หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 098
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 098
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ นั่งสมาธิ เจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง อดทนต่อทุกขเวทนาทางด้านร่างกายไปสักพักหนึ่ง การนั่งนานๆ ก็เกิดทุกขเวทนา เพราะว่าธรรมชาติของกายของคนเราก็เป็นก้อนทุกข์ นั่งนานก็ทุกข์ ยืนนานก็ทุกข์ เดินนานก็ทุกข์
คนทั่วไปถึงเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ อิริยาบถทางด้านร่างกายก็เลยปิดบังทุกข์เอาไว้เสีย ถ้าเราอยากจะรู้ทุกข์ทางร่างกาย เราก็ต้องนั่งนานๆ หรือว่าเดินนานๆ ไม่เปลี่ยนอิริยาบถ นอนนานๆ เราก็จะเห็นความเจ็บของกายของเรา เดี๋ยวก็ปวดตรงโน้นบ้าง เดี๋ยวก็ปวดตรงนี้บ้าง ใจของเราก็ ถ้าไม่มีความยึดมั่นถือมั่น เขาก็รับรู้ว่านี่เป็นส่วนรูปธรรม ถ้าเราพิจารณา เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ดูอยู่บ่อยๆ
การมาประพฤติปฏิบัติธรรมก็คือมาปฏิบัติมาสำรวจสำรวมกายอินทรีย์ของเรา มาสำรวจจิตของเรา สำรวจกายของเรา สำรวจความเป็นอยู่ของเรา สำรวจการกระทำของเรา ว่าแต่ละวันๆ จิตของเราไปในกองกุศลหรือว่ากองอกุศล จิตของเราส่งไปภายนอกสักกี่เรื่อง เรื่องใดบ้าง กายของเราเป็นอย่างไรบ้าง การดำเนินชีวิตของเรา แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออก หายใจเข้าอย่างไร หายใจออกอย่างไร ถึงจะมีความรู้สึกได้ต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ ซึ่งก็มีกันทุกคนนั่นแหละ แต่พวกเราขาดการสนใจ
ส่วนมากก็จิตของคนทั่วไปชอบคิดชอบเที่ยวชอบปรุงชอบแต่ง เราไม่ให้จิตของเราส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักเจริญสติเข้าไปดับ ดับอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ได้ บางคนบางท่านก็เอาคำบริกรรมอยู่กับ ‘พุทโธ’ บางคนบางท่านก็ ‘สัมมาอะระหัง’ บางคนบางท่านก็ ‘ยุบหนอพองหนอ’ แล้วแต่อุบายของแต่ละบุคคลที่จะทำจิตของเราให้สงบ
ถ้าเรารู้จักการเจริญสติ รู้จักลักษณะของสติ ความระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ไม่จำเป็นต้องเอาคำบริกรรมก็ได้ อันนั้นเป็นแค่เพียงอุบายทำสติของเราให้อยู่กับกาย ให้รู้ตัวอยู่กับกาย ถ้าเรารู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้จักสำรวจตรวจตา รู้จักละกิเลสอยู่ตลอดเวลา เราก็รู้จิตของเราเลยก็ได้ รู้จักเอาสติปัญญาของเราเอาไปดำเนินหน้าที่แทน ทุกเรื่องในชีวิตประจำวันของเรา
ก่อนที่จะพูด จิตของเรานิ่งหรือไม่ ลึกลงไปก่อนที่จะคิด ความคิดเกิดจากจิต เกิดจากการขันธ์ห้าเขารวมกันไป หรือว่าเกิดจากสติเกิดจากปัญญา เราต้องดูรู้ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าจะดูแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพราะทุกเรื่องเกี่ยวเนื่องกันหมด ต่อเนื่องกันหมด ถ้าเราขาดความเพียรที่ต่อเนื่องก็ยากที่จะเข้าใจ
เพียงแค่อดพูดอดคิด เราก็ลองอดลองดูสิ จิตมันจะอึดอัดถึงขนาดไหน คนเราชอบพูดชอบคิด ชอบคุยชอบจับกลุ่ม อยู่คนเดียวเป็นอย่างไร กายวิเวกจิตวิเวก การดับความคิด การควบคุมความคิด การคลาย การแยกรูปแยกนาม ถ้าแยกรูปแยกนามยังไม่ได้ก็ยังเข้าสู่วิปัสสนาไม่ได้เด็ดขาด ก็ยังอยู่ในการสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ความขยันหมั่นเพียร ความอดทนอดกลั้น ความเสียสละ เสียสละกาย เสียสละเวลา หลายสิ่งหลายอย่างที่จะเข้าถึงดวงจิตได้นี่มันยากจริงๆ อยู่
ถ้าไม่มีความเพียรจริงๆ เพียงแค่นิดๆ หน่อยๆ ก็ปิดกั้นเอาไว้ นิวรณธรรมตัวละเอียดต่างๆ ก็ปิดกั้นเอาไว้ จิตของเรามีความกำหยัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง ในเรื่องของราคะ เราก็รู้จักดับ จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี ทำในสิ่งตรงกันข้าม จิตของเรามีความฟุ้งซ่านเราก็รู้จักดับ มีความลังเลสงสัย ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็พยายามกระตุ้นขึ้นมาอยู่บ่อยๆ
จิตของเรามีความลังเลสงสัยสิ่งโน้นสิ่งนี้ ทำอย่างนี้เราจะได้อย่างนี้ไหม ทำอย่างนี้เราจะได้อย่างนี้ไหม อย่างนี้จะถูกต้องไหม คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ สารพัดเรื่องที่มันจะเกิด กิเลสมารต่างๆ มันก็ไม่ยอมให้จิตของเราตกกระแสธรรมได้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็ฉุด เขาก็ปิดบังดวงจิตเอาไว้ แม้แต่ตัวจิตของเรายังหลอกตัวเองอยู่
การเกิดการเที่ยวน่ะมันสนุก ชอบหาที่เที่ยว เที่ยวไปโน่นบ้างไปนี่บ้าง ไปยึดติดอันนู้นบ้างยึดติดอันนี้บ้าง แม้แต่ตัวจิตเองแท้ๆ เขาก็ยังปิดบังตัวเองอยู่ เราต้องเจริญสติเข้าไปแยกเข้าไปคลาย หาเหตุหาผล ทุกสิ่งทุกอย่างจนจิตยอมรับความจริง เขาถึงจะวางได้ เพียงแค่แยกรูปแยกนามอันนี้ได้เพียงแค่เริ่มต้น เพียงแค่เริ่มต้น
พระพุทธองค์ท่านสร้างตบะสร้างบารมีมามากมายมหาศาล ท่านถึงตรัสรู้เรื่องอริยสัจ แล้วก็ทำความเข้าใจกับหลักอัตตาอนัตตา ถึงได้เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดิน ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ นี่ก็เป็นของยากอยู่
การเกิดการดับของจิตนั้นมีกันทุกคน การเกิดการดับของขันธ์ห้าก็มีกันหมดทุกคน จิตกับขันธ์ห้าเขารวมกันอยู่ เขาเป็นมิตรกันมาไม่รู้ว่ากี่กัปกี่กัลป์ ไม่ใช่ว่าเราจะแยกเขาได้ง่ายๆ เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาสติของเราต่อเนื่องกันหรือไม่ เอาเรื่องของเราให้ดี แก้ไขเราให้ดี ปรับปรุงเราให้ดีอยู่ปัจจุบันธรรม ก็จะส่งผลถึงอนาคตเอง
การปฏิบัติธรรมเราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ลักษณะของจิตที่สงบ ลักษณะของจิตที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของจิตที่ปล่อยวางด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าการข่มเอาไว้เฉยๆ การเจริญสติ ความหมายของการเจริญสติ ลักษณะของศีลสมาธิปัญญา ศีลระดับสมมติศีลระดับวิมุตติ ศีลภายนอกศีลภายใน ศีลสังคม ศีลวิมุตติคือตัวจิตของเราปกติ มีความรับรู้อยู่ตลอดเวลา จะทำโน่นทำนี่
การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิดหรอกถ้าเขารู้ความจริง แต่เวลานี้ก็ยังเกิดอยู่ เผลอไม่ได้ บางทีนั่งอยู่เขาก็ไปแล้ว บางทีคิดอยู่ ทำอะไรอยู่เขาก็ไป ต้องฝึกต้องฝืนกันเต็มที่จนกว่าจิตของเราจะคลายออก จิตของเราตกกระแสธรรม จิตของเราเป็นธรรมแล้วถึงจะมองเห็นโลกนี้เป็นธรรมได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็ล้วนแต่เป็นธรรมทั้งนั้นแหละ
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
คนทั่วไปถึงเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ อิริยาบถทางด้านร่างกายก็เลยปิดบังทุกข์เอาไว้เสีย ถ้าเราอยากจะรู้ทุกข์ทางร่างกาย เราก็ต้องนั่งนานๆ หรือว่าเดินนานๆ ไม่เปลี่ยนอิริยาบถ นอนนานๆ เราก็จะเห็นความเจ็บของกายของเรา เดี๋ยวก็ปวดตรงโน้นบ้าง เดี๋ยวก็ปวดตรงนี้บ้าง ใจของเราก็ ถ้าไม่มีความยึดมั่นถือมั่น เขาก็รับรู้ว่านี่เป็นส่วนรูปธรรม ถ้าเราพิจารณา เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ดูอยู่บ่อยๆ
การมาประพฤติปฏิบัติธรรมก็คือมาปฏิบัติมาสำรวจสำรวมกายอินทรีย์ของเรา มาสำรวจจิตของเรา สำรวจกายของเรา สำรวจความเป็นอยู่ของเรา สำรวจการกระทำของเรา ว่าแต่ละวันๆ จิตของเราไปในกองกุศลหรือว่ากองอกุศล จิตของเราส่งไปภายนอกสักกี่เรื่อง เรื่องใดบ้าง กายของเราเป็นอย่างไรบ้าง การดำเนินชีวิตของเรา แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออก หายใจเข้าอย่างไร หายใจออกอย่างไร ถึงจะมีความรู้สึกได้ต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ ซึ่งก็มีกันทุกคนนั่นแหละ แต่พวกเราขาดการสนใจ
ส่วนมากก็จิตของคนทั่วไปชอบคิดชอบเที่ยวชอบปรุงชอบแต่ง เราไม่ให้จิตของเราส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักเจริญสติเข้าไปดับ ดับอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ได้ บางคนบางท่านก็เอาคำบริกรรมอยู่กับ ‘พุทโธ’ บางคนบางท่านก็ ‘สัมมาอะระหัง’ บางคนบางท่านก็ ‘ยุบหนอพองหนอ’ แล้วแต่อุบายของแต่ละบุคคลที่จะทำจิตของเราให้สงบ
ถ้าเรารู้จักการเจริญสติ รู้จักลักษณะของสติ ความระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ไม่จำเป็นต้องเอาคำบริกรรมก็ได้ อันนั้นเป็นแค่เพียงอุบายทำสติของเราให้อยู่กับกาย ให้รู้ตัวอยู่กับกาย ถ้าเรารู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้จักสำรวจตรวจตา รู้จักละกิเลสอยู่ตลอดเวลา เราก็รู้จิตของเราเลยก็ได้ รู้จักเอาสติปัญญาของเราเอาไปดำเนินหน้าที่แทน ทุกเรื่องในชีวิตประจำวันของเรา
ก่อนที่จะพูด จิตของเรานิ่งหรือไม่ ลึกลงไปก่อนที่จะคิด ความคิดเกิดจากจิต เกิดจากการขันธ์ห้าเขารวมกันไป หรือว่าเกิดจากสติเกิดจากปัญญา เราต้องดูรู้ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าจะดูแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพราะทุกเรื่องเกี่ยวเนื่องกันหมด ต่อเนื่องกันหมด ถ้าเราขาดความเพียรที่ต่อเนื่องก็ยากที่จะเข้าใจ
เพียงแค่อดพูดอดคิด เราก็ลองอดลองดูสิ จิตมันจะอึดอัดถึงขนาดไหน คนเราชอบพูดชอบคิด ชอบคุยชอบจับกลุ่ม อยู่คนเดียวเป็นอย่างไร กายวิเวกจิตวิเวก การดับความคิด การควบคุมความคิด การคลาย การแยกรูปแยกนาม ถ้าแยกรูปแยกนามยังไม่ได้ก็ยังเข้าสู่วิปัสสนาไม่ได้เด็ดขาด ก็ยังอยู่ในการสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ความขยันหมั่นเพียร ความอดทนอดกลั้น ความเสียสละ เสียสละกาย เสียสละเวลา หลายสิ่งหลายอย่างที่จะเข้าถึงดวงจิตได้นี่มันยากจริงๆ อยู่
ถ้าไม่มีความเพียรจริงๆ เพียงแค่นิดๆ หน่อยๆ ก็ปิดกั้นเอาไว้ นิวรณธรรมตัวละเอียดต่างๆ ก็ปิดกั้นเอาไว้ จิตของเรามีความกำหยัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง ในเรื่องของราคะ เราก็รู้จักดับ จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี ทำในสิ่งตรงกันข้าม จิตของเรามีความฟุ้งซ่านเราก็รู้จักดับ มีความลังเลสงสัย ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็พยายามกระตุ้นขึ้นมาอยู่บ่อยๆ
จิตของเรามีความลังเลสงสัยสิ่งโน้นสิ่งนี้ ทำอย่างนี้เราจะได้อย่างนี้ไหม ทำอย่างนี้เราจะได้อย่างนี้ไหม อย่างนี้จะถูกต้องไหม คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ สารพัดเรื่องที่มันจะเกิด กิเลสมารต่างๆ มันก็ไม่ยอมให้จิตของเราตกกระแสธรรมได้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็ฉุด เขาก็ปิดบังดวงจิตเอาไว้ แม้แต่ตัวจิตของเรายังหลอกตัวเองอยู่
การเกิดการเที่ยวน่ะมันสนุก ชอบหาที่เที่ยว เที่ยวไปโน่นบ้างไปนี่บ้าง ไปยึดติดอันนู้นบ้างยึดติดอันนี้บ้าง แม้แต่ตัวจิตเองแท้ๆ เขาก็ยังปิดบังตัวเองอยู่ เราต้องเจริญสติเข้าไปแยกเข้าไปคลาย หาเหตุหาผล ทุกสิ่งทุกอย่างจนจิตยอมรับความจริง เขาถึงจะวางได้ เพียงแค่แยกรูปแยกนามอันนี้ได้เพียงแค่เริ่มต้น เพียงแค่เริ่มต้น
พระพุทธองค์ท่านสร้างตบะสร้างบารมีมามากมายมหาศาล ท่านถึงตรัสรู้เรื่องอริยสัจ แล้วก็ทำความเข้าใจกับหลักอัตตาอนัตตา ถึงได้เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดิน ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ นี่ก็เป็นของยากอยู่
การเกิดการดับของจิตนั้นมีกันทุกคน การเกิดการดับของขันธ์ห้าก็มีกันหมดทุกคน จิตกับขันธ์ห้าเขารวมกันอยู่ เขาเป็นมิตรกันมาไม่รู้ว่ากี่กัปกี่กัลป์ ไม่ใช่ว่าเราจะแยกเขาได้ง่ายๆ เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาสติของเราต่อเนื่องกันหรือไม่ เอาเรื่องของเราให้ดี แก้ไขเราให้ดี ปรับปรุงเราให้ดีอยู่ปัจจุบันธรรม ก็จะส่งผลถึงอนาคตเอง
การปฏิบัติธรรมเราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ลักษณะของจิตที่สงบ ลักษณะของจิตที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของจิตที่ปล่อยวางด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าการข่มเอาไว้เฉยๆ การเจริญสติ ความหมายของการเจริญสติ ลักษณะของศีลสมาธิปัญญา ศีลระดับสมมติศีลระดับวิมุตติ ศีลภายนอกศีลภายใน ศีลสังคม ศีลวิมุตติคือตัวจิตของเราปกติ มีความรับรู้อยู่ตลอดเวลา จะทำโน่นทำนี่
การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิดหรอกถ้าเขารู้ความจริง แต่เวลานี้ก็ยังเกิดอยู่ เผลอไม่ได้ บางทีนั่งอยู่เขาก็ไปแล้ว บางทีคิดอยู่ ทำอะไรอยู่เขาก็ไป ต้องฝึกต้องฝืนกันเต็มที่จนกว่าจิตของเราจะคลายออก จิตของเราตกกระแสธรรม จิตของเราเป็นธรรมแล้วถึงจะมองเห็นโลกนี้เป็นธรรมได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็ล้วนแต่เป็นธรรมทั้งนั้นแหละ
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ