หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 001

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 001
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 001
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมปีใหม่ทุกคนทุกท่าน ในวาระขึ้นปีใหม่ขอให้เราเจริญสติ ทำความสงบทำจิตของเราให้สงบ ทำจิตของเราให้สะอาดบริสุทธิ์สักพักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งสมาธิกันเสียก่อน ทำจิตของเราให้สงบ ทำกายของเราให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสร้างความรู้สึกรับรู้อานาปานสติระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน

ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความคิดต่างๆ ก็จะดับไป ความรู้สึกสัมผัสของลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด นั่นแหละความรู้สึกตัวตรงนี้แหละ เราพยายามสร้างขึ้นมาตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ สติของเราก็จะตั้งมั่นขึ้น กายของเราก็สงบปกติดีอยู่ จิตของเราก็สงบปกติดีอยู่ ความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่เลยทีเดียว พอรู้ตัวปุ๊บสติก็ตั้งมั่น นิวรณ์ความเกียจคร้านก็หายไป ความกังวลความฟุ้งซ่านก็ไม่มี จิตจะเกิดส่งไปภายนอก สติก็รู้เท่าทัน ก็รู้จักดับ รู้จักควบคุม

ปีใหม่ที่มาถึง เราก็ต้องรีบสำรวจตรวจตราดูตัวเรา ตามความเป็นจริงในหลักธรรม เราต้องสำรวจเรา หมั่นแก้ไขเราหมั่นปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ไม่ให้จิตของเราเกิดกิเลส ไม่ให้จิตของเราเป็นทาสของอารมณ์

อะไรคือรูปธรรม อะไรคือนามธรรม พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา อะไรคือความทุกข์ สาเหตุแห่งทุกข์ เราดับสาเหตุแห่งทุกข์นั้นได้ ความสุขก็จะเกิดขึ้นมาได้เอง เราก็ต้องพยายามหมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา สิ่งไหนที่ไม่ดี เราก็พยายามละทิ้งไปเสีย อย่าเอาเก็บมาคิดมากังวล สิ่งไหนที่จะดีนำความสุขนำความเจริญมาให้เรา ก็พยายามรีบสร้างรีบทำให้มีให้เกิดขึ้น

หมั่นสำรวจชีวิตของเรา บุคคลที่มีบุญมีกุศล มีสติมีปัญญา จะไม่ปล่อยเวลาทิ้ง จะสำรวจตัวเองตลอดเวลา อันนี้คือจิตของเรา ความบริสุทธิ์ของจิต ความปกติ ความสงบ ความสะอาด สะอาดจากการยึดมั่นถือมั่น สงบจากกิเลส สงบจากความโลภความโกรธ สงบจากความหลง คลายความหลง

ทำอย่างไรเราถึงจะคลายความหลงได้ เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างผู้รู้ขึ้นมา สร้างความรู้ตัวใหม่ๆ เรายังรู้ไม่เท่า เรายังรู้ฐานของจิตไม่ทัน เรารู้อยู่ตั้งแต่ว่าเราคิด เรารู้อยู่ตั้งแต่ว่าเราทำ เราทำตามรู้แบบปัญญาโลกีย์เท่านั้นเอง เราต้องพยายามมาสร้างผู้รู้เข้าไปสังเกตดูตั้งแต่เขาก่อตัว
จิตเกิดอย่างไร จิตหลงความคิด หลงขันธ์ห้าได้อย่างไร อาการของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร เรารู้จักจำแนกแจกแจงแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากวิญญาณ หรือว่าฝึกจิตของเราหรือไม่ ภาษาธรรมะที่เรียกว่า ‘สักแต่ว่าดู’ ‘สักแต่ว่ารู้’ ‘สักแต่ว่าฟัง’ เราพยายามหาต้นตอของความทุกข์ให้เจอ แล้วก็กำจัดต้นตอนนั้นเสีย ความสุขก็จะเกิดขึ้นมาเองนั่นแหละ

ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากต่อมาก อย่าไปคิดว่าเราไม่ได้ปฏิบัติธรรม ทุกคนได้ปฏิบัติธรรมกันมาหมด ปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่ภพก่อนเสียด้วยถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์

การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็มีการวิวัฒน์พัฒนาการ จากเด็กเป็นผู้ใหญ่เติบโตมา ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน มีการวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ รู้จักดีรู้จักชั่ว รู้จักกุศลอกุศล แล้วก็ฝักใฝ่ในบุญ หมั่นสร้างบุญสร้างกุศลอยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง แต่การเจริญสติเข้าไปแยกรูปแยกนาม เข้าไปคลายความหลง เข้าไปชำระสะสางกิเลสจริงๆ นั้น บางคนบางท่านก็ทำได้อยู่ได้อยู่ แต่ไม่ต่อเนื่อง ได้เป็นบางครั้งได้เป็นบางเรื่อง เราต้องพยายามดูให้ได้ทุกเรื่อง รู้ให้ได้ทุกเรื่องว่า อะไรคือรูป อะไรคือนาม อะไรคือการเกิดของจิต อะไรคือการเกิดของขันธ์ห้า ทำไมจิตของเราถึงไปหลงเอาขันธ์ห้าทำให้เกิดอัตตาตัวตน

ใหม่ๆ เราไม่เข้าใจเราก็ต้องแสวงหาหนทาง แสวงหาครูบาอาจารย์ ตามความเป็นจริงนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตามตั้งนานแล้ว แต่พวกเราเดินไม่ถึงจุดหมายปลายทางเท่านั้นเอง เพราะว่าอะไร เพราะว่าทิฐิความเห็น หรือว่าอัตตามาปิดกั้นเอาไว้ ทิฐิมาปิดกั้นเอาไว้ ท่านถึงบอกให้วางทิฐิวางมานนะ วางความคิดเก่าๆ ของเราเอาไว้เสียก่อน เดินตามทางที่พระพุทธองค์ท่านได้ชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ ด้วยการเจริญสติเข้าไปสำรวจตรวจตรา รู้การเกิดการดับของจิต แล้วก็รู้จักสร้างตบะบารมี

ศรัทธาของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ การสำรวจตรวจตราพรหมวิหาร จิตของเรามีพรหมวิหาร มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดีอยู่ตลอดเวลา รู้จักความเสียสละ เสียสละทั้งภายนอกเสียสละทั้งภายในอยู่ตลอดเวลา บุคคลเช่นนี้แหละจะได้เข้าใกล้พระพุทธองค์ตลอดเวลา ท่านถึงบอกว่าใครรู้จิตคนนั้นก็เห็นธรรม ใครเห็นธรรมคนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า

พุทธะก็คือผู้รู้ เราทำจิตของเราให้เป็นผู้รู้ เราก็จะได้อยู่กับพระพุทธองค์ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา เราก็มีสติเข้าไปตรวจสอบจิตของเราตลอดเวลา
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา เราพยายามทำกายของเราให้เป็นวัด ทำจิตของเราให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ จิตของเราปล่อยละวางได้มากเท่าไหร่ จิตของเราก็ถึงองค์พระได้มากขึ้นเป็นทวีคูณ อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา เวลานั้นถึงจะทำเวลานี้ถึงจะทำ ถ้าเราคิดอย่างนั้นยังเป็นบุคคลที่ประมาทอยู่ เราต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม เป็นผู้รู้ผู้ตื่นอยู่ตลอดเวลา

จิตของเราตื่นตั้งมั่นรับรู้ เพราะว่าจิตของเราเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาอยากหลงอยู่ ในส่วนลึกๆเขายังหลงความคิดหลงอารมณ์ เขายังไปรวมกันอยู่ เราอยากจะปล่อยอยากจะวาง แต่เราก็วางไม่ได้ เพราะว่าเราไม่รู้จุดวาง เราต้องพยายามมาเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ ถ้ารู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับจักอดจักข่ม หมั่นชสร้างตบะบารมีของเราไปเรื่อยๆ จนถึงวาระเวลา เราก็จะแยกรูปแยกนามเดินปัญญาเข้าสู่วิปัสสนา ชำระสะสางกิเลส

เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราตั้งใจปลูกวันนี้เราจะเร่งให้เขาออกดอกออกผลวันนี้ก็ไม่ได้หรอก เราต้องหมั่นรดน้ำหมั่นพรวนดิน ถึงวาระเวลาเขาก็ออกดอกออกผลให้เรา การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เราหมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณา หมั่นสร้างตบะบารมีของเราอยู่บ่อยๆ อยู่เนืองๆ ถ้าถึงวาระเวลาแล้ว ภาระหน้าที่สมมติของเราเต็มอิ่มแล้ว เราก็เข้าถึงวิมุตติ ดับความเกิด ละกิเลสออกจากจิตจากใจของเราให้มันหมด

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงพยายามพากันขยันหมั่นเพียร ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็พยายามขยันหมั่นเพียร อย่ามาสร้างความเกียจคร้านให้ตัวเราเอง การสร้างความเกียจคร้านให้กับตัวเรา หนักทั้งตัวเรา หนักทั้งสถานที่ หนักทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ เอาออกให้หมดจากจิตจากใจของเรา

อย่าให้มีความอยากแม้แต่นิดเดียว แม้ตั้งแต่อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา อยากเกิด ลึกๆ ลงไปแม้ตั้งแต่อยากจะรู้ธรรม แต่การกระทำคือการดับการละ การสังเกตการวิเคราะห์ตรงนี้แหละสำคัญ เราก็ต้องพยายามหมั่นชำระสะสาง หมั่นดับหมั่นละ หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ หมั่นทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา

ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เข้าใจ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ ถ้าเรารู้จักทำความเข้าใจ ถ้าบุคคลมีสติมีปัญญาฟังนิดเดียว การสร้างสติเป็นอย่างนี้ การดับ การควบคุมจิตเป็นอย่างนี้ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืนก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของจิต เพราะว่าจิตทำไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติเขาทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วยทั้งยึดด้วยสารพัดอย่าง ถ้าเราเริ่มฝึกหัดปฏิบัติเมื่อไหร่ กิเลสมารเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็หาหนทางเข้ามาขัดขวางทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน ตัวไหนจะมากกว่ากัน ก็ต้องพยายาม กุศลหรือว่าอกุศลมาก เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ พยายามศึกษาแล้วก็ทำความเข้าใจ รู้ความเป็นจริงแล้วจิตเขาไม่เอาหรอกทุกข์ เขาจะละวางหมด อย่างน้อยๆ ก็ทำให้จิต ดำเนินจิตของเราให้อยู่ในกองกุศลกองบุญเอาไว้ หมั่นสร้างบุญสร้างกุศลเอาไว้เท่าที่โอกาสอำนวยให้

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง