หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 096

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 096
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 096
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ทำจิตของเราให้สงบ วางกายของเราให้สบาย วางภาระหน้าที่การงานต่างๆ ทางบ้านเราก็วางมาแล้ว ทีนี้เราก็มาวางความคิด เราวางยังไม่ได้ เรามาหยุด หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ให้หมด ด้วยการสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสงบตั้งมั่น สบายขึ้นเยอะ จิตของเราก็คลายสบายขึ้น

สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ ความรู้สึกรับรู้เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูก ความรู้สึกรับรู้เวลาลมวิ่งออกกระทบปลายจมูก นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัวรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’

เราพยายามฝึกฝนให้เกิดความเคยชิน แม้ตั้งแต่เรื่องของการหายใจเข้าออก เราก็พากันลืมไปเสีย ไม่พากันสนใจ เราต้องพยายามหัดสนใจ หัดสังเกต หัดสร้างความรู้สึกตัวให้เกิดความเคยชิน แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอไป เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอไปเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ อย่าไปเกียจคร้าน

ขณะที่เราสร้างความรู้สึกรับรู้ตัวรับรู้การหายใจเข้าออก บางทีจิตของเราก็สงบอยู่ บางทีจิตของเราก็จะก่อตัวส่งออกไปภายนอก เรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทันจิต รู้ลักษณะของจิต ฐานของจิต เขาก่อตัวตรงไหน เขาเกิดขึ้นได้อย่างไร เรารู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุ เราก็ดับเอาไว้

แล้วก็บางทีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด หรือเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ เขาก่อตัว จิตของเราเคลื่อนเข้าไปร่วม แล้วก็ส่งออกไปภายนอกด้วยกัน นั่นแหละเขาร่วมกันแล้ว เขาเกิดขึ้นแล้วเราถึงรู้ หรือบางทีเขาเกิดขึ้นเกือบจะจบเรื่องเราถึงรู้ว่าเราคิด เราถึงรู้ว่าเราทำ

บางทีก็มีความอยากเข้าไปเจือปน บางทีก็มีความโลภ บางทีก็เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เราต้องหัดวิเคราะห์ หัดสำรวจ หัดตรวจตรา รู้กายรู้จิตของเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา นอกจากจะนอนหลับ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนจิตของเรา ทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ทำความเข้าใจกับโลก โลกสมมติภายนอก รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง

แล้วก็หมั่นขัดเกลา หมั่นละกิเลสอยู่ตลอดเวลา มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดีอยู่ตลอดเวลา ทำจิตของเราให้อยู่ในกองกุศล ถ้าเป็นอกุศลเราก็พยายามรีบดับ หมั่นขวนขวายขยันหมั่นเพียร เรามีความเกียจคร้านเราก็พยายามละความเกียจคร้าน เพิ่มความขยันหมั่นเพียร เรามีความโลภเราก็พยายามละความโลภ คลายความโลภด้วยการบริจาค ด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการชำระความตระหนี่เหนียวแน่นออกจิตใจของเรา เรามีความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธ รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี

รู้จักสำรวมกายของเราตลอดเวลา กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหก หูตาจมูกลิ้น เขาทำหน้าที่อย่างไร ดวงวิญญาณดวงจิตซึ่งเป็นอาการ เป็นขันธ์หนึ่งอยู่ในขันธ์ห้าเขาทำหน้าที่อย่างไร เราต้องสร้างผู้รู้ หรือว่าสร้างความรู้ตัวเข้าไปตรวจตราดู

เรารู้อยู่ แต่เป็นการรู้ที่เกิดจากตัวจิต เกิดจากขันธ์ห้าที่เขาเข้าไปรวมกันแล้ว เรามาสร้างความรู้สึกตัวตัวใหม่ซึ่งเรียกว่า ‘สติ’ ซึ่งอยู่ส่วนบนส่วนสมอง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ข้างบนอยู่สมองกับลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูกของเรา

อย่าไปเพ่ง ถ้าเพ่งสมองก็จะตึง เราพยายามผ่อนลมหายใจ หรือว่าปล่อยให้เป็นธรรมชาติที่สุด การระลึกรู้ลมหายใจก็เพื่อที่จะสร้างสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราจะเน้นลงอยู่ที่การหายใจเข้าออก หรือว่าอยู่ที่การเคลื่อนไหวของกาย แล้วแต่อุบาย แล้วแต่วิธีที่จะทำให้สติของเราต่อเนื่อง รู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่องกัน

ทุกวิธีเป็นสิ่งที่ดีหมด ถ้าขยันหมั่นเพียรทำให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักสร้างสติสร้างปัญญา แล้วก็รู้จักวิเคราะห์การเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้าซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม แล้วก็รู้จักสร้างบารมีให้เกิดขึ้น

ตั้งแต่เรามีศรัทธาเชื่อมั่นในความตรัสรู้ของพระพุทธองค์ มีความเชื่อมั่นในการสร้างคุณงามความดี แล้วก็ขยัน ทุกคนมีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าไม่มีบุญไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก ทุกคนก็ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาก่อน ทำไมถึงพูดอย่างนั้น ถ้าไม่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาก่อนไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ปฏิบัติ

หลักของการปฏิบัติ ของธรรมชาติ ของสภาพร่างกาย ตั้งแต่เกิดมาจากเด็กเป็นเด็กเล็ก เด็กโต เด็กใหญ่ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว อันนี้เป็นการพัฒนาทางด้านรูปธรรม

ทางด้านสติปัญญาก็ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี รู้จักสร้างคุณงามความดี รู้จักสร้างตบะบารมี มีความอดทนอดกลั้น มีความเสียสละอยู่ในระดับของโลกิยะ แต่ในระดับของโลกุตระ หรือว่าระดับของนามธรรม เราต้องหมั่นสังเกต

อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม หาความเป็นจริง ทำความเป็นจริงให้ปรากฏ ความเป็นจริงยังไม่ปรากฏเพราะว่าจิตของเรายังเกิดอยู่ จิตของเรายังหลงอยู่ เราต้องมาสร้างสติเข้าไปสำรวจตรวจตราดู ตรงนี้แหละสำคัญ

ส่วนมากจะไม่ค่อยสร้างกัน ไม่สร้างสติให้ต่อเนื่อง มีตั้งแต่จะไปนึกเอาคิดเอาว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อันนี้ไม่ใช่ ถึงจะคิดด้วยสติด้วยปัญญาทางโลกทางสมมติก็อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่เราต้องมาเจริญสติเข้าไปแยก แยกรูปแยกนาม ตามทำความเข้าใจ ให้จิตของเรารับรู้ แล้วก็หมั่นละกิเลส หมั่นพร่ำสอนจิตของเราอยู่ตลอดเวลา

หนุนกำลังสติปัญญาไปใช้กับสมมติ เอาไปใช้กับชีวิตประจำวันของเรา เราก็จะอยู่กับธรรมะ ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน เราจะทิ้งสมมติไม่ได้ นอกจากกายของเราแตกดับนั่นแหละถึงจะได้วางสมมติ อันนี้วางเพียงแค่รูปธรรม เราต้องแยกรูปแยกนาม ถึงจะเป็นการวางอัตตาตัวตนได้อีก แล้วก็ละกิเลสได้อีก ก็ต้องพยายามกัน อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา

ส่วนญาติโยมท่านใดมีโอกาสอยากจะตั้งโรงทานก็มาลงรายชื่อเอาไว้ ส่วนมากมาลงรายชื่อเอาไว้ก็เยอะอยู่ ว่าท่านใดจะทำอะไร ทำโรงตั้งโรงทานอะไร ก็จะได้รู้ ก็จะได้ไม่ได้ซ้ำกันเท่าไร มีโอกาสก็ขอเชิญชวนมานะ วันที่ 20-21 ธันวาคม

ตามความเป็นจริงเราก็ต้องทำบุญทุกวันนั่นแหละ ทำบุญทุกวัน ทำบุญอยู่ทุกลมหายใจ ทำบุญอยู่ทุกขณะจิต จิตของเราเกิดกิเลส เราก็ต้องรู้จักดับรู้จักควบคุม มองโลกในทางที่ดี คิดดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม

ถึงเราทำไม่ได้ขั้นนั้น เราก็มีโอกาสได้ทำบุญทำทาน ถวายทานทางด้านวัตถุทาน มีโอกาสได้สร้างคุณงามความดีเป็นรากฐาน เป็นพื้นฐาน ในวันข้างหน้าตราบใดที่จิตยังไม่หลุดพ้น ก็ต้องอาศัยบุญอานิสงส์ของพวกเราที่ได้ช่วยกันทำนี่แหละ ส่งผลในวันข้างหน้า ก็ขอให้ทุกคนจงประสบตั้งแต่ความสุขความเจริญกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง