฝึกมา มันก็จะช้าลงๆ มันก็จะเชื่องขึ้นๆ
เหมือนกับการฝึกลิงฝึกม้าพยศนั่นแหละ ม้าพยศใหม่ๆ มันก็ฝึกยาก ฝึกไปฝึกมามันก็เชื่อง คนเอามาใช้การใช้งานได้ เราก็ปล่อยได้ จิตของเราก็เหมือนกัน ฝึกไปฝึกมาๆ เขาก็นิ่งเขาก็รู้ความจริง เค้าก็ไม่เอาหรอกการเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา เป็นทาสของกิเลสมันเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เขาก็จะเป็นแค่เพียงผู้รับรู้ อะไรผิดอะไรถูกสติปัญญาเข้าไปแก้ไขทำหน้าที่แทน
อันนี้สำหรับบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ สำหรับคนทั่วไปของเรานี้ก็ยังอยู่ในกองบุญกองกุศล ให้เจริญสติให้ต่อเนื่องได้สักเล็กน้อยก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ให้มีความขยันหมั่นเพียร มีความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัวมีความเสียสละอยู่ตลอดเวลา ไม่เห็นแก่ตัว ต่อไปข้างหน้าก็จะเป็นพื้นฐานในการปล่อยในการวาง วางให้เป็นทำให้เป็นมีให้เป็นเอาให้เป็น ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา จะมีมากมีน้อย เอามากเอาน้อย นั่นก็ทำด้วยเพื่อยังประโยชน์ให้สมมติให้เกิดประโยชน์ขึ้นมา
ญาติโยมท่านใดอยากจะมาฝึก มาพักผ่อนมาฝึกที่วัดก็ขอเชิญได้เลย ปีหน้าอีกซักปีหรือสองปีที่วัดเรานี่จะบริบูรณ์เต็มที่ เพราะว่าข้างล่างริมขอบบ่อ หลวงพ่อก็ให้พาญาติโยมได้ทำศาลาที่พักอาศัยของญาติโยมอยู่ ก็ทำเผื่อญาติโยมเผื่อทุกคนนั่นแหละ ทำเผื่อสมมติ สมมติที่เกิดประโยชน์ ญาติโยมท่านใดเข้ามาวัดก็จะได้มีที่พักที่อาศัยน่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ ไปพักที่ขอบบ่อจิตใจก็เบิกบาน เห็นป่าเยอะๆ ให้อาหารปลาที่บ่อ กำลังจะทำศาลาอยู่ศาลา 2 หลัง ก็ใหญ่อยู่เหมือนกันๆ จะได้เป็นที่พักที่อาศัยของทุกคน ไม่ใช่ว่าทำให้คนใดคนหนึ่ง ทำเพื่อสมมุติ ทำให้เกิดประโยชน์ให้กับทุกคนที่เข้ามาพักผ่อนที่ได้มาประพฤติปฏิบัติ
นี่แหละ มีโอกาสเราก็จะช่วยกัน ทำทุกอย่างที่จะเป็นบุญเท่าที่โอกาสจะอำนวยให้ เท่าที่กำลังจะยังมีอยู่ ก็กำลังก็คงจะมีอยู่ ไม่ได้ยาวนานเท่าไหร่ ถึงวาระเวลาก็คงจะได้ไป เพราะทุกคนก็มีการพลัดพรากจากกัน ไม่พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของธรรมชาติจริงๆ
เราต้องเป็นคนที่เตรียมพร้อม เตรียมพร้อมทั้งภายในจิตใจของเราก็ไม่ได้เกิดความทุกข์ เกิดความโศกเกิดความเศร้า เกิดความกังวลต่างๆ เราก็ทำจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ สมบัติสมมุติภายนอกเราก็ทำยังประโยชน์ให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ให้กับหมู่ให้กับคณะ อำนวยความสะดวกให้ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะยังประโยชน์ในการประพฤติปฏิบัติ ทำจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ให้หลุดพ้นให้สูงๆ ขึ้นไป
นี่แหละถึงจะยากลำบากถึงขนาดไหนก็อดทนอดกลั้น พยายามทำ ทำเพื่อให้ทุกคนได้มีความสงบมีความสุข เพื่อที่จะให้ทุกคนที่เดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องช่วยกันก็ต้องพยายามกันต่อไป
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตัวนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ นิวรณ์ธรรมต่างๆ สติของเราก็ตั้งมั่นขึ้นความเกียจคร้านก็คลายไป จิตของเราเกิดความกังวลแล้วก็ใช้สมถะเข้าไปดับอยู่กับลมหายใจ นี่แหละเขาเรียกว่า ‘สมถะภาวนา’ ความระลึกรู้ตัวของเรามีมากก็จะรู้กาย แล้วก็รู้จิต รู้ความปกติของจิต รู้ความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตว่าเขาเกิดอย่างไร จิตของเราเข้าไปร่วมได้อย่างไร ตรงนี้แหละสำคัญ
ถ้าเราแยกไม่ได้นี่ โมหะอย่างลุ่มลึกเลยทีเดียว จิตของเราหลงเข้าไปรวมกับความคิดทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก จิตก็เลยหนัก อัตตาตัวตนก็คือกายเนื้อของเรา แล้วก็ถ้าเรายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ เราก็วางอัตตาตัวตนไม่ได้ พยายามหัดวิเคราะห์หัดสังเกต
ทุกคนก็อาจจะมีการควบคุมจิตได้ ควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ได้ แต่ยังขาดการแยกจิตออกจากความคิดให้รับรู้ สติตามทำความเข้าใจกับความคิดให้ละเอียด เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยงของขันธ์ห้าที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เป็นเรื่องอะไรที่มันเกิด เป็นเรื่องอดีตก็เป็นกองของสัญญา บางทีก็เป็นเรื่องสารพัดเรื่อง บางทีก็เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง ที่มันเกิดจิตของเราเข้าไปรวมจนเป็นตัวเดียวกัน แนบแน่นเลยทีเดียว
ถ้ากำลังสติกำลังความเพียรของเราไม่มีเพียงพอนี่ยากจริงๆ ตรงนี้ส่วนมากก็อยู่ในกองบุญ ฝักใฝ่ในบุญ ความเคยชินของจิตที่ส่งออกไปภายนอก ส่งออกไปข้างนอก เดี๋ยวก็คิดเดี๋ยวก็ปรุงเดี๋ยวก็แต่ง เกิดจากจิตส่งออกไปข้างนอกนี่ก็ส่วนหนึ่ง บางทีก็เกิดจากขันธ์ห้าขึ้นมาปรุงแต่ง จิตของเราก็เข้าไปรวมนี่เป็นสองส่วนแล้ว รวมเป็นอีกเป็นตัวหนึ่งไปด้วยกันอีก บางทีก็ทั้งปัญญาทั้งสติทั้งปัญญาก็รวมกันไปอีก เพราะเราขาดการจำแนกแจกแจงเราก็เลยไม่รู้
ถ้าเราไม่สร้างความรู้ตัว นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราสร้างขึ้นมา ส่วนความคิดกับจิตนั้นเขาเกิดๆ ดับๆ นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งอยู่ ถ้าเราสังเกตจนกว่าร่วมกัน เขาจะแยกออกจากกัน เราก็จะเห็นเป็น 3 ส่วน ความระลึกรู้ตัวส่วนหนึ่งที่เราสร้างขึ้นมา ความว่างนั้นคือตัวจิตเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนอาการของความคิดที่มันเกิดๆ ดับๆ นั่นก็ส่วนหนึ่ง นั่นแหละให้เราตามดู
ถ้าเราแยกได้ตามดูความคิดเกิดๆ ดับๆ เขาเรียกว่า ’รอบรู้ในกองสังขาร’ ‘รอบรู้ในอาการของขันธ์ห้า’ เขาเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เวลาดับไปอนัตตาความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏ เรื่องใหม่ก็เข้ามาอีกหมุนปรุงแต่งจิตของเราอยู่อย่างนี้แหละ เราเข้าไปหลงเข้าไปร่วมทำให้เกิดอัตตาตัวตนเป็นทาสของขันธ์ห้า เป็นทาสของกิเลส
ถ้าเราแยกขันธ์ห้าได้ ก็ตามทำความเข้าใจวิบากกรรมเก่า หรือว่าอาการของขันธ์ห้า ก็จะหมดสภาพที่จะมาหมุนปรุงแต่งจิตของเราได้ เหมือนกับเราตัดวงกลม มันหมุนต่อไปไม่ได้ ถ้าเราแยกได้เฉยๆ แต่ไม่ตามทำความเข้าใจ แต่เราไม่ละมันก็เหมือนเดิม ถ้าเราแยกได้ ตามทำความเข้าใจได้ รู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วค่อยละ แล้วก็มาละกิเลสที่จิต มาดับความเกิดที่จิต จิตก็จะเกิดน้อยลงๆๆ แต่คนส่วนมากไม่ค่อยจะดับ ไม่รู้ความจริง มีตั้งแต่ไปคิดแสวงหา
แม้แต่แสวงหาธรรมก็เหมือนกัน แสวงหาด้วยความอยากที่เกิดจากตัวจิต เราให้แสวงหาด้วยสติด้วยปัญญา ให้รู้เห็นรู้แจ้งเห็นจริงจริงๆ แล้วก็ค่อยค่อยดับ ถึงเราละไม่ได้แยกไม่ได้ก็ให้จิตของเราน้อมอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ แล้วก็รู้จักสร้างตบะบารมีให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทำบุญให้กับตัวเราตลอดเวลา ศรัทธาของเราเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ประพฤติปฏิบัติลงไป
เรามีความโลภเราก็พยายามและความโลก เรามีความตระหนี่เหนียวแน่นเราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่น เรามีความโกรธเราก็พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดีอยู่ตลอดเวลา เรามีความเกียจคร้าน เราก็ขยันหมั่นเพียรให้มากๆ อย่าไปเกียจคร้าน 5:51
เราต้องพยายามเพิ่มสวนทางกับกองกิเลสเลยทีเดียวถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ ถึงไม่ถึงจุดหมายปลายทางเราก็พยายามเดิน อย่าเกียจคร้านพยายามทำสมมติของเราให้ดี ภาระหน้าที่สมมติอะไร ที่เรายังขาดตกบกพร่องเราก็พยายามให้ดี เพราะปากท้องของทุกคนก็ยังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับปัจจัยสี่ ทำความเข้าใจกับโลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทา
ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหกของเรา ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงที่เข้าไปถึงดวงจิตของเรา เวลาตากระทบรูปปุ๊บ จิตของเราเกิดความยินดีไหมยินร้ายไหม เห็นรูปสวยๆ แล้วเกิดความอยากได้หรือไม่ นี่เขาเรียกว่า ‘สัมผัส’ ‘ผัสสะ’ ที่ส่งเข้าไปทางทวารทั้งหกของเรา เรามีสติค่อยรู้จิตของเรา เราก็จะคอยตรวจสอบจิตของเราตลอดเวลา
แต่เปล่าเลยตั้งแต่เช้าขึ้นมาเราไม่ได้เจริญสติเลย เราจะไปรู้เท่าทันจิตได้อย่างไร จิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่องเราก็ไม่รู้ ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่อย่างก็ไม่รู้ สติระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร เราอาจจะมีอยู่กระท่อนกระแท่นเล็กๆ น้อยๆ เราไม่ได้ทำให้ต่อเนื่องมันก็เลยไม่รู้ตรงนี้ ถ้าเราฝึกฝนให้ต่อเนื่องกันจริงๆ แล้ว ใหม่ๆ อาจจะอึดอัดบ้าง เพราะว่าจิตเขาเคยไปแบบโลกๆ แบบธรรมชาติ ถ้าเราไม่ให้เขาไป เราก็อาจจะอึดอัดวิ่งหน้าวิ่งหลังอยู่ในกายของเรานี่แหละ พอฝึกไปฝึกมา มันก็จะช้าลงๆ มันก็จะเชื่องขึ้นๆ
เหมือนกับการฝึกลิงฝึกม้าพยศนั่นแหละ ม้าพยศใหม่ๆ มันก็ฝึกยาก ฝึกไปฝึกมามันก็เชื่อง คนเอามาใช้การใช้งานได้ เราก็ปล่อยได้ จิตของเราก็เหมือนกัน ฝึกไปฝึกมาๆ เขาก็นิ่งเขาก็รู้ความจริง เค้าก็ไม่เอาหรอกการเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา เป็นทาสของกิเลสมันเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เขาก็จะเป็นแค่เพียงผู้รับรู้ อะไรผิดอะไรถูกสติปัญญาเข้าไปแก้ไขทำหน้าที่แทน
อันนี้สำหรับบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ สำหรับคนทั่วไปของเรานี้ก็ยังอยู่ในกองบุญกองกุศล ให้เจริญสติให้ต่อเนื่องได้สักเล็กน้อยก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ให้มีความขยันหมั่นเพียร มีความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัวมีความเสียสละอยู่ตลอดเวลา ไม่เห็นแก่ตัว ต่อไปข้างหน้าก็จะเป็นพื้นฐานในการปล่อยในการวาง วางให้เป็นทำให้เป็นมีให้เป็นเอาให้เป็น ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา จะมีมากมีน้อย เอามากเอาน้อย นั่นก็ทำด้วยเพื่อยังประโยชน์ให้สมมติให้เกิดประโยชน์ขึ้นมา
ญาติโยมท่านใดอยากจะมาฝึก มาพักผ่อนมาฝึกที่วัดก็ขอเชิญได้เลย ปีหน้าอีกซักปีหรือสองปีที่วัดเรานี่จะบริบูรณ์เต็มที่ เพราะว่าข้างล่างริมขอบบ่อ หลวงพ่อก็ให้พาญาติโยมได้ทำศาลาที่พักอาศัยของญาติโยมอยู่ ก็ทำเผื่อญาติโยมเผื่อทุกคนนั่นแหละ ทำเผื่อสมมติ สมมติที่เกิดประโยชน์ ญาติโยมท่านใดเข้ามาวัดก็จะได้มีที่พักที่อาศัยน่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ ไปพักที่ขอบบ่อจิตใจก็เบิกบาน เห็นป่าเยอะๆ ให้อาหารปลาที่บ่อ กำลังจะทำศาลาอยู่ศาลา 2 หลัง ก็ใหญ่อยู่เหมือนกันๆ จะได้เป็นที่พักที่อาศัยของทุกคน ไม่ใช่ว่าทำให้คนใดคนหนึ่ง ทำเพื่อสมมุติ ทำให้เกิดประโยชน์ให้กับทุกคนที่เข้ามาพักผ่อนที่ได้มาประพฤติปฏิบัติ
นี่แหละ มีโอกาสเราก็จะช่วยกัน ทำทุกอย่างที่จะเป็นบุญเท่าที่โอกาสจะอำนวยให้ เท่าที่กำลังจะยังมีอยู่ ก็กำลังก็คงจะมีอยู่ ไม่ได้ยาวนานเท่าไหร่ ถึงวาระเวลาก็คงจะได้ไป เพราะทุกคนก็มีการพลัดพรากจากกัน ไม่พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของธรรมชาติจริงๆ
เราต้องเป็นคนที่เตรียมพร้อม เตรียมพร้อมทั้งภายในจิตใจของเราก็ไม่ได้เกิดความทุกข์ เกิดความโศกเกิดความเศร้า เกิดความกังวลต่างๆ เราก็ทำจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ สมบัติสมมุติภายนอกเราก็ทำยังประโยชน์ให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ให้กับหมู่ให้กับคณะ อำนวยความสะดวกให้ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะยังประโยชน์ในการประพฤติปฏิบัติ ทำจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ให้หลุดพ้นให้สูงๆ ขึ้นไป
นี่แหละถึงจะยากลำบากถึงขนาดไหนก็อดทนอดกลั้น พยายามทำ ทำเพื่อให้ทุกคนได้มีความสงบมีความสุข เพื่อที่จะให้ทุกคนที่เดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องช่วยกันก็ต้องพยายามกันต่อไป
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง