หลวงพ่อฝากไว้_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 90 วันที่ 25 กันยายน 2557
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 90 วันที่ 25 กันยายน 2557
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ชุดที่ 5 (ลำดับที่81-102)
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 90
วันที่ 25 กันยายน 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนกันนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราละไม่ได้ หยุดไม่ได้เด็ดขาดต่อเนื่อง เราก็ให้รู้จักวิธีการเจริญสติ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกเราก็ขาดการสนใจ มีตั้งแต่ใจพุ่งออกไปภายนอกอย่างเดียว ความคิดกับใจพุ่งออกไปอย่างเดียว ส่งเสริมความคิดตรงนั้นโดยตรง ทีนี้เรามาหยุด เรามาสร้างความรู้สึกรับรู้ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ความรู้ตัวตรงนี้แหละ ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘สติ' ถ้ารู้ให้ต่อเนื่อง ท่านเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ อย่าไปเกียจคร้าน ส่วนการเกิดการดับของความคิดของใจนั้นเขามีมาตั้งนานแล้ว ความคิดตรงนี้ เขาหลงมาตั้งนาน เขาเกิดมาตั้งนาน เขาปิดกั้นตัวเองมาตั้งนาน เราต้องมาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะเอาไปอบรมใจ เอาไปวิเคราะห์ใจ เอาไปชี้เหตุชี้ผลจนใจของเราคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ หรือว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทาง เพียงแค่แยกใจของเราคลายออกจากความคิด เพียงแค่เริ่มต้นในการรู้แจ้งเห็นจริง
ถ้ากำลังสติของเรามีไม่เพียงพอเขาก็ซึมสู่สภาพเดิมอีก ถ้ากำลังสติของเราตามดู ตามรู้ ตามเห็นว่าใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ว่างจากการเกิดเป็นอย่างไร ว่างจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ใจที่ไม่ส่งไปภายนอกเป็นอย่างไร ทำไมความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนาม เขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีกันทุกคนๆ
แต่กำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ ก็เลยรู้ไม่เท่าทัน เพราะว่าการเจริญ การทำความเข้าใจไม่มี ก็เอาตั้งแต่เหตุผลของโลกของสมมติมาโต้แย้ง มันก็อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง แต่ในหลักธรรมแล้ว ต้องแยก ต้องคลาย ต้องละออกให้หมด มีเท่าไหร่ก็ต้องละออกให้มันหมด จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ของใจ จนเหลือตั้งแต่สมมติคือกายกับใจ แล้วก็บริหารด้วยปัญญาใหม่ทุกเรื่อง
มีไม่มากหรอก ถ้าคนเราจะเอาจริงๆ มีไม่มาก แต่กิเลสมันก็แหลมคมเร็วไว เขาก็มีเหตุมีผล ชี้เหตุชี้ผล เขาก็หาสิ่งมาปิดกั้นตัวเองเอาไว้เหมือนกัน กำลังฝ่ายไหนจะมากกว่ากันเท่านั้นเอง กำลังฝ่ายกุศลหรือว่าฝ่ายอกุศล แม้แต่ความดีก็ยังเป็นกิเลส ในหลักธรรมทั้งดีทั้งไม่ดีก็ละหมดนั่นแหละ แต่สร้างคุณงามความดีไม่ให้หลงให้ยึด สร้างเพื่อให้เกิดประโยชน์ในระดับของสมมติ
อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร ก็สอนเรื่องชีวิตของเรานี่แหละ ไม่ได้สอนเรื่องไหนหรอก สอนเรื่องอัตตา อนัตตา สอนเรื่องหลักของความเป็นจริงของชีวิต ว่ากายของคนเรานี้ มีกี่กองกี่ขันธ์ ที่ท่านเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ มีอยู่ห้าขันธ์ ขันธ์ไหนบ้าง กองไหนบ้างที่อยู่รวมกัน มีวิญญาณเป็นกองสุดท้าย ถ้าเราไม่ศึกษาจริง ๆ ยากที่จะเข้าใจ ต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความเพียรถึงจะเข้าใจ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ ต้องค่อยเป็นค่อยไป
เพียงแค่สติปัญญาระดับของสมมติ เราก็ให้แตกฉาน สติปัญญาในระดับวิมุตติ ก็ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง จะไปทิ้งสมมติไม่ได้ เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ เพราะว่าเรายังอาศัยกายนี้อยู่ แต่เราต้องแจงด้วยปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงให้เป็นชิ้นเป็นอัน เหมือนกับเชือก มันมีอยู่ห้าเกลียว เกลียวไหนเป็นเกลียวไหน เราต้องแจงให้ออก แต่มันอยู่เส้นเดียวกัน
กายของเราก็เหมือนกัน มีอยู่ห้ากองห้าขันธ์ เราต้องมาเจริญสติเน้นลงอยู่ที่กายของเราว่า กองไหนบ้าง ขันธ์ไหนบ้าง กองกุศลหรือว่ากองอกุศล กองอดีต กองอนาคต หรือว่าความเป็นกลาง มีหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะค้นคว้าให้ถึงต้นเหตุหรือเปล่าเท่านั้นเอง มันก็ยากอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่ถึงเวลา
วิบากกรรมไม่คลาย มันก็ยากที่จะเปิดเผยตัวออกมาให้เห็น แต่ก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศล สร้างวิบากกรรมที่ดี ให้มีความขยันหมั่นเพียร ให้มีความกล้าหาญ ให้มีความละอายในสิ่งที่ควรละอาย ให้กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ บริหารกายบริหารใจ อบรมกายอบรมใจ จัดระบบระเบียบของกาย ของวาจา จัดระบบระเบียบของใจ ชี้เหตุชี้ผล จนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ ซักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงเดือนหน้าก็ปีหน้า เพราะว่าตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ถ้าไม่ถึงจริงๆ ก็จะไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าใจที่ยังเกิดอยู่เขาก็ต้องเกิด ก็ขอให้เกิดในสิ่งที่ดีๆ ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่องสักนาที สองนาทีนะ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจนะ
วันที่ 25 กันยายน 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนกันนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราละไม่ได้ หยุดไม่ได้เด็ดขาดต่อเนื่อง เราก็ให้รู้จักวิธีการเจริญสติ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกเราก็ขาดการสนใจ มีตั้งแต่ใจพุ่งออกไปภายนอกอย่างเดียว ความคิดกับใจพุ่งออกไปอย่างเดียว ส่งเสริมความคิดตรงนั้นโดยตรง ทีนี้เรามาหยุด เรามาสร้างความรู้สึกรับรู้ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ความรู้ตัวตรงนี้แหละ ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘สติ' ถ้ารู้ให้ต่อเนื่อง ท่านเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ อย่าไปเกียจคร้าน ส่วนการเกิดการดับของความคิดของใจนั้นเขามีมาตั้งนานแล้ว ความคิดตรงนี้ เขาหลงมาตั้งนาน เขาเกิดมาตั้งนาน เขาปิดกั้นตัวเองมาตั้งนาน เราต้องมาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะเอาไปอบรมใจ เอาไปวิเคราะห์ใจ เอาไปชี้เหตุชี้ผลจนใจของเราคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ หรือว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทาง เพียงแค่แยกใจของเราคลายออกจากความคิด เพียงแค่เริ่มต้นในการรู้แจ้งเห็นจริง
ถ้ากำลังสติของเรามีไม่เพียงพอเขาก็ซึมสู่สภาพเดิมอีก ถ้ากำลังสติของเราตามดู ตามรู้ ตามเห็นว่าใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ว่างจากการเกิดเป็นอย่างไร ว่างจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ใจที่ไม่ส่งไปภายนอกเป็นอย่างไร ทำไมความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนาม เขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีกันทุกคนๆ
แต่กำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ ก็เลยรู้ไม่เท่าทัน เพราะว่าการเจริญ การทำความเข้าใจไม่มี ก็เอาตั้งแต่เหตุผลของโลกของสมมติมาโต้แย้ง มันก็อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง แต่ในหลักธรรมแล้ว ต้องแยก ต้องคลาย ต้องละออกให้หมด มีเท่าไหร่ก็ต้องละออกให้มันหมด จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ของใจ จนเหลือตั้งแต่สมมติคือกายกับใจ แล้วก็บริหารด้วยปัญญาใหม่ทุกเรื่อง
มีไม่มากหรอก ถ้าคนเราจะเอาจริงๆ มีไม่มาก แต่กิเลสมันก็แหลมคมเร็วไว เขาก็มีเหตุมีผล ชี้เหตุชี้ผล เขาก็หาสิ่งมาปิดกั้นตัวเองเอาไว้เหมือนกัน กำลังฝ่ายไหนจะมากกว่ากันเท่านั้นเอง กำลังฝ่ายกุศลหรือว่าฝ่ายอกุศล แม้แต่ความดีก็ยังเป็นกิเลส ในหลักธรรมทั้งดีทั้งไม่ดีก็ละหมดนั่นแหละ แต่สร้างคุณงามความดีไม่ให้หลงให้ยึด สร้างเพื่อให้เกิดประโยชน์ในระดับของสมมติ
อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร ก็สอนเรื่องชีวิตของเรานี่แหละ ไม่ได้สอนเรื่องไหนหรอก สอนเรื่องอัตตา อนัตตา สอนเรื่องหลักของความเป็นจริงของชีวิต ว่ากายของคนเรานี้ มีกี่กองกี่ขันธ์ ที่ท่านเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ มีอยู่ห้าขันธ์ ขันธ์ไหนบ้าง กองไหนบ้างที่อยู่รวมกัน มีวิญญาณเป็นกองสุดท้าย ถ้าเราไม่ศึกษาจริง ๆ ยากที่จะเข้าใจ ต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความเพียรถึงจะเข้าใจ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ ต้องค่อยเป็นค่อยไป
เพียงแค่สติปัญญาระดับของสมมติ เราก็ให้แตกฉาน สติปัญญาในระดับวิมุตติ ก็ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง จะไปทิ้งสมมติไม่ได้ เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ เพราะว่าเรายังอาศัยกายนี้อยู่ แต่เราต้องแจงด้วยปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงให้เป็นชิ้นเป็นอัน เหมือนกับเชือก มันมีอยู่ห้าเกลียว เกลียวไหนเป็นเกลียวไหน เราต้องแจงให้ออก แต่มันอยู่เส้นเดียวกัน
กายของเราก็เหมือนกัน มีอยู่ห้ากองห้าขันธ์ เราต้องมาเจริญสติเน้นลงอยู่ที่กายของเราว่า กองไหนบ้าง ขันธ์ไหนบ้าง กองกุศลหรือว่ากองอกุศล กองอดีต กองอนาคต หรือว่าความเป็นกลาง มีหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะค้นคว้าให้ถึงต้นเหตุหรือเปล่าเท่านั้นเอง มันก็ยากอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่ถึงเวลา
วิบากกรรมไม่คลาย มันก็ยากที่จะเปิดเผยตัวออกมาให้เห็น แต่ก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศล สร้างวิบากกรรมที่ดี ให้มีความขยันหมั่นเพียร ให้มีความกล้าหาญ ให้มีความละอายในสิ่งที่ควรละอาย ให้กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ บริหารกายบริหารใจ อบรมกายอบรมใจ จัดระบบระเบียบของกาย ของวาจา จัดระบบระเบียบของใจ ชี้เหตุชี้ผล จนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ ซักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงเดือนหน้าก็ปีหน้า เพราะว่าตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ถ้าไม่ถึงจริงๆ ก็จะไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าใจที่ยังเกิดอยู่เขาก็ต้องเกิด ก็ขอให้เกิดในสิ่งที่ดีๆ ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่องสักนาที สองนาทีนะ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจนะ