หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 105
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 105
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ทำความสงบให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของตัวเราเอง นั่งตามอิริยาบถให้สบาย วางกายให้สบายวางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ทั้งหมดทั้งมวล แล้วก็ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง สัก 2-3 เที่ยว ลองดูซิ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหยุด ความรู้สึกรับรู้ กระทบลมหายใจเข้ากระทบปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด ความรู้สึกรับรู้นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’
ถ้าเรามีความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียก ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าเราสร้างความรู้สึกตรงนี้ให้ต่อเนื่อง ให้ได้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ สติสัมปชัญญะก็จะตั้งมั่นขึ้น รู้กายแล้วก็รู้จิต รู้เท่าทันจิต รู้ความปกติของจิต จิตจะเกิดส่งออกไปภายนอก สติก็รู้เท่าทัน ความคิดหรือว่าอาการของขันธ์ห้า ซึ่งเป็นความคิดที่เราไม่ต้องการ เขาผุดขึ้นมา จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปร่วมได้อย่างไร ตรงนี้แหละสำคัญ
อวิชชา ความหลงความไม่รู้ความไม่เข้าใจ จิตกับขันธ์ห้าเข้าไปรวมกัน เราถึงรู้ว่าเราคิด แล้วก็ตามความคิดทำตามอารมณ์ เราขาดการสังเกตขาดการแยก แม้ตั้งแต่การเจริญสติ พวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่อง แต่อานิสงส์ศรัทธาส่วนอื่นนั้น ทุกคนพากันสร้างกัน สร้างมาดี ศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย หมั่นทำบุญหมั่นทำทาน มีความรับผิดชอบมีความเสียสละอยู่ในระดับของสมมติ แต่การแยกรูปแยกนามอันนี้เราต้องพยายาม
หมั่นน้อมสำเนียก สังเกตวิเคราะห์เราอยู่ตลอดเวลา แม้ตั้งแต่ความอยากความต้องการ อยากจะได้รับความสงบ ท่านก็ให้ละความอยากเสีย ความอยากไม่ใช่ว่าอยากอย่างเดียว อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ลักษณะอาการความอยากที่เกิดจากตัวจิต แล้วก็ต้องเจริญสติเข้าไปตั้ง แล้วแต่อุบายของแต่ละบุคคลว่าจะใช้วิธีไหน อุบายอย่างไรที่จะทำให้จิตสงบ ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการอึดอัด เพราะว่าจิตของทุกคนชอบเที่ยว ชอบคิดชอบปรุงชอบแต่ง แล้วก็หลงด้วย
เราอาจจะว่าเราไม่หลง เราหลงอยู่ ในระดับของหลักธรรมคือยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ในทางสมมติเราอาจจะว่าเราไม่หลง จนกว่าเราจะคลายจิตออกจากความคิดได้นั่นแหละ เราถึงจะรู้ว่าเราหลง ก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ตัวเราอยู่บ่อยๆ
แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราได้สร้างประโยชน์สร้างอานิสงส์ สร้างคุณงามความดี เราได้เจริญสติเข้าไปสำรวจกายใจของเราแล้วหรือยัง กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร กายของเราจะลุกจะก้าวจะเดิน จิตของเราเป็นอย่างไร ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่กับถ่าย เรารู้ตัวรู้กายรู้จิต ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออกหรือไม่
อันนี้ก็ นอกจากบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถึงจะเข้าใจตรงนี้ หลวงพ่อถึงได้เน้นย้ำ ขอให้ทุกคนพยายามเจริญสติให้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา เราต้องสำรวจทำความเข้าใจ คลายความหลง แยกรูปแยกนาม อันนี้ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ก็เป็นแค่เพียงเริ่มต้นของการเจริญวิปัสสนา สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้
การทำความเข้าใจ การละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด พวกนิวรณธรรมต่างๆ มลทินต่างๆ ที่เกิดขึ้นในใจของเรา กิเลสนี่มีมากมายจริงๆ ถ้าเราฝึกเท่าไร เจริญสติเข้าไปดูรู้เท่าไร ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรเราก็ยิ่งทำความเข้าใจ ถ้าเราท้อก็แพ้ให้กิเลส เราต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือความสะอาดความบริสุทธิ์ความหลุดพ้น
ตราบใดที่เรายังฝักใฝ่ยังขยันหมั่นเพียรอยู่ เราก็ย่อมจะเข้าถึงจุดหมาย ไม่ถึงช้าก็ถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ก็ถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ถึงเดือนหน้าปีหน้า ถ้าไม่ถึงจริงๆ อุปนิสัยก็จะไปต่อภพหน้า เพราะว่าตราบใดที่จิตยังไม่หลุดพ้น ยังดับความเกิดไม่ได้ คลายความหลงไม่ได้ เขาก็ต้องเกิด ถ้าเขายังเกิดอยู่ก็ขอให้เกิดอยู่ในฝ่ายกุศล ฝ่ายอกุศลก็ให้ละ
การได้ยินการได้ฟังการได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมกันหมด การได้ศึกษาการเล่าเรียนทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม บางคนก็สร้างมาดี บางคนก็มีพร้อมทั้งสมมติทั้งวิมุตติไม่ได้เดือดร้อน บางคนก็มีพร้อมสมมติ แต่ทางด้านวิมุตติทางด้านจิตใจกลับไม่สนใจ บางคนก็มีพร้อมทั้งสองอย่าง ก็ต้องพยายามหมั่นค้นคว้าตัวเราหมั่นแก้ไขตัวเรา เราไม่เข้าใจแนวทาง พระพุทธองค์ท่านก็ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผยให้สัตว์โลก หรือว่าพวกเรานี่แหละที่เป็นสัตว์โลก ได้พากันเดินตาม
ท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ เรื่องอริยสัจ สอนเรื่องอัตตาเรื่องอนัตตา อะไรคือคำว่าอัตตา อะไรคือคำว่าอนัตตา ลักษณะของความทุกข์ ลักษณะของตัวตน ลักษณะของสมมติ ลักษณะของวิมุตติ เราต้องทำความเข้าใจหมด สอนเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา
อนัตตาคือความว่างเปล่า จิตของทุกดวงมีความบริสุทธิ์แต่เดิม เพราะความไม่รู้ความไม่เข้าใจถึงมาหลงมายึดมาเกิดไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่เรายังดับความเกิดไม่ได้ ก็ต้องหมั่นสร้างบารมีให้กับตัวเราตลอดเวลา
ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือไม่ เรามีความเกียจคร้านเราก็ละความเกียจคร้าน จิตของเรามีความโลภเราก็พยายามละความโลภ จิตเกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธ แล้วก็จะรู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม เจริญพรหมวิหารได้ตลอดเวลา มันก็ไม่เหลือวิสัยหรอก เราต้องหมั่นพร่ำสอนตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อย่าให้คนอื่นได้บังคับ เราต้องรู้จักบังคับตัวเองแก้ไขตัวเอง หาตัวเราให้เจอ บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น อย่าให้กิเลสมาเป็นนายเหนือเรา เราจงเป็นนายเหนือกิเลส
ทุกคนก็มีกิเลสกันหมดนั่นแหละ จะมีมากมีน้อยมีก็มีกันทุกคน แม้ถ้าอยู่ กำจัดกิเลสออกไปหมดแล้วก็ กายของเรานี่ก็ยังเป็นก้อนกิเลสอยู่ยังเป็นก้อนกรรมอยู่ เพราะเป็นวิบาก เป็นวิบากเป็นภพเป็นชาติของมนุษย์ แล้วก็เป็นวิบากโน่นแหละ เขาก็มีการเปลี่ยนแปลง เกิดแล้วก็แก่แล้วก็เจ็บแล้วก็ตาย ถึงวาระเวลาของเขาก็ต้องตาย เพราะว่าทุกคนเดินเข้าไปสู่จุดหมายหมายอันเดียวกันก็คือความตาย
ทีนี้ทางด้านจิต เขาก็เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราหมั่นเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้สึกตัวเข้าไปรู้ให้เท่าทัน เราก็จะเห็นเขาเกิดๆ ดับๆ แล้วก็เรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง เรื่องอดีตบ้างเรื่องอนาคตบ้าง บางทีก็มีอาการของขันธ์ห้าเข้ามาปรุงแต่ง เข้าไปร่วมไปรวมเป็นสิ่งเดียวกัน เราก็รู้อยู่เพียงแค่ว่าเราคิดเราทำ เราก็ทำตามความคิดด้วยความทะเยอทะยานอยาก อยากด้วย หวังด้วย ยึดติดด้วย
ในหลักธรรมนั้นท่านให้ละความอยากละความหวัง แล้วก็หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ จนจิตของเราจะคลายกำจัดกิเลสแม้แต่ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็อย่าให้เกิดขึ้นที่จิต อยากคิดอยากมีอยากเป็นอยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากไปไม่อยากมาสารพัดการเกิด เราต้องเจริญสติเข้าไปแยกเข้าไปคลายให้ชัดเจน
อันนี้คือสติความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้ลักษณะของจิตที่เราควบคุมเอาไว้ จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า เราก็จะรู้สติ จิต ความคิด ลักษณะอาการของความคิดยังจำแนกแจกแจงออกไปอีก ว่าเป็นเรื่องอะไร เรื่องอดีตเรื่องอนาคต หรือว่าเป็นกลางๆ ซึ่งรวมอยู่ในอาการของขันธ์ห้า ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง เข้ามายึดมาติด
ถ้าเรารู้ด้วย เห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย ก็จะสนุก สนุกในการสำรวจตัวเอง สนุกในการแก้ไขตัวเอง สนุกในการสร้างคุณงามความดี สนุกในการสร้างประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า เอาประโยชน์อยู่โลกปัจจุบันให้ได้เสียก่อน แก้ไขให้เราอยู่ปัจจุบันให้ได้เสียก่อน อดีตอนาคตเขาจะเป็นของเขาเอง เราทำปัจจุบันดีก็จะส่งผลถึงอนาคต ก็ต้องพยายามกันนะ
ทุกเรื่องในชีวิต แม้ตั้งแต่เรื่องการอยู่การขบการฉัน กายของเราหิวหรือว่าจิตของเราเกิดความอยาก เราก็ต้องดู รู้จักวิเคราะห์พิจารณา ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘ปฏิสังขาโย’ อยู่ตลอดเวลา
ตากระทบรูปจิตของเราเป็นอย่างไร หูกระทบเสียงจิตของเราเป็นอย่างไร ภาษาธรรมะสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างไร หูตาจมูกลิ้นกายก็ทำหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ตาเราก็มีหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูก็มีหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ เราไปห้ามจิต เราไปสังเกตดูจิตของเราโน่น จิตของเราเกิดความยินดียินร้ายเราก็รู้จักดับ เพราะว่าทุกส่วนเขาทำหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว แต่เราขาดการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ไปจัดระบบระเบียบของเขาให้ถูก เราก็เลยเข้าไปหลงเข้าไปยึดในสิ่งต่างๆ ก็พยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ถ้าเรามีความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียก ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าเราสร้างความรู้สึกตรงนี้ให้ต่อเนื่อง ให้ได้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ สติสัมปชัญญะก็จะตั้งมั่นขึ้น รู้กายแล้วก็รู้จิต รู้เท่าทันจิต รู้ความปกติของจิต จิตจะเกิดส่งออกไปภายนอก สติก็รู้เท่าทัน ความคิดหรือว่าอาการของขันธ์ห้า ซึ่งเป็นความคิดที่เราไม่ต้องการ เขาผุดขึ้นมา จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปร่วมได้อย่างไร ตรงนี้แหละสำคัญ
อวิชชา ความหลงความไม่รู้ความไม่เข้าใจ จิตกับขันธ์ห้าเข้าไปรวมกัน เราถึงรู้ว่าเราคิด แล้วก็ตามความคิดทำตามอารมณ์ เราขาดการสังเกตขาดการแยก แม้ตั้งแต่การเจริญสติ พวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่อง แต่อานิสงส์ศรัทธาส่วนอื่นนั้น ทุกคนพากันสร้างกัน สร้างมาดี ศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย หมั่นทำบุญหมั่นทำทาน มีความรับผิดชอบมีความเสียสละอยู่ในระดับของสมมติ แต่การแยกรูปแยกนามอันนี้เราต้องพยายาม
หมั่นน้อมสำเนียก สังเกตวิเคราะห์เราอยู่ตลอดเวลา แม้ตั้งแต่ความอยากความต้องการ อยากจะได้รับความสงบ ท่านก็ให้ละความอยากเสีย ความอยากไม่ใช่ว่าอยากอย่างเดียว อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ลักษณะอาการความอยากที่เกิดจากตัวจิต แล้วก็ต้องเจริญสติเข้าไปตั้ง แล้วแต่อุบายของแต่ละบุคคลว่าจะใช้วิธีไหน อุบายอย่างไรที่จะทำให้จิตสงบ ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการอึดอัด เพราะว่าจิตของทุกคนชอบเที่ยว ชอบคิดชอบปรุงชอบแต่ง แล้วก็หลงด้วย
เราอาจจะว่าเราไม่หลง เราหลงอยู่ ในระดับของหลักธรรมคือยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ในทางสมมติเราอาจจะว่าเราไม่หลง จนกว่าเราจะคลายจิตออกจากความคิดได้นั่นแหละ เราถึงจะรู้ว่าเราหลง ก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ตัวเราอยู่บ่อยๆ
แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราได้สร้างประโยชน์สร้างอานิสงส์ สร้างคุณงามความดี เราได้เจริญสติเข้าไปสำรวจกายใจของเราแล้วหรือยัง กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร กายของเราจะลุกจะก้าวจะเดิน จิตของเราเป็นอย่างไร ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่กับถ่าย เรารู้ตัวรู้กายรู้จิต ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออกหรือไม่
อันนี้ก็ นอกจากบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถึงจะเข้าใจตรงนี้ หลวงพ่อถึงได้เน้นย้ำ ขอให้ทุกคนพยายามเจริญสติให้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา เราต้องสำรวจทำความเข้าใจ คลายความหลง แยกรูปแยกนาม อันนี้ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ก็เป็นแค่เพียงเริ่มต้นของการเจริญวิปัสสนา สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้
การทำความเข้าใจ การละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด พวกนิวรณธรรมต่างๆ มลทินต่างๆ ที่เกิดขึ้นในใจของเรา กิเลสนี่มีมากมายจริงๆ ถ้าเราฝึกเท่าไร เจริญสติเข้าไปดูรู้เท่าไร ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรเราก็ยิ่งทำความเข้าใจ ถ้าเราท้อก็แพ้ให้กิเลส เราต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือความสะอาดความบริสุทธิ์ความหลุดพ้น
ตราบใดที่เรายังฝักใฝ่ยังขยันหมั่นเพียรอยู่ เราก็ย่อมจะเข้าถึงจุดหมาย ไม่ถึงช้าก็ถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ก็ถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ถึงเดือนหน้าปีหน้า ถ้าไม่ถึงจริงๆ อุปนิสัยก็จะไปต่อภพหน้า เพราะว่าตราบใดที่จิตยังไม่หลุดพ้น ยังดับความเกิดไม่ได้ คลายความหลงไม่ได้ เขาก็ต้องเกิด ถ้าเขายังเกิดอยู่ก็ขอให้เกิดอยู่ในฝ่ายกุศล ฝ่ายอกุศลก็ให้ละ
การได้ยินการได้ฟังการได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมกันหมด การได้ศึกษาการเล่าเรียนทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม บางคนก็สร้างมาดี บางคนก็มีพร้อมทั้งสมมติทั้งวิมุตติไม่ได้เดือดร้อน บางคนก็มีพร้อมสมมติ แต่ทางด้านวิมุตติทางด้านจิตใจกลับไม่สนใจ บางคนก็มีพร้อมทั้งสองอย่าง ก็ต้องพยายามหมั่นค้นคว้าตัวเราหมั่นแก้ไขตัวเรา เราไม่เข้าใจแนวทาง พระพุทธองค์ท่านก็ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผยให้สัตว์โลก หรือว่าพวกเรานี่แหละที่เป็นสัตว์โลก ได้พากันเดินตาม
ท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ เรื่องอริยสัจ สอนเรื่องอัตตาเรื่องอนัตตา อะไรคือคำว่าอัตตา อะไรคือคำว่าอนัตตา ลักษณะของความทุกข์ ลักษณะของตัวตน ลักษณะของสมมติ ลักษณะของวิมุตติ เราต้องทำความเข้าใจหมด สอนเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา
อนัตตาคือความว่างเปล่า จิตของทุกดวงมีความบริสุทธิ์แต่เดิม เพราะความไม่รู้ความไม่เข้าใจถึงมาหลงมายึดมาเกิดไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่เรายังดับความเกิดไม่ได้ ก็ต้องหมั่นสร้างบารมีให้กับตัวเราตลอดเวลา
ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือไม่ เรามีความเกียจคร้านเราก็ละความเกียจคร้าน จิตของเรามีความโลภเราก็พยายามละความโลภ จิตเกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธ แล้วก็จะรู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม เจริญพรหมวิหารได้ตลอดเวลา มันก็ไม่เหลือวิสัยหรอก เราต้องหมั่นพร่ำสอนตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อย่าให้คนอื่นได้บังคับ เราต้องรู้จักบังคับตัวเองแก้ไขตัวเอง หาตัวเราให้เจอ บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น อย่าให้กิเลสมาเป็นนายเหนือเรา เราจงเป็นนายเหนือกิเลส
ทุกคนก็มีกิเลสกันหมดนั่นแหละ จะมีมากมีน้อยมีก็มีกันทุกคน แม้ถ้าอยู่ กำจัดกิเลสออกไปหมดแล้วก็ กายของเรานี่ก็ยังเป็นก้อนกิเลสอยู่ยังเป็นก้อนกรรมอยู่ เพราะเป็นวิบาก เป็นวิบากเป็นภพเป็นชาติของมนุษย์ แล้วก็เป็นวิบากโน่นแหละ เขาก็มีการเปลี่ยนแปลง เกิดแล้วก็แก่แล้วก็เจ็บแล้วก็ตาย ถึงวาระเวลาของเขาก็ต้องตาย เพราะว่าทุกคนเดินเข้าไปสู่จุดหมายหมายอันเดียวกันก็คือความตาย
ทีนี้ทางด้านจิต เขาก็เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราหมั่นเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้สึกตัวเข้าไปรู้ให้เท่าทัน เราก็จะเห็นเขาเกิดๆ ดับๆ แล้วก็เรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง เรื่องอดีตบ้างเรื่องอนาคตบ้าง บางทีก็มีอาการของขันธ์ห้าเข้ามาปรุงแต่ง เข้าไปร่วมไปรวมเป็นสิ่งเดียวกัน เราก็รู้อยู่เพียงแค่ว่าเราคิดเราทำ เราก็ทำตามความคิดด้วยความทะเยอทะยานอยาก อยากด้วย หวังด้วย ยึดติดด้วย
ในหลักธรรมนั้นท่านให้ละความอยากละความหวัง แล้วก็หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ จนจิตของเราจะคลายกำจัดกิเลสแม้แต่ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็อย่าให้เกิดขึ้นที่จิต อยากคิดอยากมีอยากเป็นอยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากไปไม่อยากมาสารพัดการเกิด เราต้องเจริญสติเข้าไปแยกเข้าไปคลายให้ชัดเจน
อันนี้คือสติความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้ลักษณะของจิตที่เราควบคุมเอาไว้ จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า เราก็จะรู้สติ จิต ความคิด ลักษณะอาการของความคิดยังจำแนกแจกแจงออกไปอีก ว่าเป็นเรื่องอะไร เรื่องอดีตเรื่องอนาคต หรือว่าเป็นกลางๆ ซึ่งรวมอยู่ในอาการของขันธ์ห้า ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง เข้ามายึดมาติด
ถ้าเรารู้ด้วย เห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย ก็จะสนุก สนุกในการสำรวจตัวเอง สนุกในการแก้ไขตัวเอง สนุกในการสร้างคุณงามความดี สนุกในการสร้างประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า เอาประโยชน์อยู่โลกปัจจุบันให้ได้เสียก่อน แก้ไขให้เราอยู่ปัจจุบันให้ได้เสียก่อน อดีตอนาคตเขาจะเป็นของเขาเอง เราทำปัจจุบันดีก็จะส่งผลถึงอนาคต ก็ต้องพยายามกันนะ
ทุกเรื่องในชีวิต แม้ตั้งแต่เรื่องการอยู่การขบการฉัน กายของเราหิวหรือว่าจิตของเราเกิดความอยาก เราก็ต้องดู รู้จักวิเคราะห์พิจารณา ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘ปฏิสังขาโย’ อยู่ตลอดเวลา
ตากระทบรูปจิตของเราเป็นอย่างไร หูกระทบเสียงจิตของเราเป็นอย่างไร ภาษาธรรมะสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างไร หูตาจมูกลิ้นกายก็ทำหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ตาเราก็มีหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูก็มีหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ เราไปห้ามจิต เราไปสังเกตดูจิตของเราโน่น จิตของเราเกิดความยินดียินร้ายเราก็รู้จักดับ เพราะว่าทุกส่วนเขาทำหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว แต่เราขาดการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ไปจัดระบบระเบียบของเขาให้ถูก เราก็เลยเข้าไปหลงเข้าไปยึดในสิ่งต่างๆ ก็พยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง