หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 109
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 109
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเรา นั่งตามอิริยาบถให้สบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย
ถึงจิตของเราจะสงบอยู่ปกติอยู่ ก็ให้มีความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา พยายามฝึกฝนให้เกิดความเคยชิน แล้วก็พยายามทำความเข้าใจให้ได้
(เอาไว้นั้นก่อนคุณโยม เอาวางไว้ก่อนๆๆๆๆ ไม่เป็นไรหรอก เอาวางไว้ตรงนั้นก่อน)
พยายามฝึกฝนตัวเราเองให้เกิดความเคยชินว่า เราไปอย่างไรมาอย่างไร ลักษณะของจิตที่สงบ ลักษณะของจิตที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของจิตที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้ส่วนหนึ่ง ส่วนการเกิดการดับของจิตนั้นอีกส่วนหนึ่ง แล้วก็แยกอีก แยกออกไปอีก ว่าอาการของจิตอีกทีหนึ่ง จะเป็นเรื่องอดีตเรื่องอนาคต
แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรามีน้อย ความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่อง ทั้งที่ใจของเราก็เป็นบุญ ฝักใฝ่ในบุญ ปรารถนาที่จะดับทุกข์ ปรารถนาที่จะหลุดพ้น แต่การทำความเข้าใจที่ถูกต้องและแยบคายไม่ต่อเนื่องกัน ก็เลยไม่เห็น ถ้าเราหมั่นสังเกตตัวเรา วิเคราะห์ตัวเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตของเรามีอะไรเข้าไปครอบงำ มีนิวรณ์หรือเปล่า จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง มีความกังวลมีความฟุ้งซ่านเรื่องอะไร เราก็รีบดับรีบแก้ไข จิตของเรามีความลังเล มีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามทำในสิ่งตรงกันข้าม พยายามฝึกเอา แก้ไขเอา ปรับปรุงตัวเราเอง
ภายนอก สมมติ โลกธรรมแปด เราก็ต้องทำความเข้าใจแล้วก็สร้างขึ้นมา ทำไมถึงพูดอย่างนี้ เพราะว่ากายของเรายังอาศัยสมมติอยู่ ยังอาศัยกินอยู่หลับนอน ยังอาศัยอยู่กับหมู่กับคณะอยู่กับสังคม ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจกับสมมติ สมมติก็ลำบาก ไม่สร้างสมมติขึ้นมา สมมติก็ลำบาก เพราะว่ากายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ยารักษาโรค
ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ธรรมอย่างเดียว ธรรมกับโลกเขาก็อยู่ด้วยกัน โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน อะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล อะไรควรละอะไรควรเจริญ คนเรามาจากไหน จากไม่มีมาทำให้มี พอมีแล้วพอถึงจุดหมายปลายทางแล้วก็วางออกไม่ให้มี มันมีอยู่ในสิ่งที่ไม่มี คือดวงจิตที่สะอาดที่บริสุทธิ์ เดิมแท้นั้นจิตบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสเข้าไปเจือปน จิตเกิดความหลง จิตยังเกิดอยู่ถึงได้เกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์ แล้วก็เกิดมา มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ
มาคลายความหลง มาเดินปัญญา ชำระสะสางกิเลส เข้าหาความสะอาดความบริสุทธิ์ เข้ามาดับความเกิด ละความเกิด ไม่ให้จิตไปก่อภพก่อชาติอีก ตราบใดที่จิตยังเกิดอยู่เขาก็ต้องเกิด ถ้าเราแยกรูปแยกนามไม่ได้ เราก็ว่าตัวเราไม่หลง ในหลักธรรมแล้วต้องรู้ต้องแยกต้องทำความเข้าใจ แล้วค่อยละ ขัดเกลาจิตใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา
การได้ยินได้ฟังได้อ่าน การได้ศึกษาการได้ค้นคว้า ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือที่จะทำความเข้าใจ รู้ลักษณะอาการ รู้จักตามดู รู้จักละ หาเหตุหาผลเขาจริงๆ นี่มีน้อย ส่วนมากก็ไปแสวงหาด้วยตัวจิตโดยตรง มีความทะเยอทะยานอยาก แล้วก็ทำตามความอยากนั้น อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม อยากจะเห็นธรรม อยากประพฤติปฏิบัติธรรม แต่องค์ธรรมจริงๆ ยังไม่เข้าถึง ตัวองค์ธรรมจริงๆ ก็คือตัวจิตของเรานั่นแหละ
จิตที่ไม่มีอะไร จิตที่สะอาดบริสุทธิ์ จิตที่ว่างเปล่า จิตที่ไม่เกิด นั่นแหละคือองค์ธรรม การเกิดของจิต ถึงจะเกิดในธรรม แต่ก็ยังเป็นกิเลสธรรมที่ยังเกิดยังวิ่งอยู่
ถ้าเรามาดับ มาอด มาข่ม มาฝืน มาแยกแยะ มาทำความเข้าใจให้ถึงที่สิ้นสุด จิตเขาก็ยอมรับความเป็นจริง จิตนี่ก็แปลก ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ เขาก็จะวิ่งอยู่นั่นแหละ ทั้งวิ่งด้วยทั้งยึดด้วยทั้งหลงด้วย อาจจะหลงในทางที่ถูก หรือว่าหลงในทางที่ผิด หลงบุญ หลงทุกสิ่งทุกอย่าง
ถ้าเขาได้หลงเพราะว่าเรายังไม่ได้คลาย ยังไม่แยกรูปแยกนาม ถ้าแยกรูปแยกนามเพียงแค่เป็นสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงในเบื้องต้นของการเดินปัญญาเข้าสู่วิปัสสนา การแยกรูปแยกนามเพียงแค่เริ่มต้น แล้วก็การตามทำความเข้าใจ จนจิตเกิดความเบื่อหน่าย เขาถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ เราก็รู้จักชำระสะสางกิเลส จากหยาบไปหาละเอียด จนการเกิดของจิตไม่มี จนดับการเกิด จนปล่อยวางจิตให้เป็นอิสระ มีความรับรู้แต่ไม่เกิด สติปัญญาไปเกิดแทนทำหน้าที่แทน
การที่จะเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร สำรวจตัวเองแก้ไขตัวเอง หมั่นพร่ำสอนตัวเอง ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็อย่าให้เกิดขึ้นที่จิต แม้แต่การเกิด แม้แต่การคิด
คนทั่วไปก็ธรรมชาติของจิต คนทั่วไปก็จะคิดว่าธรรมชาติของจิตมันต้องคิดต้องเกิด แต่ในหลักธรรมแล้วท่านให้ละ ให้ดับความเกิด ให้คลายความเกิด ให้ดับความเกิด สติปัญญาไปเกิดแทนทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง ให้จิตรับรู้ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาไปแก้ไข
มีมนุษย์เราเท่านั้นแหละที่มีสติปัญญาที่จะเข้าถึงหลักของอนัตตาจริงๆ ถ้าขยันหมั่นเพียร จิตของเราเป็นธรรมแล้ว ก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรม จิตของเราว่างเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นของว่าง แต่สมมติก็มีอยู่ อัตตาตัวตนก็มีอยู่ ก็เป็นสมมติจริงๆ เป็นร่างกายของเราจริงๆ เป็นพ่อแม่พี่น้องของเราจริงๆ แต่ถ้าถึงวาระเวลาทางด้านรูปขันธ์แตกดับ ก็เหลือตั้งแต่ทางด้านจิตเป็นฝ่ายนามธรรม เขาจะปรากฏให้เห็นชัดเจน
แต่เวลานี้เราเจริญสติเข้าไปรู้เข้าไปเห็นแยกแยะ รู้ด้วยลักษณะอาการ ตามรู้ รู้เห็นตามความเป็นจริงจริงๆ พระเราชีเราก็เหมือนกัน ขยันหมั่นเพียรกัน ช่วยกันทุกอย่าง ทั้งงานรูปธรรม ทั้งงานด้านนามธรรม ก็แก้ไขตัวเองทางด้านรูปธรรมแล้วก็ช่วยกัน เพื่อที่จะยังสมมติให้อยู่ดีมีความสุข
อย่าเกียจคร้าน ถ้าความเกียจคร้านเข้าครอบงำแล้วไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญ เราต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร รู้จักรับผิดชอบตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองช่วยเหลือคนอื่น มีความเสียสละ อยู่ด้วยกันเป็นหมู่เป็นคณะ ยิ่งเพิ่มความสมัครสมานสามัคคี ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะจา ขอให้ระวังคำพูดของตัวเอง ลึกลงไปก็ระวังความคิดของตัวเรา อะไรควรทำ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ
อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข คนที่มีสติมีปัญญาไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นได้เคี่ยวเข็ญ ตัวเราเองจะแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง รู้ไม่ทันก็รู้จักดับ
วันนี้เราละกิเลสได้เท่านี้ เท่านี้ยังเกิดอยู่ เราก็ต้องพยายามละอีก กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร ใจของเราทำหน้าที่อย่างไร ถ้าเรารู้เห็นตั้งแต่ต้นเหตุจะสนุก สนุกในการทำความเพียร สนุกในการทำสมมติให้เกิดประโยชน์ ทำงานไปด้วยจิตพักผ่อนไปด้วย มีความรับรู้ไปด้วย จิตของเราเกิดกิเลส เกิดนิวรณธรรม หรือว่าเกิดมลทิน เราก็จะได้รู้จักชำระสะสาง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา
นี่แหละ การประพฤติปฏิบัติธรรมไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก จากความมีแล้วก็พยายามเอาออกไม่ให้มี จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของสติเรื่องของปัญญา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง
นี่ก็คงจะใกล้วันที่ 20-21 พระพุทธรูปหยกใหญ่ก็คงจะมาถึง เป็นหยกขาวที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีเข้ามาในประเทศไทยของเรา แล้วก็เป็นหยกขาวซึ่งจะมาแกะเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมก็สูง 7 เมตร ญาติโยมท่านใดมีโอกาสอยากจะมาร่วมบุญ อยากจะมาตั้งโรงทานร่วมหมู่ร่วมคณะ โอกาสเปิดให้สถานที่เปิดให้ ก็ขอเชิญนะ ไปลงชื่ออยู่ที่โรงครัว เห็นว่าลงกันเยอะเป็นหน้ากระดาษ 2 หน้ากระดาษแล้ว วันนั้นที่จะมาตั้งโรงทานกัน
มีโอกาสได้ทำบุญร่วมกัน ยากที่จะมีเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ หยกก็เป็นของหายาก ยิ่งมาแกะเป็นพระพุทธรูปองค์แทนของพระพุทธองค์ แกะในสิ่งที่เป็นสิริมงคล ให้ทุกคนได้กราบได้ไหว้ก็ยิ่งเป็นสิริมงคลของมนุษย์ เหล่าเทวดาทั้งหลายก็จะพากันมากกราบมาไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล
อยากจะให้สูงขึ้นไปอีกก็ต้องประพฤติปฏิบัติตน ขัดเกลากิเลสคลายความหลง ชำระสะสางกิเลสออกให้มันหมดจด ตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ หรือพระพุทธเจ้าก็จะจะมาอยู่ในใจของพวกเรา พุทธะก็คือผู้รู้ เจ้าก็คือพระ พระผู้รู้ ใจของเรานั่นแหละคือพระ หมั่นชำระสะสางกิเลส การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การสำรวจการตามทำความเข้าใจ ก็ต้องพยายามทำกันเอานะ
วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ถึงจิตของเราจะสงบอยู่ปกติอยู่ ก็ให้มีความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา พยายามฝึกฝนให้เกิดความเคยชิน แล้วก็พยายามทำความเข้าใจให้ได้
(เอาไว้นั้นก่อนคุณโยม เอาวางไว้ก่อนๆๆๆๆ ไม่เป็นไรหรอก เอาวางไว้ตรงนั้นก่อน)
พยายามฝึกฝนตัวเราเองให้เกิดความเคยชินว่า เราไปอย่างไรมาอย่างไร ลักษณะของจิตที่สงบ ลักษณะของจิตที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของจิตที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้ส่วนหนึ่ง ส่วนการเกิดการดับของจิตนั้นอีกส่วนหนึ่ง แล้วก็แยกอีก แยกออกไปอีก ว่าอาการของจิตอีกทีหนึ่ง จะเป็นเรื่องอดีตเรื่องอนาคต
แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรามีน้อย ความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่อง ทั้งที่ใจของเราก็เป็นบุญ ฝักใฝ่ในบุญ ปรารถนาที่จะดับทุกข์ ปรารถนาที่จะหลุดพ้น แต่การทำความเข้าใจที่ถูกต้องและแยบคายไม่ต่อเนื่องกัน ก็เลยไม่เห็น ถ้าเราหมั่นสังเกตตัวเรา วิเคราะห์ตัวเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตของเรามีอะไรเข้าไปครอบงำ มีนิวรณ์หรือเปล่า จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง มีความกังวลมีความฟุ้งซ่านเรื่องอะไร เราก็รีบดับรีบแก้ไข จิตของเรามีความลังเล มีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามทำในสิ่งตรงกันข้าม พยายามฝึกเอา แก้ไขเอา ปรับปรุงตัวเราเอง
ภายนอก สมมติ โลกธรรมแปด เราก็ต้องทำความเข้าใจแล้วก็สร้างขึ้นมา ทำไมถึงพูดอย่างนี้ เพราะว่ากายของเรายังอาศัยสมมติอยู่ ยังอาศัยกินอยู่หลับนอน ยังอาศัยอยู่กับหมู่กับคณะอยู่กับสังคม ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจกับสมมติ สมมติก็ลำบาก ไม่สร้างสมมติขึ้นมา สมมติก็ลำบาก เพราะว่ากายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ยารักษาโรค
ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ธรรมอย่างเดียว ธรรมกับโลกเขาก็อยู่ด้วยกัน โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน อะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล อะไรควรละอะไรควรเจริญ คนเรามาจากไหน จากไม่มีมาทำให้มี พอมีแล้วพอถึงจุดหมายปลายทางแล้วก็วางออกไม่ให้มี มันมีอยู่ในสิ่งที่ไม่มี คือดวงจิตที่สะอาดที่บริสุทธิ์ เดิมแท้นั้นจิตบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสเข้าไปเจือปน จิตเกิดความหลง จิตยังเกิดอยู่ถึงได้เกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์ แล้วก็เกิดมา มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ
มาคลายความหลง มาเดินปัญญา ชำระสะสางกิเลส เข้าหาความสะอาดความบริสุทธิ์ เข้ามาดับความเกิด ละความเกิด ไม่ให้จิตไปก่อภพก่อชาติอีก ตราบใดที่จิตยังเกิดอยู่เขาก็ต้องเกิด ถ้าเราแยกรูปแยกนามไม่ได้ เราก็ว่าตัวเราไม่หลง ในหลักธรรมแล้วต้องรู้ต้องแยกต้องทำความเข้าใจ แล้วค่อยละ ขัดเกลาจิตใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา
การได้ยินได้ฟังได้อ่าน การได้ศึกษาการได้ค้นคว้า ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือที่จะทำความเข้าใจ รู้ลักษณะอาการ รู้จักตามดู รู้จักละ หาเหตุหาผลเขาจริงๆ นี่มีน้อย ส่วนมากก็ไปแสวงหาด้วยตัวจิตโดยตรง มีความทะเยอทะยานอยาก แล้วก็ทำตามความอยากนั้น อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม อยากจะเห็นธรรม อยากประพฤติปฏิบัติธรรม แต่องค์ธรรมจริงๆ ยังไม่เข้าถึง ตัวองค์ธรรมจริงๆ ก็คือตัวจิตของเรานั่นแหละ
จิตที่ไม่มีอะไร จิตที่สะอาดบริสุทธิ์ จิตที่ว่างเปล่า จิตที่ไม่เกิด นั่นแหละคือองค์ธรรม การเกิดของจิต ถึงจะเกิดในธรรม แต่ก็ยังเป็นกิเลสธรรมที่ยังเกิดยังวิ่งอยู่
ถ้าเรามาดับ มาอด มาข่ม มาฝืน มาแยกแยะ มาทำความเข้าใจให้ถึงที่สิ้นสุด จิตเขาก็ยอมรับความเป็นจริง จิตนี่ก็แปลก ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ เขาก็จะวิ่งอยู่นั่นแหละ ทั้งวิ่งด้วยทั้งยึดด้วยทั้งหลงด้วย อาจจะหลงในทางที่ถูก หรือว่าหลงในทางที่ผิด หลงบุญ หลงทุกสิ่งทุกอย่าง
ถ้าเขาได้หลงเพราะว่าเรายังไม่ได้คลาย ยังไม่แยกรูปแยกนาม ถ้าแยกรูปแยกนามเพียงแค่เป็นสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงในเบื้องต้นของการเดินปัญญาเข้าสู่วิปัสสนา การแยกรูปแยกนามเพียงแค่เริ่มต้น แล้วก็การตามทำความเข้าใจ จนจิตเกิดความเบื่อหน่าย เขาถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ เราก็รู้จักชำระสะสางกิเลส จากหยาบไปหาละเอียด จนการเกิดของจิตไม่มี จนดับการเกิด จนปล่อยวางจิตให้เป็นอิสระ มีความรับรู้แต่ไม่เกิด สติปัญญาไปเกิดแทนทำหน้าที่แทน
การที่จะเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร สำรวจตัวเองแก้ไขตัวเอง หมั่นพร่ำสอนตัวเอง ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็อย่าให้เกิดขึ้นที่จิต แม้แต่การเกิด แม้แต่การคิด
คนทั่วไปก็ธรรมชาติของจิต คนทั่วไปก็จะคิดว่าธรรมชาติของจิตมันต้องคิดต้องเกิด แต่ในหลักธรรมแล้วท่านให้ละ ให้ดับความเกิด ให้คลายความเกิด ให้ดับความเกิด สติปัญญาไปเกิดแทนทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง ให้จิตรับรู้ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาไปแก้ไข
มีมนุษย์เราเท่านั้นแหละที่มีสติปัญญาที่จะเข้าถึงหลักของอนัตตาจริงๆ ถ้าขยันหมั่นเพียร จิตของเราเป็นธรรมแล้ว ก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรม จิตของเราว่างเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นของว่าง แต่สมมติก็มีอยู่ อัตตาตัวตนก็มีอยู่ ก็เป็นสมมติจริงๆ เป็นร่างกายของเราจริงๆ เป็นพ่อแม่พี่น้องของเราจริงๆ แต่ถ้าถึงวาระเวลาทางด้านรูปขันธ์แตกดับ ก็เหลือตั้งแต่ทางด้านจิตเป็นฝ่ายนามธรรม เขาจะปรากฏให้เห็นชัดเจน
แต่เวลานี้เราเจริญสติเข้าไปรู้เข้าไปเห็นแยกแยะ รู้ด้วยลักษณะอาการ ตามรู้ รู้เห็นตามความเป็นจริงจริงๆ พระเราชีเราก็เหมือนกัน ขยันหมั่นเพียรกัน ช่วยกันทุกอย่าง ทั้งงานรูปธรรม ทั้งงานด้านนามธรรม ก็แก้ไขตัวเองทางด้านรูปธรรมแล้วก็ช่วยกัน เพื่อที่จะยังสมมติให้อยู่ดีมีความสุข
อย่าเกียจคร้าน ถ้าความเกียจคร้านเข้าครอบงำแล้วไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญ เราต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร รู้จักรับผิดชอบตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองช่วยเหลือคนอื่น มีความเสียสละ อยู่ด้วยกันเป็นหมู่เป็นคณะ ยิ่งเพิ่มความสมัครสมานสามัคคี ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะจา ขอให้ระวังคำพูดของตัวเอง ลึกลงไปก็ระวังความคิดของตัวเรา อะไรควรทำ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ
อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข คนที่มีสติมีปัญญาไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นได้เคี่ยวเข็ญ ตัวเราเองจะแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง รู้ไม่ทันก็รู้จักดับ
วันนี้เราละกิเลสได้เท่านี้ เท่านี้ยังเกิดอยู่ เราก็ต้องพยายามละอีก กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร ใจของเราทำหน้าที่อย่างไร ถ้าเรารู้เห็นตั้งแต่ต้นเหตุจะสนุก สนุกในการทำความเพียร สนุกในการทำสมมติให้เกิดประโยชน์ ทำงานไปด้วยจิตพักผ่อนไปด้วย มีความรับรู้ไปด้วย จิตของเราเกิดกิเลส เกิดนิวรณธรรม หรือว่าเกิดมลทิน เราก็จะได้รู้จักชำระสะสาง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา
นี่แหละ การประพฤติปฏิบัติธรรมไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก จากความมีแล้วก็พยายามเอาออกไม่ให้มี จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของสติเรื่องของปัญญา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง
นี่ก็คงจะใกล้วันที่ 20-21 พระพุทธรูปหยกใหญ่ก็คงจะมาถึง เป็นหยกขาวที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีเข้ามาในประเทศไทยของเรา แล้วก็เป็นหยกขาวซึ่งจะมาแกะเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมก็สูง 7 เมตร ญาติโยมท่านใดมีโอกาสอยากจะมาร่วมบุญ อยากจะมาตั้งโรงทานร่วมหมู่ร่วมคณะ โอกาสเปิดให้สถานที่เปิดให้ ก็ขอเชิญนะ ไปลงชื่ออยู่ที่โรงครัว เห็นว่าลงกันเยอะเป็นหน้ากระดาษ 2 หน้ากระดาษแล้ว วันนั้นที่จะมาตั้งโรงทานกัน
มีโอกาสได้ทำบุญร่วมกัน ยากที่จะมีเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ หยกก็เป็นของหายาก ยิ่งมาแกะเป็นพระพุทธรูปองค์แทนของพระพุทธองค์ แกะในสิ่งที่เป็นสิริมงคล ให้ทุกคนได้กราบได้ไหว้ก็ยิ่งเป็นสิริมงคลของมนุษย์ เหล่าเทวดาทั้งหลายก็จะพากันมากกราบมาไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล
อยากจะให้สูงขึ้นไปอีกก็ต้องประพฤติปฏิบัติตน ขัดเกลากิเลสคลายความหลง ชำระสะสางกิเลสออกให้มันหมดจด ตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ หรือพระพุทธเจ้าก็จะจะมาอยู่ในใจของพวกเรา พุทธะก็คือผู้รู้ เจ้าก็คือพระ พระผู้รู้ ใจของเรานั่นแหละคือพระ หมั่นชำระสะสางกิเลส การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การสำรวจการตามทำความเข้าใจ ก็ต้องพยายามทำกันเอานะ
วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง