หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 090

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 090
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 090
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ถึงเราจะรู้จิตของเรา เราก็ต้องพยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักวิเคราะห์ ถ้าเรารู้จักการเจริญสติให้ต่อเนื่อง รู้จักควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ แล้วก็รู้จักสังเกต รู้จักรู้ให้เท่าทันความคิดที่จะมาปรุงแต่งจิตของเรา

ในการเจริญสติเราต้องพยายามเน้นลงอยู่ที่กายของเรา เอาไว้จุดใดจุดหนึ่ง อย่างเช่นอยู่กับลมหายใจ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้าหายใจออก เรื่องการหายใจเข้าหายใจออก พวกเราก็ยังทำกันไม่ชำนาญ หายใจเข้ายาวๆ ผ่อนออกมายาวๆ ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดไป กายก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ

แล้วเราก็พยายามปรับสภาพลมหายใจให้เป็นธรรมชาติ มีความรู้สึกรับรู้ลมหายใจแรง ลมหายใจอ่อน ลมหายใจละเอียด กลับไปกลับมา ยิ่งบุคคลที่ฝึกใหม่ๆ พอเริ่มฝึกเท่านั้นก็เกิดความอึดอัดเกิดความตึงเครียด ก็เลยคลายเสียก็เลยเลิกเสีย

เราไม่เข้าใจเท่าไร เรายิ่งเพิ่มความเพียรในการสร้างความรู้ตัว จนกว่าจะตกกระแสของการหายใจธรรมชาติที่สุด มีความรับรู้ให้ต่อเนื่องกัน ส่วนจิตนั้นเขาก็อยู่ในกายของเรานั่นแหละ ถ้าเขาจะคิดส่งไปภายนอก ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราก็จะรู้ทัน เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม จนกว่าจิตของเราจะรู้เห็นตามความเป็นจริงได้นั่นแหละ สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาต้องหาเหตุหาผล แล้วก็ไปหมั่นพร่ำสอนจิตของเรา

หาเหตุหาผลในลักษณะอย่างไร เหตุผลที่สติของเราเข้าไปหาเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ คือรู้เท่าทันอาการของขันธ์ห้า แล้วก็สังเกตดูว่าจิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ถ้าจิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมปุ๊บ ถ้าสติรู้ทันปั๊บ จิตเขาจะดีดตัว นั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เขาเรียกว่าหงายจากสมมติไปหาวิมุตติ จิตก็จะอิสระขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง อิสระจากความคิด แต่เขายังไม่ได้คลายที่แท้จริงนะ เพียงแค่เขาแยกเฉยๆ

กำลังสติต้องตามทำความเข้าใจอาการของขันธ์ห้าให้ละเอียด เรื่องอะไรบ้างที่เข้ามาปรุงแต่งจิต จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวม เข้าไปยินดียินร้ายหรือไม่ ตามรู้เห็น เราก็จะเข้าใจในคำว่าอัตตาเข้าใจคำว่าอนัตตา เข้าใจคำว่าอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขารตรงนี้ จะเป็นกุศลหรือว่าอกุศล สติคอยดูรู้ตามทำความเข้าใจ ก็จะเห็นสภาวธรรม เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป นั่นแหละอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้าของเรา

เกิดขึ้น แล้วก็ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เรื่องใหม่ก็เข้ามา เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปอยู่อย่างนั้น จิตของเราเข้าไปรวมจนเป็นสิ่งเดียวกัน ทำให้เกิดอัตตาตัวตน เมื่อจิตของเราเข้าไปรวมแล้วเราถึงรู้ว่าเราคิด แล้วก็ทำตามความคิดนั้นทั้งที่รู้ๆ นั่นแหละมันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ หลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ เราต้องแยกตรงนี้ให้ได้เสียก่อน

ถ้าแยกได้เมื่อไหร่ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ นี้เพียงแค่เริ่มต้น ตามทำความเข้าใจได้เมื่อไหร่ จิตยอมรับความจริงเมื่อไหร่ เขารู้เห็นสภาวะตรงนั้นเมื่อไหร่ แล้วก็ตามดูจนขี้เกียจตามนั้นแหละ ตามดูทีไรก็ลงไตรลักษณ์ ลงความว่างนั่นแหละ อนิจจังทุกขังอนัตตา จบลงด้วยความว่างทุกเรื่อง ไม่มีสาระประโยชน์อะไร

หลักธรรมท่านเรียกว่า ‘มายา’ ไม่มีตัวไม่มีตน แต่จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวม จิตก็จะเกิดความเบื่อหน่ายเอง เบื่อหน่ายแล้วอยากจะหาทางหลบทางหลีก มันหลบหลีกหนีไม่พ้น มันก็จะอยู่อุเบกขา

ทีนี่เราก็มาละกิเลสที่จิต นิวรณธรรมต่างๆ ที่เป็นเครื่องกางกั้นจิตเป็นอย่างไร นิวรณธรรมที่เป็นเครื่องกางกั้นจิตซึ่งเป็นกิเลสที่ละเอียด จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในเรื่องรูปรสกลิ่นเสียง ในเรื่องราคะหรือไม่ ปัจจุบันนี่แหละ

จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็ต้องพยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี จิตของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน มีความลังเล เราก็ต้องพยายามละพยายามดับ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่

ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรยิ่งทำความเข้าใจ ยิ่งทำความเข้าใจเท่าไรยิ่งเพิ่มความเพียรเป็นทวีคูณ ไม่ใช่ว่าทำเหยาะๆ แหยะๆ ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ขณะที่เราตื่นตัวอยู่นี่แหละ อย่าให้คลาดสายตาสติปัญญาของเราได้แม้แต่นิดเดียว นอกจากเราจะนอนหลับ ตื่นขึ้นมาเอาใหม่ ต้องมีความเพียรถึงขนาดนั้นถึงจะชำระสะสางกิเลสได้

กิเลสต่างๆ นี่ไม่ให้เกิดขึ้นในจิตของเราได้เลยแหละ เราต้องพยายามดับพยายามละ สูงขึ้นไปก็มีตั้งแต่สติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน แม้แต่สติปัญญาถ้าเป็นอกุศลก็ให้ดับอีก

ส่วนมากก็ได้อยู่แค่ทำบุญ ได้แค่ให้ทาน กับการเจริญสติความสงบเล็กๆ น้อยๆ ขาดการสังเกตการวิเคราะห์เก็บรายละเอียด ความคิดต่างๆ อาการของจิต อาการของกาย กิเลสเกิดขึ้นที่กายเกิดขึ้นที่จิต ต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความเพียรที่ถูกต้อง มันถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ ไม่ใช่ว่าจะไปพูดกันง่ายๆ จิตของเรามีความเสียสละ มีศรัทธาเต็มเปี่ยมหรือไม่ การกระทำ การเจริญสติ การชำระสะสางกิเลส เรามีเต็มที่หรือไม่ จนไม่ให้เหลืออะไรในจิตใจของเรา เพราะว่าจิตเดิมแท้นั้นของทุกคนสะอาดบริสุทธิ์ เพราะความไม่รู้ ความหลง ทำให้จิตของเราเกิดเป็นทาสของอารมณ์ด้วย เป็นทาสของกิเลสด้วย มีความทะเยอทะยานอยากเป็นที่ตั้งด้วย

แม้ตั้งแต่อยากจะรู้ธรรม ก็มาด้วยความอยาก ในหลักธรรมแล้วท่านให้ละความอยากละความหวัง ให้ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง จิตนี่ก็แปลกถ้าไม่ได้ฝึกฝนเขา เขาก็จะเกิดอยู่นั่น เขาก็จะหลงอยู่นั่นแหละ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ยังไม่ถูกต้องในหลักของหลักธรรม ต้องแยกต้องคลาย ต้องตามทำความเข้าใจ ต้องละกิเลส

แต่การสร้างบารมีจุดอื่นนั้นทุกคนมีกัน ศรัทธาทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม วิริยะความเพียรมีกันอยู่ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ใช่วิริยะความเพียรในการแยกรูปแยกนาม ในการทำความเข้าใจ ในการชำระสะสางกิเลสออกให้หมด

ต้องพยายามเอานะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมมาก่อน แต่การลงมือสังเกตการวิเคราะห์ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ การที่หลวงพ่อพูดให้ฟังนี้หลวงพ่อต้องรู้มาก่อน เห็นมาก่อน ตามทำความเข้าใจมาก่อน แล้วก็ละออกจนหมดจดนั่นแหละ จึงได้มาบอกให้พวกท่านได้เดินตามได้ทำตาม ถ้าไม่รู้มาก่อนเห็นมาก่อน ไม่กล้ามาพูดไม่กล้ามาเล่าให้ฟังหรอก

เราต้องมองเห็นหนทาง ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ทำวันนี้ให้ดี ขณะนี้ให้ดี ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง