หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 099
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 099
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ทำความสงบให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา นั่งตามอิริยาบถให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบายวางใจให้สบาย กายของเราเข้ามาอยู่ในวัด ใจของเราก็ให้อยู่ในวัด ใจของเราต้องเป็นพระ ใจของเราต้องสงบตรงนี้
ไม่ใช่วิ่งไปเรื่องนู้นเรื่องนี้ ขณะที่เรานั่งอยู่นี่แหละ ให้ใจของเรานิ่ง ลองสร้างความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจน สูดลมหายใจเข้าออกเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว ลองดูซิ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นอุบายทำใจของเราให้สงบอยู่กับการเจริญอานาปนสติ แล้วก็ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจ เวลาเราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ คลายความเครียด ใจของเราก็หยุดคิด สงบนิ่งลงทันที
สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูก เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่นั่นแหละ เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ให้ชัดเจน เวลาลมหายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาลมหายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ แล้วก็พยายามสร้างความรู้สึก รู้ให้ต่อเนื่อง จิตก็จะสงบระงับตั้งมั่นขึ้น สติของเราก็ตั้งมั่นขึ้นแล้วก็ต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ หรือบางครั้งบางที เขาเรียกว่า ‘วิตกวิจารณ์’ วิตกอยู่กับลมหายใจเข้าออก
หายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ให้ต่อเนื่อง ให้เป็นธรรมชาติที่สุดอย่าไปเพ่ง ถ้าเราไปเพ่งสมองส่วนบนก็จะตึง ถ้าเราเอาตัวจิตไปกำหนดไปจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูกหน้าอกก็จะแน่น เพียงแค่มีความรู้สึกรับรู้ว่าลมเข้าลมออก ถ้าจิตคิดส่งออกไปภายนอก เราก็พยายามสูดลมหายใจยาวๆ จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจเอง ทำบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ ให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกปุ๊บ
จิตปกติก็รู้อยู่ ถ้าสติของเรารู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จิตจะก่อตัวก็รู้ ความคิดจะผุดขึ้นมาสติก็รู้เท่าทัน แต่เราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง เรารู้ตัวเป็นบางครั้งบางคราว นานๆ กว่าจะรู้ที ส่วนมากก็รู้ด้วยปัญญาของโลกีย์ ไม่ใช่รู้ สร้างความรู้สึกรู้ รู้ลักษณะอาการของจิต น้อมเข้าไปดูรู้ภายใน
ถ้าเราน้อมเข้าไปสังเกตภายในอยู่ตลอด สำเนียก ทำในใจอยู่ตลอดเวลา ขณะนี้จิตของเรายังปกติดีอยู่นะ เวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส จิตของเราก็ยังสงบอยู่ การเกิดของจิตเขาก่อตัวตรงไหน การเกิดของขันธ์ห้าเขาเริ่มก่อตัวอย่างไร เราต้องเป็นคนที่หัดวิเคราะห์ตัวเอง แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
อะไรมันยังค้างอยู่ในใจของเรา เราก็พยายามสะสางออกด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย ทั้งงานภายนอกทั้งงานภายใน เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน เรามีความขยันหมั่นเพียร ขยันหมั่นเพียรให้ถูกทางด้วย ทั้งภายนอกภายใน ภายนอกก็คือภาระหน้าที่การงาน ทำให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้
ส่วนภายในคือการสำรวจจิต การชำระสะสางกิเลส ตรงนี้ต้องทำควบคู่กันไปด้วย เพราะว่าธรรมกับโลกของอาศัยกันอยู่ สมมติกับวิมุตติก็อาศัยกันอยู่ ให้เราทำความเข้าใจทั้งสองอย่าง การวาง การแยกรูปแยกนาม การละกิเลส การสร้างความเพียร ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา
การได้ยินได้ฟังได้อ่าน การได้ศึกษาค้นคว้าทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การละกิเลส การรู้ลักษณะของจิตที่แท้จริง รู้ฐานของจิตที่แท้จริง เราก็รู้อยู่หรอก แต่เรารู้ไม่ต่อเนื่อง จิตของเราไม่คลายออกจากขันธ์ห้า
จิตนี่ก็แปลกถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ เขาก็เกิดอยู่อย่างนั้นแหละ เขาก็ทั้งเกิดด้วยวิ่งด้วยหลงด้วยยึดด้วย บางทีก็ยึดอยู่ในบุญในกุศล ส่วนมากจะเป็นหลงอยู่ในบุญเสียมากกว่า อยากจะได้บุญ อยากจะทำบุญ อยากจะปฏิบัติธรรม อยากหลุดพ้น
ในหลักธรรมจริงๆ แล้วก็เราก็มาวัด มาทำบุญทำทาน มาปฏิบัติด้วยความอยากนั่นแหละ ความอยากพามา กุศลพามา ในหลักธรรมท่านก็ให้ละความอยากอีก สำหรับบุคคลที่เริ่มลงมือการปฏิบัติ ละความอยาก ละความหวัง ละความต้องการออกให้หมด
มาตั้งสติ มาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม แล้วก็รู้ให้ทันการเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า เขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันได้อย่างไร ตรงนี้แหละสำคัญ ถ้ารู้ตรงนี้แล้วโมหะต่างๆ ก็จะคลาย เราก็จะเข้าใจในเรื่องรูปเรื่องนาม เรื่องอัตตาเรื่องอนัตตา ในเรื่องของหลักอริยสัจ มองเห็นทางเดินว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรเป็นกุศลอกุศล ละอยู่ตรงไหน เจริญอย่างไรทันที
จะต้องพยายามกันนะ อย่าปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีบุญกันหมดถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็มีระบบระเบียบอยู่ในตัวเอง เราเดินทางไม่ถูกทาง เราถึงอาศัยครูบาอาจารย์อาศัยตำรา อันนี้ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ แผนที่นั้นพระพุทธองค์ท่านค้นพบมาตั้งนานแล้วแหละ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับการละเป็นอย่างนี้ การเจริญพรหมวิหารเป็นอย่างนี้ การสร้างตบะบารมีเป็นอย่างนี้
พวกเราพยายามเดินให้ถึงกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ถ้าคนมีสติมีปัญญารู้จักจำแนกแจกแจง ฟังนิดเดียวเดินถึงจุดหมายเลย อยู่คนเดียวก็แก้ไขตัวเรา อยู่หลายคนก็แก้ไขตัวเรา รู้จักสร้างพรหมวิหารสร้างความเมตตา รู้จักชำระสะสางกิเลส จากหยาบไปหาละเอียด จนกว่าจิตของเราจะบริสุทธิ์หลุดพ้น มองเห็นทางเดินว่าจะกลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด
ก็ดีใจ ภูมิใจสำหรับทุกคนที่ได้เกิดมา และก็ภูมิใจที่ได้มีโอกาสได้ทำบุญทำทาน มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกัน เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้นะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
ไม่ใช่วิ่งไปเรื่องนู้นเรื่องนี้ ขณะที่เรานั่งอยู่นี่แหละ ให้ใจของเรานิ่ง ลองสร้างความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจน สูดลมหายใจเข้าออกเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว ลองดูซิ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นอุบายทำใจของเราให้สงบอยู่กับการเจริญอานาปนสติ แล้วก็ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจ เวลาเราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ คลายความเครียด ใจของเราก็หยุดคิด สงบนิ่งลงทันที
สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูก เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่นั่นแหละ เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ให้ชัดเจน เวลาลมหายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาลมหายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ แล้วก็พยายามสร้างความรู้สึก รู้ให้ต่อเนื่อง จิตก็จะสงบระงับตั้งมั่นขึ้น สติของเราก็ตั้งมั่นขึ้นแล้วก็ต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ หรือบางครั้งบางที เขาเรียกว่า ‘วิตกวิจารณ์’ วิตกอยู่กับลมหายใจเข้าออก
หายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ให้ต่อเนื่อง ให้เป็นธรรมชาติที่สุดอย่าไปเพ่ง ถ้าเราไปเพ่งสมองส่วนบนก็จะตึง ถ้าเราเอาตัวจิตไปกำหนดไปจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูกหน้าอกก็จะแน่น เพียงแค่มีความรู้สึกรับรู้ว่าลมเข้าลมออก ถ้าจิตคิดส่งออกไปภายนอก เราก็พยายามสูดลมหายใจยาวๆ จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจเอง ทำบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ ให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกปุ๊บ
จิตปกติก็รู้อยู่ ถ้าสติของเรารู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จิตจะก่อตัวก็รู้ ความคิดจะผุดขึ้นมาสติก็รู้เท่าทัน แต่เราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง เรารู้ตัวเป็นบางครั้งบางคราว นานๆ กว่าจะรู้ที ส่วนมากก็รู้ด้วยปัญญาของโลกีย์ ไม่ใช่รู้ สร้างความรู้สึกรู้ รู้ลักษณะอาการของจิต น้อมเข้าไปดูรู้ภายใน
ถ้าเราน้อมเข้าไปสังเกตภายในอยู่ตลอด สำเนียก ทำในใจอยู่ตลอดเวลา ขณะนี้จิตของเรายังปกติดีอยู่นะ เวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส จิตของเราก็ยังสงบอยู่ การเกิดของจิตเขาก่อตัวตรงไหน การเกิดของขันธ์ห้าเขาเริ่มก่อตัวอย่างไร เราต้องเป็นคนที่หัดวิเคราะห์ตัวเอง แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
อะไรมันยังค้างอยู่ในใจของเรา เราก็พยายามสะสางออกด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย ทั้งงานภายนอกทั้งงานภายใน เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน เรามีความขยันหมั่นเพียร ขยันหมั่นเพียรให้ถูกทางด้วย ทั้งภายนอกภายใน ภายนอกก็คือภาระหน้าที่การงาน ทำให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้
ส่วนภายในคือการสำรวจจิต การชำระสะสางกิเลส ตรงนี้ต้องทำควบคู่กันไปด้วย เพราะว่าธรรมกับโลกของอาศัยกันอยู่ สมมติกับวิมุตติก็อาศัยกันอยู่ ให้เราทำความเข้าใจทั้งสองอย่าง การวาง การแยกรูปแยกนาม การละกิเลส การสร้างความเพียร ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา
การได้ยินได้ฟังได้อ่าน การได้ศึกษาค้นคว้าทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การละกิเลส การรู้ลักษณะของจิตที่แท้จริง รู้ฐานของจิตที่แท้จริง เราก็รู้อยู่หรอก แต่เรารู้ไม่ต่อเนื่อง จิตของเราไม่คลายออกจากขันธ์ห้า
จิตนี่ก็แปลกถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ เขาก็เกิดอยู่อย่างนั้นแหละ เขาก็ทั้งเกิดด้วยวิ่งด้วยหลงด้วยยึดด้วย บางทีก็ยึดอยู่ในบุญในกุศล ส่วนมากจะเป็นหลงอยู่ในบุญเสียมากกว่า อยากจะได้บุญ อยากจะทำบุญ อยากจะปฏิบัติธรรม อยากหลุดพ้น
ในหลักธรรมจริงๆ แล้วก็เราก็มาวัด มาทำบุญทำทาน มาปฏิบัติด้วยความอยากนั่นแหละ ความอยากพามา กุศลพามา ในหลักธรรมท่านก็ให้ละความอยากอีก สำหรับบุคคลที่เริ่มลงมือการปฏิบัติ ละความอยาก ละความหวัง ละความต้องการออกให้หมด
มาตั้งสติ มาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม แล้วก็รู้ให้ทันการเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า เขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันได้อย่างไร ตรงนี้แหละสำคัญ ถ้ารู้ตรงนี้แล้วโมหะต่างๆ ก็จะคลาย เราก็จะเข้าใจในเรื่องรูปเรื่องนาม เรื่องอัตตาเรื่องอนัตตา ในเรื่องของหลักอริยสัจ มองเห็นทางเดินว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรเป็นกุศลอกุศล ละอยู่ตรงไหน เจริญอย่างไรทันที
จะต้องพยายามกันนะ อย่าปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีบุญกันหมดถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็มีระบบระเบียบอยู่ในตัวเอง เราเดินทางไม่ถูกทาง เราถึงอาศัยครูบาอาจารย์อาศัยตำรา อันนี้ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ แผนที่นั้นพระพุทธองค์ท่านค้นพบมาตั้งนานแล้วแหละ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับการละเป็นอย่างนี้ การเจริญพรหมวิหารเป็นอย่างนี้ การสร้างตบะบารมีเป็นอย่างนี้
พวกเราพยายามเดินให้ถึงกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ถ้าคนมีสติมีปัญญารู้จักจำแนกแจกแจง ฟังนิดเดียวเดินถึงจุดหมายเลย อยู่คนเดียวก็แก้ไขตัวเรา อยู่หลายคนก็แก้ไขตัวเรา รู้จักสร้างพรหมวิหารสร้างความเมตตา รู้จักชำระสะสางกิเลส จากหยาบไปหาละเอียด จนกว่าจิตของเราจะบริสุทธิ์หลุดพ้น มองเห็นทางเดินว่าจะกลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด
ก็ดีใจ ภูมิใจสำหรับทุกคนที่ได้เกิดมา และก็ภูมิใจที่ได้มีโอกาสได้ทำบุญทำทาน มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกัน เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้นะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ