หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 106
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 106
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เมื่อวานนี้ก็เด็กนักเรียนลูกๆ เด็กๆ นักเรียนโรงเรียนบ้านโนนชัยใช่มั้ย เทศบาลบ้านโนนชัยก็พากันมา อยู่ชั้นป.ไหนล่ะหนู ป.4 ดีจัง คณะครู 3-4 วันก่อนเป็นคณะครูผู้ใหญ่มาก่อน ผู้อำนวยการก็พาคณะครูท่านมาฝึกอบรม หากายวิเวกหาจิตวิเวก ครูต้องมาก่อนแล้วค่อยเอานักเรียนตามมาทีหลังถึงจะถูก มาฝึกกายวิเวก พากันนอนหลับดีมั้ยล่ะ พากันนอนหลับดีมั้ย ดีแล้วพากันมาฝึก ตัวเล็กๆ มีบุญๆ เป็นคนมีบุญ มาฝึกทีละเล็กทีละน้อย ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเรา ละความเกียจคร้านเพิ่มความขยัน
หัดล้างถ้วยล้างชามให้เป็นนะ หัดล้างถ้วยล้างชาม เก็บเสื้อเก็บผ้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เห็นแก่ตัว มีความเสียสละช่วยเพื่อน ช่วยกันปัดกวาดทำความสะอาดที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ก็จะเป็นทรัพย์สมบัติติดตามตัวเรา ไปที่ไหนเราก็มีความขยัน ขยันหมั่นเพียร แล้วก็หัดเรียนรู้หัดสังเกตอันโน้นควรทำอันนี้ควรทำ อันนี้ไม่เป็นระเบียบอันนี้เป็นระเบียบ เราก็จะเอาไปใช้กับชีวิตของเรา
รับประทานอาหารก็เหมือนกัน เรารู้จักรับประทาน เราก็รู้จักเก็บรู้จักล้าง มีอะไรก็หัดช่วยกัน จะเข้าโรงครัวก็ช่วยยายได้นะ ทำได้ ทำได้หมด มาทีนี้ก็เหมือนกับบ้านของพวกหนู บ้านของพวกหนูเอง มาได้ตลอดเวลา มาได้ตลอดเวลากัน
อากาศก็เย็นพอดี ไม่เจอผีหลอกเนอะ ไม่มีหรอกเนอะ เห็นผีหลอกสักตัวไหม ไม่มี มีแต่ผีหลอกภายใน มันออกไปหลอก ไปหลอกกัน ไม่มีหรอกผีหลอกข้างนอกไม่มี
นี่แหละพวกเธอโตขึ้นก็จะได้สบาย รู้จักตัวเองรู้จักแก้ไขตัวเอง ไม่โลภไม่โกรธ ไม่ลักเล็กขโมยน้อย ไม่หยิบฉวยของเพื่อน มีอะไรก็บอกกัน ช่วยเหลือกัน มีความสมัครสมานสามัคคี เราก็ได้ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ พ่อแม่ก็ดีใจ ครูบาอาจารย์ก็ดีใจ ให้ลูกศิษย์ลูกหาได้เข้ามาวัด
ได้เข้ามาวัดมาละความเกียจคร้าน มาเพิ่มความขยันหมั่นเพียร เท่าที่กำลังของพวกหนูที่จะทำได้ ได้อะไรบ้างล่ะ เมื่อวานนี้ได้อะไรบ้าง หลวงพี่หลวงตาอาจารย์ท่านสอนอะไรบ้าง
สอนกราบยัง กราบสวยๆ เบญจางคประดิษฐ์ สอนกราบด้วย กราบสวยๆ กราบเบญจางคประดิษฐ์ แล้วก็สอนให้สวดท่อง ให้สวดให้ทำความเข้าใจกับการอาราธนาศีลได้นะ อาราธนาศีลให้ได้ กับบทแผ่เมตตา บทแผ่เมตตาไปที่ไหนก็จะได้แผ่เมตตาเราเมตตาเขา จิตใจก็จะเยือกเย็นมีความสงบมีความสุข
เราก็จะได้ทำบุญให้ตัวเรา ทำบุญให้พ่อให้แม่ กลับไปบ้านๆ ก็จะได้ภูมิใจ ไม่เป็นเด็กขี้แง ไม่เป็นเด็กขี้งอน ไม่เป็นเด็กเห็นแก่ตัว พ่อแม่ก็ดีใจ มีความสุขใจ ธรรมดาจริงๆ มาวัดไม่ได้จริงๆ หลวงพ่อก็จะเอาของให้ เอาแมวคนละตัวไปเลี้ยงเอามั้ย แม่ถามว่าไปวัดได้อะไร เนี่ยๆ ได้แมว หลวงพ่อให้มาเลี้ยงคนละตัว ว่าอย่างนั้น ตั้งใจเอานะหนูนะ พากันตั้งใจ ตั้งใจกัน
ยากนะที่จะได้มีครูบาอาจารย์มีผู้ปกครองที่ให้เด็กๆ มาอบรมกัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็อิสรภาพ ให้ความอิสรภาพให้ทุกคน นี่แหละก็เป็นบุญของพวกหนูที่พากันมา มีโอกาสก็ชวนพ่อชวนแม่มา เมื่ออายุมากขึ้นโตขึ้นก็จะได้เป็นคนเก่งๆ เป็นคนดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง มีตั้งแต่จะสร้างประโยชน์ ได้มากได้น้อยก็ค่อยสร้างสะสมไปทีละเล็กทีละน้อย
เราก็มาวัด ไปเห็นไม้หินล้านปีร้อยล้านปียัง เห็นหินร้อยล้านปียัง ไม้กลายเป็นหิน ไม่เคยเห็นใช่มั้ย เออนั่นน่ะ กองอยู่ทางด้านหน้าข้างน้ำตกนั่นแหละ ไม้หลายร้อยพันล้านปีจนกลายเป็นหิน ที่หลวงพ่อได้มีโยมเอามาถวายให้ ก็เลยมาเก็บเอาไว้ให้พวกเธอได้ศึกษากัน ไม้ ต้นไม้ใหญ่สมัยก่อน หลายร้อยหลายพันล้านปีจนกลายเป็นหิน แต่ลายไม้ก็ยังมีให้เห็นเยอะเห็นอยู่ มีโอกาสก็พากันไปดูนะ กองอยู่ข้างน้ำตก
อย่าพากันแอบลงเล่นน้ำบ่อนะ น้ำบ่อลึก ลึกมากทีเดียว มองเห็นอย่างนั้น น้ำลึกอันตรายระวัง จะลุกจะก้าวจะเดินก็ระวัง อันตรายน้ำลึก
วันนี้มีกิจกรรมอะไรบ้างที่จะทำ วันนี้มีกิจกรรมอะไรบ้าง มีกิจกรรมให้หัวเราะแข่งกัน หัวเราะวันละนิดจิตแจ่มใส หัวเราะคนละ 5 นาที คนไหนหัวเราะเก่ง คนไหนหัวเราะเสียงเพราะ จิตก็จะแจ่มใส
ให้ถือน้ำคนละขวดคนละแก้ว เดินคนละเส้น ประคับประคองไม่ให้น้ำหก เสียงเอะอะโครมครามเราก็ดูใจของเรา เกิดความตกใจหรือไม่ เกิดผวาหรือไม่ หรือไปหมดเลยเอาไม่อยู่เลย เราต้องไปฝึกหัดถือแก้วน้ำคนละแก้ว ไม่ให้น้ำหกจะได้มีสมาธิ ถ้าน้ำหกก็ขาด ขาดสมาธิ มีสติอยู่กับแก้วน้ำ ค่อยๆ เดิน หรือเดินข้ามสะพาน มีสติอยู่กับการเดินข้ามสะพาน ถ้าตาเนื้อมองไปที่อื่นขาก็จะร่วงลงสะพาน ถ้าจิตคิดไปที่อื่นเราก็จะร่วงลงสะพาน แต่ให้ถือแก้วน้ำน่ะดี แก้วน้ำแข่งกันคนละ 3 คนละ 4 ใครจะประคับประคองไม่ให้น้ำหกให้ถึงฝั่ง ช่วงที่เราประคับประคองนั่นแหละจิตใจของเรา ถ้าคิดไปที่อื่นน้ำก็จะหก ถ้าสติของเราไม่มีน้ำก็จะหก เราก็ต้องระวัง
ถึงเราจะควบคุมจิตของเราไม่ได้ ไม่รู้ว่าจิตเป็นอย่างไร ไปอย่างไรมาอย่างไร แต่ก็เป็นอุบาย ต่อไปในวันข้างหน้าก็จะเข้าใจ พากันตั้งใจรับพรกันนะ
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราให้ต่อเนื่องกัน นั่งตามอิริยาบถให้สบายนะ ทุกคนนะ ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบายวางใจให้สบาย ลองฟังหลวงพ่อดูแล้วก็น้อมเข้าไปรู้กาย รู้การหายใจเข้าออกของตัวเรา
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง อย่าไปบังคับนะ อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่ง อย่าไปจดจ่อจดจ้อง การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อันนี้เป็นอุบาย กายของเราก็สงบตั้งมั่น รู้สึกว่าความสบายก็เกิดขึ้น การหายใจเข้าไปยาวๆ ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดไป สัมผัสของลมหายใจเขาเรียกว่าความรู้สึกรับรู้ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่นั่นแหละ เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ตรงปลายจมูก ไม่ต้องตามให้ถึงท้องก็ได้ เอาเพียงแค่มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูก เวลาลมวิ่งเข้าแล้วเวลาลมวิ่งออก
เหมือนกับนายประตูทวารที่ห้างบิ๊กซี หรือห้างโลตัสที่นั่งคอยอยู่ที่ประตูทางรถเข้า รถคันไหนวิ่งเข้า เขาก็รู้ว่าบัตรให้ รถคันไหนวิ่งออกรู้เอาบัตรกลับคืนให้ ก็เหมือนกัน ลมหายใจเข้าหรือเราจะเอาคำบริการเข้าไปกำกับ เวลาลมหายใจเข้าก็ระลึกรู้ว่า ‘พุท’ ขณะที่รู้สัมผัสถึงลมหายใจเวลาลมหายใจออกกระทบปลายจมูกของเรา เราก็เอาคำบริการเข้าไปกับเรียกว่า ‘โธ’ พุทโธ พุทโธ ให้ต่อเนื่อง
ในภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘วิตก’ คำใดคำหนึ่งให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘วิจารณ์’ สิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ต่อเนื่อง จิตก็จะสงบระงับตั้งมั่นขึ้นมาทันที อันนี้ก็เรียกว่า ‘สมถภาวนา’ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน แม้ตั้งแต่เรื่องของการหายใจเข้าออก ก็หายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด
ใหม่ๆ การฝึกลมหายใจก็อึดอัด บางทีก็แน่นหน้าท้องบ้าง บางทีก็สมองก็ตึง บางทีหน้าอกก็แน่น เพราะว่าความไม่เคยชิน เราฝึกความไม่เคยชินให้ฝึกเป็นความเคยชิน ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไรเราก็เพิ่มความเพียร คือเพิ่มความรู้ตัว เพิ่มการสังเกต เพิ่มการวิเคราะห์ให้ได้ตลอดเวลา นี่แหละเขาเรียกว่า ‘มีสติรู้กาย’ ต่อไปข้างหน้าก็จะรู้จิต รู้การเกิดของจิต รู้ความปกติของจิต รู้ลักษณะอาการของจิต ลึกลงไปอีกก็จะรู้ลักษณะอาการของขันธ์ห้า เขาเกิดขึ้นมา เขาก่อตัวขึ้นมา แล้วจิตของเราเคลื่อนเข้าไปร่วม
ขณะเขาเคลื่อนเข้าไปรวม เรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็เห็น เห็นจิตเคลื่อนเข้าไปรวมความคิด พอเราเห็นตรงนั้นปุ๊บ จิตก็จะดีดตัวออกจากความคิด เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เขาจะดีดตัวของเขาเอง เหมือนกับขโมยเข้าบ้าน ถ้าเจ้าของบ้านเห็น มันจะรีบหนีทันที จิตก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นเขาเกิดเขาเข้าไปรวมกันปุ๊บ เขาจะดีดกระโดดออกทันที เหมือนกับขึงเชือกตึงๆ แล้วก็เอามีดตัดนี่ เขาก็กระเด้งผึงออกทันที เขาก็จะหงาย ก็เรียกว่าแยกรูปแยกนาม นี่แหละเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’
สำหรับผู้หลักผู้ใหญ่ ถ้าขยันหมั่นเพียร ก็ต้องพยายามหัดสังเกตตรงนี้ ถ้าสติปัญญามีมากมายถึงขนาดไหนก็ช่างเถอะ เราก็ต้องพยายามวางความคิดเก่าๆ หัดสังเกต ไม่ใช่ว่าไม่เอามาใช้ เราอย่าเพิ่งเอาความคิดปัญญาเก่าของเรามาคิดมาค้นมาหา เราต้องมาสร้างตัวรู้ สร้างความรู้สึกตัวเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ ละความอยาก อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม อยากจะได้สมาธิ ละความกังวล ดับความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ ความไม่เข้าใจต่างๆ ออก อย่าไปนึกไปคิดเอาเด็ดขาด
เราต้องเจริญสติให้ต่อเนื่อง ถ้าเราทำได้ต่อเนื่องเราก็จะเห็นจากน้อยๆ ไปหามากๆ แล้วก็ตามดูตามทำความเข้าใจ อันนี้เรื่องของกาย อันนี้กายของเรา สมมติเป็นอย่างนี้ วิมุตติเป็นอย่างนี้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมันเป็นอย่างนี้ เรารู้แล้วเห็นแล้วทำความเข้าใจแล้ว มันไม่อยากจะละมันก็ละ เพราะว่ามันเป็นแค่เป็นอาการเป็นแค่เพียงมายา ไม่มีตัวไม่มีตน จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นทำให้เกิดอัตตาตัวตน
แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา ถ้ายังไม่ถึงวาระถึงเวลาก็ยากที่จะเข้าใจทรัพย์ตรงนี้ เพราะว่าเรายัง บารมีอานิสงส์ของเรายังไม่แก่กล้าพอ ความขยันหมั่นเพียรของเรามีความแก่กล้าหรือยัง ศรัทธาของเรามีความเต็มเปี่ยมหรือยัง วิริยะความเพียร ศรัทธา มีความเชื่อมั่นในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ตัดความลังเลความสงสัยต่างๆ ออกไป
หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ ละกิเลส ละความโลภ ละความโกรธ แล้วก็หัดสังเกต แยกรูปแยกนามคลายความหลงให้ได้ เพียงแค่แยกรูปแยกนาม เพียงแค่เริ่มต้นของการเจริญปัญญาเท่านั้นเอง เราต้องทำความเข้าใจ กำจัดกิเลสต่างๆ ออกไปให้หมด แล้วก็การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม เพราะว่ากายของเรายังอยู่กับสมมติ ยังเกี่ยวเนื่องอยู่กับสมมติ ยังเกี่ยวเนื่องอยู่กับรูปรสกลิ่นเสียง ยังเกี่ยวเนื่องอยู่กับโลกธรรมอยู่ เราต้องรู้จักจำแนกแจกแจง แต่เขาก็อาศัยกันอยู่
เหมือนกับฝ่ามือกับหลังมือ เขาอาศัยกันอยู่ กายของเราก็อาศัยสมมติ จิตของเราก็มาอาศัยกายนี้อยู่ ในกายของเรานี่ยังประกอบด้วยอะไรหลายอย่าง อาการ 32 มีหนังมาห่อหุ้ม มีดวงวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรม ฝ่ายรูปธรรม ถ้าไม่ละเอียดจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ แต่ให้เข้าใจรู้ด้วยลักษณะอาการ นู่นแหละ ร่างกายแตกดับนั่นแหละ ถึงจะได้วางสมมติจริงๆ
ทุกคนก็มีบุญที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีบุญมีกุศล สร้างบุญมาดีถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสได้ทำบุญให้ทาน มีโอกาสได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีการพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นการสร้างสะสมอานิสงส์ให้กับตัวเรา ถ้ากำลังสติ กำลังปัญญา กำลังบารมีของเรามีเพียงพอ สักวันหนึ่งเราก็ต้องถึงจุดหมายปลายทาง
ขณะที่อายุของเรายังไม่ถึง เราก็พยายามสร้างบุญสร้างบารมีไปเรื่อยๆ ถึงเวลาแล้วเขาก็จะเต็มของเขาเอง เหมือนกับการปลูกผลหมากรากไม้ เราจะปลูกวันนี้ เราต้องการผลวันนี้มันก็ไม่ได้เราต้องหมั่นดูแลให้น้ำให้ปุ๋ยเขา ถึงวาระถึงเวลาเขาเจริญเติบโต เราไม่อยากจะได้ดอกเราก็ดอก เราไม่อยากจะได้ผลเราก็ต้องได้ผล เพราะการปลูกการดูแลการรักษาของเรามี
การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน ถ้าน้อมจิตเข้ามาในกองบุญกองกุศล ในการชำระสะสางกิเลส ในการวิเคราะห์ ในการพิจารณา สักวันหนึ่งเราก็จะเข้าใจในการเดินปัญญา ในการแยกรูปแยกนาม ในการทำจิตให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
หัดล้างถ้วยล้างชามให้เป็นนะ หัดล้างถ้วยล้างชาม เก็บเสื้อเก็บผ้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เห็นแก่ตัว มีความเสียสละช่วยเพื่อน ช่วยกันปัดกวาดทำความสะอาดที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ก็จะเป็นทรัพย์สมบัติติดตามตัวเรา ไปที่ไหนเราก็มีความขยัน ขยันหมั่นเพียร แล้วก็หัดเรียนรู้หัดสังเกตอันโน้นควรทำอันนี้ควรทำ อันนี้ไม่เป็นระเบียบอันนี้เป็นระเบียบ เราก็จะเอาไปใช้กับชีวิตของเรา
รับประทานอาหารก็เหมือนกัน เรารู้จักรับประทาน เราก็รู้จักเก็บรู้จักล้าง มีอะไรก็หัดช่วยกัน จะเข้าโรงครัวก็ช่วยยายได้นะ ทำได้ ทำได้หมด มาทีนี้ก็เหมือนกับบ้านของพวกหนู บ้านของพวกหนูเอง มาได้ตลอดเวลา มาได้ตลอดเวลากัน
อากาศก็เย็นพอดี ไม่เจอผีหลอกเนอะ ไม่มีหรอกเนอะ เห็นผีหลอกสักตัวไหม ไม่มี มีแต่ผีหลอกภายใน มันออกไปหลอก ไปหลอกกัน ไม่มีหรอกผีหลอกข้างนอกไม่มี
นี่แหละพวกเธอโตขึ้นก็จะได้สบาย รู้จักตัวเองรู้จักแก้ไขตัวเอง ไม่โลภไม่โกรธ ไม่ลักเล็กขโมยน้อย ไม่หยิบฉวยของเพื่อน มีอะไรก็บอกกัน ช่วยเหลือกัน มีความสมัครสมานสามัคคี เราก็ได้ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ พ่อแม่ก็ดีใจ ครูบาอาจารย์ก็ดีใจ ให้ลูกศิษย์ลูกหาได้เข้ามาวัด
ได้เข้ามาวัดมาละความเกียจคร้าน มาเพิ่มความขยันหมั่นเพียร เท่าที่กำลังของพวกหนูที่จะทำได้ ได้อะไรบ้างล่ะ เมื่อวานนี้ได้อะไรบ้าง หลวงพี่หลวงตาอาจารย์ท่านสอนอะไรบ้าง
สอนกราบยัง กราบสวยๆ เบญจางคประดิษฐ์ สอนกราบด้วย กราบสวยๆ กราบเบญจางคประดิษฐ์ แล้วก็สอนให้สวดท่อง ให้สวดให้ทำความเข้าใจกับการอาราธนาศีลได้นะ อาราธนาศีลให้ได้ กับบทแผ่เมตตา บทแผ่เมตตาไปที่ไหนก็จะได้แผ่เมตตาเราเมตตาเขา จิตใจก็จะเยือกเย็นมีความสงบมีความสุข
เราก็จะได้ทำบุญให้ตัวเรา ทำบุญให้พ่อให้แม่ กลับไปบ้านๆ ก็จะได้ภูมิใจ ไม่เป็นเด็กขี้แง ไม่เป็นเด็กขี้งอน ไม่เป็นเด็กเห็นแก่ตัว พ่อแม่ก็ดีใจ มีความสุขใจ ธรรมดาจริงๆ มาวัดไม่ได้จริงๆ หลวงพ่อก็จะเอาของให้ เอาแมวคนละตัวไปเลี้ยงเอามั้ย แม่ถามว่าไปวัดได้อะไร เนี่ยๆ ได้แมว หลวงพ่อให้มาเลี้ยงคนละตัว ว่าอย่างนั้น ตั้งใจเอานะหนูนะ พากันตั้งใจ ตั้งใจกัน
ยากนะที่จะได้มีครูบาอาจารย์มีผู้ปกครองที่ให้เด็กๆ มาอบรมกัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็อิสรภาพ ให้ความอิสรภาพให้ทุกคน นี่แหละก็เป็นบุญของพวกหนูที่พากันมา มีโอกาสก็ชวนพ่อชวนแม่มา เมื่ออายุมากขึ้นโตขึ้นก็จะได้เป็นคนเก่งๆ เป็นคนดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง มีตั้งแต่จะสร้างประโยชน์ ได้มากได้น้อยก็ค่อยสร้างสะสมไปทีละเล็กทีละน้อย
เราก็มาวัด ไปเห็นไม้หินล้านปีร้อยล้านปียัง เห็นหินร้อยล้านปียัง ไม้กลายเป็นหิน ไม่เคยเห็นใช่มั้ย เออนั่นน่ะ กองอยู่ทางด้านหน้าข้างน้ำตกนั่นแหละ ไม้หลายร้อยพันล้านปีจนกลายเป็นหิน ที่หลวงพ่อได้มีโยมเอามาถวายให้ ก็เลยมาเก็บเอาไว้ให้พวกเธอได้ศึกษากัน ไม้ ต้นไม้ใหญ่สมัยก่อน หลายร้อยหลายพันล้านปีจนกลายเป็นหิน แต่ลายไม้ก็ยังมีให้เห็นเยอะเห็นอยู่ มีโอกาสก็พากันไปดูนะ กองอยู่ข้างน้ำตก
อย่าพากันแอบลงเล่นน้ำบ่อนะ น้ำบ่อลึก ลึกมากทีเดียว มองเห็นอย่างนั้น น้ำลึกอันตรายระวัง จะลุกจะก้าวจะเดินก็ระวัง อันตรายน้ำลึก
วันนี้มีกิจกรรมอะไรบ้างที่จะทำ วันนี้มีกิจกรรมอะไรบ้าง มีกิจกรรมให้หัวเราะแข่งกัน หัวเราะวันละนิดจิตแจ่มใส หัวเราะคนละ 5 นาที คนไหนหัวเราะเก่ง คนไหนหัวเราะเสียงเพราะ จิตก็จะแจ่มใส
ให้ถือน้ำคนละขวดคนละแก้ว เดินคนละเส้น ประคับประคองไม่ให้น้ำหก เสียงเอะอะโครมครามเราก็ดูใจของเรา เกิดความตกใจหรือไม่ เกิดผวาหรือไม่ หรือไปหมดเลยเอาไม่อยู่เลย เราต้องไปฝึกหัดถือแก้วน้ำคนละแก้ว ไม่ให้น้ำหกจะได้มีสมาธิ ถ้าน้ำหกก็ขาด ขาดสมาธิ มีสติอยู่กับแก้วน้ำ ค่อยๆ เดิน หรือเดินข้ามสะพาน มีสติอยู่กับการเดินข้ามสะพาน ถ้าตาเนื้อมองไปที่อื่นขาก็จะร่วงลงสะพาน ถ้าจิตคิดไปที่อื่นเราก็จะร่วงลงสะพาน แต่ให้ถือแก้วน้ำน่ะดี แก้วน้ำแข่งกันคนละ 3 คนละ 4 ใครจะประคับประคองไม่ให้น้ำหกให้ถึงฝั่ง ช่วงที่เราประคับประคองนั่นแหละจิตใจของเรา ถ้าคิดไปที่อื่นน้ำก็จะหก ถ้าสติของเราไม่มีน้ำก็จะหก เราก็ต้องระวัง
ถึงเราจะควบคุมจิตของเราไม่ได้ ไม่รู้ว่าจิตเป็นอย่างไร ไปอย่างไรมาอย่างไร แต่ก็เป็นอุบาย ต่อไปในวันข้างหน้าก็จะเข้าใจ พากันตั้งใจรับพรกันนะ
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราให้ต่อเนื่องกัน นั่งตามอิริยาบถให้สบายนะ ทุกคนนะ ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบายวางใจให้สบาย ลองฟังหลวงพ่อดูแล้วก็น้อมเข้าไปรู้กาย รู้การหายใจเข้าออกของตัวเรา
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง อย่าไปบังคับนะ อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่ง อย่าไปจดจ่อจดจ้อง การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อันนี้เป็นอุบาย กายของเราก็สงบตั้งมั่น รู้สึกว่าความสบายก็เกิดขึ้น การหายใจเข้าไปยาวๆ ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดไป สัมผัสของลมหายใจเขาเรียกว่าความรู้สึกรับรู้ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่นั่นแหละ เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ตรงปลายจมูก ไม่ต้องตามให้ถึงท้องก็ได้ เอาเพียงแค่มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูก เวลาลมวิ่งเข้าแล้วเวลาลมวิ่งออก
เหมือนกับนายประตูทวารที่ห้างบิ๊กซี หรือห้างโลตัสที่นั่งคอยอยู่ที่ประตูทางรถเข้า รถคันไหนวิ่งเข้า เขาก็รู้ว่าบัตรให้ รถคันไหนวิ่งออกรู้เอาบัตรกลับคืนให้ ก็เหมือนกัน ลมหายใจเข้าหรือเราจะเอาคำบริการเข้าไปกำกับ เวลาลมหายใจเข้าก็ระลึกรู้ว่า ‘พุท’ ขณะที่รู้สัมผัสถึงลมหายใจเวลาลมหายใจออกกระทบปลายจมูกของเรา เราก็เอาคำบริการเข้าไปกับเรียกว่า ‘โธ’ พุทโธ พุทโธ ให้ต่อเนื่อง
ในภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘วิตก’ คำใดคำหนึ่งให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘วิจารณ์’ สิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ต่อเนื่อง จิตก็จะสงบระงับตั้งมั่นขึ้นมาทันที อันนี้ก็เรียกว่า ‘สมถภาวนา’ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน แม้ตั้งแต่เรื่องของการหายใจเข้าออก ก็หายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด
ใหม่ๆ การฝึกลมหายใจก็อึดอัด บางทีก็แน่นหน้าท้องบ้าง บางทีก็สมองก็ตึง บางทีหน้าอกก็แน่น เพราะว่าความไม่เคยชิน เราฝึกความไม่เคยชินให้ฝึกเป็นความเคยชิน ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไรเราก็เพิ่มความเพียร คือเพิ่มความรู้ตัว เพิ่มการสังเกต เพิ่มการวิเคราะห์ให้ได้ตลอดเวลา นี่แหละเขาเรียกว่า ‘มีสติรู้กาย’ ต่อไปข้างหน้าก็จะรู้จิต รู้การเกิดของจิต รู้ความปกติของจิต รู้ลักษณะอาการของจิต ลึกลงไปอีกก็จะรู้ลักษณะอาการของขันธ์ห้า เขาเกิดขึ้นมา เขาก่อตัวขึ้นมา แล้วจิตของเราเคลื่อนเข้าไปร่วม
ขณะเขาเคลื่อนเข้าไปรวม เรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็เห็น เห็นจิตเคลื่อนเข้าไปรวมความคิด พอเราเห็นตรงนั้นปุ๊บ จิตก็จะดีดตัวออกจากความคิด เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เขาจะดีดตัวของเขาเอง เหมือนกับขโมยเข้าบ้าน ถ้าเจ้าของบ้านเห็น มันจะรีบหนีทันที จิตก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นเขาเกิดเขาเข้าไปรวมกันปุ๊บ เขาจะดีดกระโดดออกทันที เหมือนกับขึงเชือกตึงๆ แล้วก็เอามีดตัดนี่ เขาก็กระเด้งผึงออกทันที เขาก็จะหงาย ก็เรียกว่าแยกรูปแยกนาม นี่แหละเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’
สำหรับผู้หลักผู้ใหญ่ ถ้าขยันหมั่นเพียร ก็ต้องพยายามหัดสังเกตตรงนี้ ถ้าสติปัญญามีมากมายถึงขนาดไหนก็ช่างเถอะ เราก็ต้องพยายามวางความคิดเก่าๆ หัดสังเกต ไม่ใช่ว่าไม่เอามาใช้ เราอย่าเพิ่งเอาความคิดปัญญาเก่าของเรามาคิดมาค้นมาหา เราต้องมาสร้างตัวรู้ สร้างความรู้สึกตัวเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ ละความอยาก อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม อยากจะได้สมาธิ ละความกังวล ดับความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ ความไม่เข้าใจต่างๆ ออก อย่าไปนึกไปคิดเอาเด็ดขาด
เราต้องเจริญสติให้ต่อเนื่อง ถ้าเราทำได้ต่อเนื่องเราก็จะเห็นจากน้อยๆ ไปหามากๆ แล้วก็ตามดูตามทำความเข้าใจ อันนี้เรื่องของกาย อันนี้กายของเรา สมมติเป็นอย่างนี้ วิมุตติเป็นอย่างนี้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมันเป็นอย่างนี้ เรารู้แล้วเห็นแล้วทำความเข้าใจแล้ว มันไม่อยากจะละมันก็ละ เพราะว่ามันเป็นแค่เป็นอาการเป็นแค่เพียงมายา ไม่มีตัวไม่มีตน จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นทำให้เกิดอัตตาตัวตน
แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา ถ้ายังไม่ถึงวาระถึงเวลาก็ยากที่จะเข้าใจทรัพย์ตรงนี้ เพราะว่าเรายัง บารมีอานิสงส์ของเรายังไม่แก่กล้าพอ ความขยันหมั่นเพียรของเรามีความแก่กล้าหรือยัง ศรัทธาของเรามีความเต็มเปี่ยมหรือยัง วิริยะความเพียร ศรัทธา มีความเชื่อมั่นในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ตัดความลังเลความสงสัยต่างๆ ออกไป
หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ ละกิเลส ละความโลภ ละความโกรธ แล้วก็หัดสังเกต แยกรูปแยกนามคลายความหลงให้ได้ เพียงแค่แยกรูปแยกนาม เพียงแค่เริ่มต้นของการเจริญปัญญาเท่านั้นเอง เราต้องทำความเข้าใจ กำจัดกิเลสต่างๆ ออกไปให้หมด แล้วก็การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม เพราะว่ากายของเรายังอยู่กับสมมติ ยังเกี่ยวเนื่องอยู่กับสมมติ ยังเกี่ยวเนื่องอยู่กับรูปรสกลิ่นเสียง ยังเกี่ยวเนื่องอยู่กับโลกธรรมอยู่ เราต้องรู้จักจำแนกแจกแจง แต่เขาก็อาศัยกันอยู่
เหมือนกับฝ่ามือกับหลังมือ เขาอาศัยกันอยู่ กายของเราก็อาศัยสมมติ จิตของเราก็มาอาศัยกายนี้อยู่ ในกายของเรานี่ยังประกอบด้วยอะไรหลายอย่าง อาการ 32 มีหนังมาห่อหุ้ม มีดวงวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรม ฝ่ายรูปธรรม ถ้าไม่ละเอียดจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ แต่ให้เข้าใจรู้ด้วยลักษณะอาการ นู่นแหละ ร่างกายแตกดับนั่นแหละ ถึงจะได้วางสมมติจริงๆ
ทุกคนก็มีบุญที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีบุญมีกุศล สร้างบุญมาดีถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสได้ทำบุญให้ทาน มีโอกาสได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีการพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นการสร้างสะสมอานิสงส์ให้กับตัวเรา ถ้ากำลังสติ กำลังปัญญา กำลังบารมีของเรามีเพียงพอ สักวันหนึ่งเราก็ต้องถึงจุดหมายปลายทาง
ขณะที่อายุของเรายังไม่ถึง เราก็พยายามสร้างบุญสร้างบารมีไปเรื่อยๆ ถึงเวลาแล้วเขาก็จะเต็มของเขาเอง เหมือนกับการปลูกผลหมากรากไม้ เราจะปลูกวันนี้ เราต้องการผลวันนี้มันก็ไม่ได้เราต้องหมั่นดูแลให้น้ำให้ปุ๋ยเขา ถึงวาระถึงเวลาเขาเจริญเติบโต เราไม่อยากจะได้ดอกเราก็ดอก เราไม่อยากจะได้ผลเราก็ต้องได้ผล เพราะการปลูกการดูแลการรักษาของเรามี
การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน ถ้าน้อมจิตเข้ามาในกองบุญกองกุศล ในการชำระสะสางกิเลส ในการวิเคราะห์ ในการพิจารณา สักวันหนึ่งเราก็จะเข้าใจในการเดินปัญญา ในการแยกรูปแยกนาม ในการทำจิตให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง