หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 107

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 107
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 107
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมแล้วก็ลูกๆ นักเรียนทุกคนจงเจริญสติ ทำความสงบให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา นั่งตามอิริยาบถให้สบายนะ ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางกายแล้วก็หยุดคิด ดับความคิดความปรุงความแต่งทุกชนิดเอาไว้ให้หมด ด้วยการสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับอย่าไปเพ่ง อันนี้เป็นอุบายทำใจของเราให้สงบอยู่กับการหายใจเข้าออก มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ลมสัมผัสที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้สึกตัว หรือว่าน้อมเข้าไปมีความรู้สึกตัว รับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออกของเราหรือไม่ เราต้องพยายามฝึกฝนให้เกิดความเคยชิน ถ้าเราไม่ฝึก ไม่มีใครจะฝึกให้เราได้ ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีอานิสงส์ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ได้ผ่านกาลผ่านเวลา มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดีมา มีความขยันหมั่นเพียร ฝักใฝ่ในการสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้กับตัวเอง

แต่การเจริญสติรู้ตัวที่ต่อเนื่อง พวกเราไม่ค่อยจะทำกันให้ต่อเนื่อง เพราะว่าความคิดปัญญาเก่าๆ ความเคยชินเก่าๆ ที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้านั้นส่งออกไปก่อน หาเหตุหาผลส่งออกไปก่อน อาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติ แต่ในระดับของหลักธรรม เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปคลายความหลงให้ได้ หมั่นสังเกต จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความคิด อันนี้สำหรับบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถึงจะเข้าใจ

พวกลูกๆ เด็กๆ ใหม่ๆ ก็อาจจะสร้างความขยันหมั่นเพียรมีความรับผิดชอบขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ตื่นแต่เช้า มีความเสียสละให้หมู่ให้คณะให้เพื่อน มีความรับผิดชอบในตัวเรา แล้วก็จะล้นออกไปภายนอก มีความขยันหมั่นเพียร รู้จักสำรวมกายระวังกายวาจา ลึกลงไปก็ระวังใจ ส่วนมากจะไม่ค่อยจะระวังใจ ใจนี้จะส่งจะวิ่ง เพียงแค่ควบคุมก็ยังยากอยู่ เอาแค่ควบคุมให้สงบ มันก็ยังฉุกกระชากลากกันกลับไปกลับมา หรือว่าปล่อยไปเลย

ส่วนมากก็มีแต่ปล่อยไปเลย ทำตามอารมณ์ทำตามความคิด อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ ก็ต้องพยายามกัน ฝึกฝนตนเอง ทีละเล็กทีละน้อยไป อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง กาลเวลาเป็นของมีค่า ทุกคนมีเวลาเท่ากัน ทุกคนมีลมหายใจเข้าออกเหมือนกันหมด ตั้งแต่เกิดออกจากท้องพ่อท้องแม่มามีลมหายใจ

แต่เราขาดการวิเคราะห์ขาดการสังเกตเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายาม ทุกคนมาด้วยแรงบุญ มาด้วยแรงกรรม บางคนบางท่านก็สร้างมาดี บางคนบางท่านก็สร้างมาแล้วก็มาสร้างมาสานต่อ บางคนบางท่านก็ถึงฝั่งได้เร็วได้ไว้ บางคนบางท่านก็ต้องไปเสวยวิบากกรรมตรงจุดโน้นบ้างตรงจุดนี้บ้าง

วิบากกรรมคือการกระทำ คือทำขณะปัจจุบันนี่แหละ การงานของเรานี่แหละ เรียกว่า ‘วิบากกรรม’ เราทำการงานที่ดีก็ส่งผลออกมาในทางที่ดี ลึกลงไปก็วิบากกรรมทางด้านความคิดทางด้านอารมณ์ อาการของขันธ์ห้านั่นแหละคือตัวกรรม

วิบากกรรมเก่าที่มาปรุงแต่ง ที่มาหมุนจิตของเรา ปรุงแต่งจิตของเราเข้าไปร่วมหมุนเป็นวัฏจักรเป็นวงกลม ถ้าเราสังเกตแยกได้เหมือนกับเราตัดวงกลมออก แต่ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจเขาก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิม

เรื่องจิตนี่เป็นของละเอียดอ่อน เป็นของที่ละเอียด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม นามกับรูป รูปกับนาม นามก็ยังจำแนกแจกแจงออกไปอีก เรื่องอดีตเรื่องอนาคต เรื่องกุศลเรื่องอกุศล เรื่องกลางๆ ส่วนรูปธรรมร่างกายนี้ก็มีกันทุกคน

รอบรู้ในกองสังขาร กองสังขารในกายของเรานี่ กองสังขารภายนอกซึ่งไม่มีวิญญาณครอง กองสังขารในกายของเราซึ่งมีวิญญาณครองเป็นอย่างไร มาอย่างไร เราต้องศึกษาให้ละเอียด ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ทรัพย์ภายนอกอย่างเดียว เพราะว่าสมมติกับวิมุตติก็อยู่ร่วมกัน ธรรมกับโลกก็อยู่ร่วมกัน ถ้าเราเข้าใจธรรมเราก็เข้าใจโลก

ถ้าส่วนมากก็เอาตั้งแต่โลก แต่ลืมทำความเข้าใจกับจิตซึ่งเป็นองค์ธรรม ก็ต้องพยายามกัน ลูกหลานนักเรียนของเราก็เป็นบุคคลที่มีบุญ ได้เกิดมาในสถานที่มีบุญ ได้รับการศึกษากับครูบาอาจารย์ ผู้หลักผู้ใหญ่ผู้อำนวยการก็มีบุญ ถ้าไม่มีบุญ มองไม่เห็นการณ์ไกลก็ไม่ให้ลูกให้หลานเข้ามาศึกษา อย่างน้อยๆ ก็ได้มาพักที่ป่า ได้กายวิเวก มาเปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนสถานที่ ใจมันก็ตื่นเต้น ตัวตื่นเต้นนั่นแหละคือตัวใจ

เวลาจะเดินไปโน่นเดินไปนี่มันตื่นเต้น เห็นอันโน้นบ้างเห็นอันนี้บ้าง ถ้าเรารู้จักดับ ก็อยู่กับลมหายใจบ้าง อยู่กับการเดินบ้าง ได้ศึกษาผ่านหูผ่านตา ใหม่ๆ ตัวน้อยๆ ได้เห็นอะไรก็ใหญ่โตมหึมาหมด โตขึ้นไปปัญญาก็กว้างขวาง โลกก็แคบลง ช่วงใหม่ๆ นี่ก็มองเห็นโลกกว้าง ออกจากบ้านออกจากที่เก่าไปที่ไหนก็ตื่นตาตื่นใจ มีความดีอกดีใจ บางทีว่าจะได้มานอนวัดมาค้างวัด เพียงแค่ได้ยินข่าวได้ทราบข่าว นอนไม่หลับตั้งหลายวัน ดีใจ นี่แหละเด็กๆ ก็เหมือนกันทุกคน พวกเราก็เหมือนกันสมัยก่อน

ก็มีการพัฒนา ฝากฝังปลูกฝังเอาไว้ ด้วยการสร้างคุณงามความดี สร้างความเสียสละ ผู้ใหญ่ต้องพาทำพาประพฤติพาปฏิบัติ ผู้ใหญ่ผู้อำนวยการท่านก็พามา พาผู้บริหารผู้อำนวยการฝ่ายคณะครูมาก่อน แล้วก็ให้ลูกให้หลานมา นี่แหละนับว่ามีบุญ ได้มาเรียนในสถานที่เป็นบุญ ได้มาเรียนในที่มีบุญ

ด้านการศึกษา ปัญญาทางสมมติก็หมั่นพร่ำสอน ทางด้านคุณธรรมท่านก็หาอุบายให้เด็กเข้ามาวัดมาศึกษามาค้นคว้า ให้ได้ควบคู่กันไปทั้งภายนอกภายใน นับว่าเป็นบุคคลที่มีบุญนะพวกเด็กๆ พยายาม กลับไปบ้านก็ขยันหมั่นเพียรช่วยพ่อช่วยแม่ นั่นแหละ เรียกว่าได้ทำบุญให้กับตัวเรา ได้ทำบุญให้กับพ่อกับแม่

เรามาวัดมาปฏิบัติมาขัดเกลาตัวเอง พ่อแม่ก็ได้บุญ ทำไมถึงว่าได้บุญ เพราะว่าพ่อแม่ก็ดีใจอิ่มใจเห็นว่าลูกไปวัด ไปวัดครูบาอาจารย์พาไปปฏิบัติธรรม พ่อแม่ก็ดีใจ นั่นแหละบุญเกิดขึ้นกับพ่อกับแม่ ทีนี้แล้วบุญเกิดขึ้นกับเราหรือไม่ เรามีความเสียสละ เราละความความเกียจคร้าน เราทำบุญให้กับตัวเรา

ถ้าเราแอบหนีไปเที่ยว เหมือนถ้าเราแอบหนีไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์ ไม่เชื่อฟังพ่อเชื่อฟังแม่ เหมือนกับการฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าทางด้านจิตใจไม่ใช่ฆ่าทางด้านอาวุธ อันนี้ยิ่งหนักยิ่งร้ายแรง เราต้องพยายามขยันหมั่นเพียร ช่วยเหลือตัวเองให้ได้ เจริญพรหมวิหารให้มากๆ ก็จะเป็นอุปนิสัยติดตามตัวเราไปในวันข้างหน้า ไปที่ไหนก็ไม่ตกอับ ถ้าเราละความเกียจคร้าน มีความรับผิดชอบให้มากๆ จากน้อยๆ อะไรเราทำ พอทำช่วยพ่อช่วยแม่ช่วยครูบาอาจารย์ได้ เราก็ทำ

แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราก็ไปดูที่บ้านของเรา ห้องส้วมห้องน้ำดูสะอาดหรือไม่ ห้องครัวเป็นระเบียบเรียบร้อย ที่พักที่อาศัยของเรา นั่นแหละเราก็ได้ทำบุญให้กับตัวเรา ได้ทำบุญให้พ่อให้แม่ มีความรับผิดชอบ มีความรับผิดชอบจากน้อยๆ ก็จะเต็มเปี่ยม ต่อไปในวันข้างหน้าก็จะช่วยเหลือตัวเองได้ใช้ตัวเองเป็น เราก็จะเป็นที่พึ่งของตัวเรา เป็นที่พึ่งของคนอื่นในวันข้างหน้า ก็ต้องพยายามกันนะ

มาที่นี่ก็มาบ้านของเรา ให้เหมือนกับอยู่บ้านของเรา ให้ตัดความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ ออกไปให้หมด ทุกคนก็มีบุญมีความรับผิดชอบตัวเองอยู่ในตัว อะไรผิดอะไรถูก อะไรควรละอะไรควรเจริญ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง