หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 094
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 094
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ทำจิตของเราให้สงบ ทำกายของเราให้สบาย นั่งตามอิริยาบถให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบายที่สุดอย่าไปเกร็ง พยายามนั่งให้สบายๆ แล้วก็นั่งให้สวยงาม ไม่ต้องไปเกร็งร่างกายจนแข็งทื่อ การไปเกร็งร่างกายมันอึดอัด วางกายให้สบาย นั่งตามที่เราถนัด แล้วก็ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดทันที กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา ความรู้สึกรับรู้ว่าลมเข้า มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ อันนี้เขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’ ถ้ารู้ได้ต่อเนื่องเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เรากระตุ้นความรู้สึกให้ตั้งมั่นขึ้นมาปุ๊บ สติของเราก็ตั้งมั่นขึ้นมา รู้เข้า ลมเข้าลมออกเขาเรียกว่า ‘รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ ทุกขณะลมหายใจเข้า ทุกขณะลมหายใจออก
พวกเราขาดการสร้างความรู้สึกตรงนี้ ก็เลยไม่รู้เท่าทันจิต ไม่รู้ลักษณะของจิต ไม่รู้ลักษณะของขันธ์ห้า ของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต ก็เลยเดินปัญญาเข้าสู่วิปัสสนาไม่ได้ เพราะว่าขาดการคลายความหลง
แยกรูปแยกนาม ทำอย่างไรเราถึงจะแยกรูปแยกนามได้ เราก็หมั่นสร้างความรู้ตัวบ่อยๆ รู้ตัวแล้วก็รู้เวลาคิดก่อตัว รู้เวลาขันธ์ห้าก่อตัว ถ้าขันธ์ห้าหรือว่าความคิดผุดขึ้นมา จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง เพราะว่าจิตกับขันธ์ห้าเขารวมกันอยู่ เขาไปด้วยกันอยู่ มาไม่รู้ว่ากี่ภพกี่กัปกี่กัลป์แล้วแหละ เราจะไปจับเขาแยกออกจากกันง่ายๆ นี่มันก็ยากอยู่ เราต้องหมั่นรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็ดับเอาไว้ควบคุมเอาไว้ ซึ่งเรียกว่า ‘สมถะ’
ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เพราะว่าความเคยชินของความคิดเก่าๆ ที่ส่งออกไปภายนอก เป็นความคิดของปัญญาของโลกีย์ มีกันทุกคน จะมีกันเต็มเปี่ยมด้วย ปัญญาของโลกปัญญาสมมติ ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้วแหละที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสได้ทำบุญ ได้มีโอกาสได้ให้ทาน มีศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย มีโอกาสก็พากันทำบุญมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย จนเป็นความเคยชินในการทำบุญ ในการให้ทาน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข
รู้จักรับผิดชอบในระดับของสมมติ รู้จักอะไรผิดอะไรถูก อะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล ตรงนี้ก็รู้กันอยู่ ความอดทนอดกลั้น การละกิเลสก็มีอยู่ แต่อาจจะมีไม่ได้ตลอด อาจจะมีไม่ได้ต่อเนื่องกันเท่านั้นเอง อาจจะควบคุมจิตได้เป็นบางครั้ง ได้เป็นบางช่วง
ทำอย่างไรเราถึงจะละกิเลสได้ตลอด ทำอย่างไรเราถึงจะคลายจิตของเราออกจากความหลง เราต้องเพิ่มกำลังสติความรู้ตัวให้มากๆ จนจิตของเราคลายออกจากขันธ์ห้า เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขารตรงนี้ แล้วก็จะเข้าใจในคำว่าอัตตากับอนัตตา เข้าใจสมมติกับวิมุตติ ถ้าเราแยกได้เราก็จะเห็น แยกได้เราก็เห็นลักษณะอาการ เห็นสมมติ เห็น รู้ลักษณะอาการ รู้ด้วยเห็นด้วย แล้วก็สติ ความรู้ตัวของเราก็ตามทำความเข้าใจ จนจิตของเรายอมรับความเป็นจริง ว่าเป็นแค่เพียงมายา ไม่มีตัวไม่มีตน จิตของเราก็ไปหลงเข้าไปรวมถึงทำให้เกิดอัตตาตัวตน แล้วก็มาละทิฏฐิ ละมานะ ละความเห็นผิดที่จิตของเรา มาละกิเลสออกจากจิตของเราทีละเล็กทีละน้อย จะเอาจะมีจะเป็นเราก็ไม่ให้จิตของเราเป็นทาสของอารมณ์เป็นทาสของกิเลส อันนี้หลวงพ่อแค่เพียงแค่พูดให้ฟังเท่านั้นนะ
พวกท่านต้องพากันไปทำไปสร้างให้มีให้เกิดขึ้น สติความระลึกรู้ตัวไม่มีก็ต้องสร้างขึ้นมา จิตไม่สงบเราก็พยายามควบคุมให้สงบ การเดินปัญญาไม่ใช่ว่าเราจะเป็นนึกไปคิดเอา ไปนึกไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อันนี้ไม่ใช่ ปัญญาเก่าก็มีอยู่ ปัญญาใหม่คือเกิดจากการเจริญสติที่เราต้องสร้างต้องทำขึ้นมา
คนทั่วไปก็มีตั้งแต่ว่าไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่นั่นที่นี่ อันนี้อย่าเพิ่งไปพูด แม้ตั้งแต่ความรู้ตัวสติก็ยังไม่สร้าง จะเป็นวิปัสสนาได้อย่างไร
การแยกรูปแยกนามตามทำความเข้าใจ อันนี้เป็นแค่เริ่มต้น เพียงแค่เริ่มต้น สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเปิดทางให้เท่านั้นเอง การตามทำความเข้าใจให้รู้เห็นตามความเป็นจริง แล้วก็ละออกให้มันหมดจด จิตจากกิเลสหยาบไปหาละเอียด ความโลภความโกรธ คลายความหลง ละนิวรณธรรม ละมลทินต่างๆ แม้แต่การไปการมาของจิต การไปการมาของกายเนื้อ ของจิตของกายเนื้อ
อะไรคือรูปอะไรคือนาม เราต้องจำแนกแจกแจงออกให้ละเอียด อันนี้ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถึงจะเข้าใจตรงนี้ ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรก็ยากที่จะเข้าใจอยู่ ต้องเป็นคนสร้างบารมี ความเสียสละต้องเต็มเปี่ยม ขันติวิริยะความเพียร สำรวจให้ถูกทาง เดินให้ถูกทาง ถ้าเราเข้าใจในการสำรวจจิตของเราจะสนุก มีความสุข เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนบ้าง เหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้จิตเกิด หรือเกิดขึ้นจากภายในจิตของเราโดยตรง หรือเกิดจากอาการของขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิตของเรา
เราไม่ได้ทิ้งสมมติหรอก กายของเรานี่แหละก้อนสมมติ เรามาทำความเข้าใจกับสมมติก้อนนี้ มาความทำความเข้าใจกับจิต แล้วก็หมั่นพร่ำสอนจิตของเราอยู่ตลอดเวลา อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข
ถ้าคนเรารู้จักทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าจะไปวิ่งหาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักธรรม เราต้องทำให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ในใจของเรา พรหมวิหารไม่มีเราก็สร้างพรหมวิหารให้มีให้เกิดขึ้น ความรับผิดชอบไม่มีเราก็ต้องสร้างความรับผิดชอบให้มีให้เกิดขึ้น ความขยันหมั่นเพียร ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งภายนอกทั้งภายใน
หมั่นเจริญสติเข้าไปตรวจสอบ หมั่นพร่ำสอนจิตของเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟัง กายทวารของเราทำหน้าที่อย่างไร หูตาจมูกลิ้นกายเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง เรามีความรู้ตัวเข้าไปรู้จิต หรือว่ามีสติเข้าไปดูรู้จิตของเรา เวลาตากระทบรูปหูกระทบเสียงอยู่ตลอดเวลาเลยทีเดียว นอกจากเราจะนอนหลับ ขณะนอนหลับบางทีจิตก็มีไปเที่ยว บางทีก็ขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิต บางทีก็เกิดจากเทพภายนอกมาบันดาลให้เกิดเป็นนิมิตต่างๆ กำลังสติของเราเพียงพอถึงจะรู้เท่าทันตรงนั้น เอาแค่ปัจจุบันของเราเสียก่อนก็ได้
ทำสมมติให้ดี ทำหน้าที่ของสมมติให้ดี แก้ไขสมมติให้ดี ก็จะไม่ได้เสียทีเสียเที่ยว บริหารกายบริหารจิตของเราให้ถูกต้องเสีย อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง ว่าเวลาโน้นถึงจะทำเวลานี้ถึงจะทำ พวกเรามีโอกาสทำได้ตลอดเวลา สำรวจตัวเราได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
อย่าพากันทิ้งวัดนะ ต้องพากันพยายามเข้าวัด เอากายเป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ อย่าไปเอาทิฏฐิมานะของตัวเองขึ้นมาตั้ง เราจงเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ วางความคิดเก่าๆ วางทิฏฐิเก่าๆ แล้วก็เจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ดู จนกว่าจะแยกรูปแยกนามตามทำความเข้าใจได้ ความวิจิกิจฉา ความกังวล ความลังเลสงสัยต่างๆ ก็จะหายไปมีตั้งแต่สติปัญญาตามทำความเข้าใจ รู้เห็นตามความเป็นจริง จนชำระสะสางกิเลสออกหมดจากจิตใจของตัวเรานั่นแหละ เราก็จะมองเห็นหนทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกันนะ
ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ย่อมจะถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ถ้าไม่ถึงพรุ่งนี้ก็เดือนหน้าปีหน้า ถ้าไม่ถึงจริงๆ ก็จะไปต่อเอาภพหน้ากัน เพราะว่าตราบใดที่จิตยังเกิดอยู่ ก็ต้องอาศัยอานิสงส์ผลบุญที่ได้สร้างได้ทำเอาไว้นี่แหละ ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรม เพียงเท่านี้พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างไปสานต่อเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เรากระตุ้นความรู้สึกให้ตั้งมั่นขึ้นมาปุ๊บ สติของเราก็ตั้งมั่นขึ้นมา รู้เข้า ลมเข้าลมออกเขาเรียกว่า ‘รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ ทุกขณะลมหายใจเข้า ทุกขณะลมหายใจออก
พวกเราขาดการสร้างความรู้สึกตรงนี้ ก็เลยไม่รู้เท่าทันจิต ไม่รู้ลักษณะของจิต ไม่รู้ลักษณะของขันธ์ห้า ของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต ก็เลยเดินปัญญาเข้าสู่วิปัสสนาไม่ได้ เพราะว่าขาดการคลายความหลง
แยกรูปแยกนาม ทำอย่างไรเราถึงจะแยกรูปแยกนามได้ เราก็หมั่นสร้างความรู้ตัวบ่อยๆ รู้ตัวแล้วก็รู้เวลาคิดก่อตัว รู้เวลาขันธ์ห้าก่อตัว ถ้าขันธ์ห้าหรือว่าความคิดผุดขึ้นมา จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง เพราะว่าจิตกับขันธ์ห้าเขารวมกันอยู่ เขาไปด้วยกันอยู่ มาไม่รู้ว่ากี่ภพกี่กัปกี่กัลป์แล้วแหละ เราจะไปจับเขาแยกออกจากกันง่ายๆ นี่มันก็ยากอยู่ เราต้องหมั่นรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็ดับเอาไว้ควบคุมเอาไว้ ซึ่งเรียกว่า ‘สมถะ’
ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เพราะว่าความเคยชินของความคิดเก่าๆ ที่ส่งออกไปภายนอก เป็นความคิดของปัญญาของโลกีย์ มีกันทุกคน จะมีกันเต็มเปี่ยมด้วย ปัญญาของโลกปัญญาสมมติ ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้วแหละที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสได้ทำบุญ ได้มีโอกาสได้ให้ทาน มีศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย มีโอกาสก็พากันทำบุญมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย จนเป็นความเคยชินในการทำบุญ ในการให้ทาน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข
รู้จักรับผิดชอบในระดับของสมมติ รู้จักอะไรผิดอะไรถูก อะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล ตรงนี้ก็รู้กันอยู่ ความอดทนอดกลั้น การละกิเลสก็มีอยู่ แต่อาจจะมีไม่ได้ตลอด อาจจะมีไม่ได้ต่อเนื่องกันเท่านั้นเอง อาจจะควบคุมจิตได้เป็นบางครั้ง ได้เป็นบางช่วง
ทำอย่างไรเราถึงจะละกิเลสได้ตลอด ทำอย่างไรเราถึงจะคลายจิตของเราออกจากความหลง เราต้องเพิ่มกำลังสติความรู้ตัวให้มากๆ จนจิตของเราคลายออกจากขันธ์ห้า เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขารตรงนี้ แล้วก็จะเข้าใจในคำว่าอัตตากับอนัตตา เข้าใจสมมติกับวิมุตติ ถ้าเราแยกได้เราก็จะเห็น แยกได้เราก็เห็นลักษณะอาการ เห็นสมมติ เห็น รู้ลักษณะอาการ รู้ด้วยเห็นด้วย แล้วก็สติ ความรู้ตัวของเราก็ตามทำความเข้าใจ จนจิตของเรายอมรับความเป็นจริง ว่าเป็นแค่เพียงมายา ไม่มีตัวไม่มีตน จิตของเราก็ไปหลงเข้าไปรวมถึงทำให้เกิดอัตตาตัวตน แล้วก็มาละทิฏฐิ ละมานะ ละความเห็นผิดที่จิตของเรา มาละกิเลสออกจากจิตของเราทีละเล็กทีละน้อย จะเอาจะมีจะเป็นเราก็ไม่ให้จิตของเราเป็นทาสของอารมณ์เป็นทาสของกิเลส อันนี้หลวงพ่อแค่เพียงแค่พูดให้ฟังเท่านั้นนะ
พวกท่านต้องพากันไปทำไปสร้างให้มีให้เกิดขึ้น สติความระลึกรู้ตัวไม่มีก็ต้องสร้างขึ้นมา จิตไม่สงบเราก็พยายามควบคุมให้สงบ การเดินปัญญาไม่ใช่ว่าเราจะเป็นนึกไปคิดเอา ไปนึกไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อันนี้ไม่ใช่ ปัญญาเก่าก็มีอยู่ ปัญญาใหม่คือเกิดจากการเจริญสติที่เราต้องสร้างต้องทำขึ้นมา
คนทั่วไปก็มีตั้งแต่ว่าไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่นั่นที่นี่ อันนี้อย่าเพิ่งไปพูด แม้ตั้งแต่ความรู้ตัวสติก็ยังไม่สร้าง จะเป็นวิปัสสนาได้อย่างไร
การแยกรูปแยกนามตามทำความเข้าใจ อันนี้เป็นแค่เริ่มต้น เพียงแค่เริ่มต้น สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเปิดทางให้เท่านั้นเอง การตามทำความเข้าใจให้รู้เห็นตามความเป็นจริง แล้วก็ละออกให้มันหมดจด จิตจากกิเลสหยาบไปหาละเอียด ความโลภความโกรธ คลายความหลง ละนิวรณธรรม ละมลทินต่างๆ แม้แต่การไปการมาของจิต การไปการมาของกายเนื้อ ของจิตของกายเนื้อ
อะไรคือรูปอะไรคือนาม เราต้องจำแนกแจกแจงออกให้ละเอียด อันนี้ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถึงจะเข้าใจตรงนี้ ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรก็ยากที่จะเข้าใจอยู่ ต้องเป็นคนสร้างบารมี ความเสียสละต้องเต็มเปี่ยม ขันติวิริยะความเพียร สำรวจให้ถูกทาง เดินให้ถูกทาง ถ้าเราเข้าใจในการสำรวจจิตของเราจะสนุก มีความสุข เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนบ้าง เหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้จิตเกิด หรือเกิดขึ้นจากภายในจิตของเราโดยตรง หรือเกิดจากอาการของขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิตของเรา
เราไม่ได้ทิ้งสมมติหรอก กายของเรานี่แหละก้อนสมมติ เรามาทำความเข้าใจกับสมมติก้อนนี้ มาความทำความเข้าใจกับจิต แล้วก็หมั่นพร่ำสอนจิตของเราอยู่ตลอดเวลา อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข
ถ้าคนเรารู้จักทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าจะไปวิ่งหาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักธรรม เราต้องทำให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ในใจของเรา พรหมวิหารไม่มีเราก็สร้างพรหมวิหารให้มีให้เกิดขึ้น ความรับผิดชอบไม่มีเราก็ต้องสร้างความรับผิดชอบให้มีให้เกิดขึ้น ความขยันหมั่นเพียร ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งภายนอกทั้งภายใน
หมั่นเจริญสติเข้าไปตรวจสอบ หมั่นพร่ำสอนจิตของเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟัง กายทวารของเราทำหน้าที่อย่างไร หูตาจมูกลิ้นกายเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง เรามีความรู้ตัวเข้าไปรู้จิต หรือว่ามีสติเข้าไปดูรู้จิตของเรา เวลาตากระทบรูปหูกระทบเสียงอยู่ตลอดเวลาเลยทีเดียว นอกจากเราจะนอนหลับ ขณะนอนหลับบางทีจิตก็มีไปเที่ยว บางทีก็ขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิต บางทีก็เกิดจากเทพภายนอกมาบันดาลให้เกิดเป็นนิมิตต่างๆ กำลังสติของเราเพียงพอถึงจะรู้เท่าทันตรงนั้น เอาแค่ปัจจุบันของเราเสียก่อนก็ได้
ทำสมมติให้ดี ทำหน้าที่ของสมมติให้ดี แก้ไขสมมติให้ดี ก็จะไม่ได้เสียทีเสียเที่ยว บริหารกายบริหารจิตของเราให้ถูกต้องเสีย อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง ว่าเวลาโน้นถึงจะทำเวลานี้ถึงจะทำ พวกเรามีโอกาสทำได้ตลอดเวลา สำรวจตัวเราได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
อย่าพากันทิ้งวัดนะ ต้องพากันพยายามเข้าวัด เอากายเป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ อย่าไปเอาทิฏฐิมานะของตัวเองขึ้นมาตั้ง เราจงเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ วางความคิดเก่าๆ วางทิฏฐิเก่าๆ แล้วก็เจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ดู จนกว่าจะแยกรูปแยกนามตามทำความเข้าใจได้ ความวิจิกิจฉา ความกังวล ความลังเลสงสัยต่างๆ ก็จะหายไปมีตั้งแต่สติปัญญาตามทำความเข้าใจ รู้เห็นตามความเป็นจริง จนชำระสะสางกิเลสออกหมดจากจิตใจของตัวเรานั่นแหละ เราก็จะมองเห็นหนทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกันนะ
ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ย่อมจะถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ถ้าไม่ถึงพรุ่งนี้ก็เดือนหน้าปีหน้า ถ้าไม่ถึงจริงๆ ก็จะไปต่อเอาภพหน้ากัน เพราะว่าตราบใดที่จิตยังเกิดอยู่ ก็ต้องอาศัยอานิสงส์ผลบุญที่ได้สร้างได้ทำเอาไว้นี่แหละ ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรม เพียงเท่านี้พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างไปสานต่อเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง