หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 088
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 088
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามอิริยาบถให้สบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องไปเกร็งร่างกาย นั่งให้สบายที่สุด แล้วก็หยุดดับความคิดความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ ทุกอย่างทุกเรื่อง ทั้งภาระหน้าที่การงานครอบครัวทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าเพิ่งเอาเก็บมากังวล เอาเก็บมาคิด
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปเพ่งนะ อย่าเอาส่วนบนหรือว่าส่วนสมองไปเพ่ง การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นมาทันที ความคิดต่างๆ ที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้าก็จะหยุด ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด นั่นแหละ ความรู้สึกเขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ เรียกว่า ‘สติ’ ความรู้ตัว
ทำอย่างไรเราถึงจะสร้างความรู้ตรงนี้ให้ต่อเนื่อง เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเราจะไปนึกเอาว่าจะคิดเอาว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อันนี้เป็นปัญญาของโลกิยะ ปัญญาของสมมติ
ปัญญาที่จะเข้าไปทำความเข้าใจกับจิต เข้าใจกับความคิด เข้าใจกับอารมณ์ เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องสร้างความรู้ตัวขึ้นมา แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอไปแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ๆ ถ้าเราไม่สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็ยากที่จะเข้าใจในเรื่องจิตซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เข้าใจในเรื่องความคิด ส่วนรูปธรรมเราก็มองเห็นด้วยตาเนื้ออยู่ อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองก็ไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีโอกาสทุกคนมีเวลา ทุกขณะลมหายใจเข้าออก
ทุกคนได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่หลายภพ ตั้งแต่ภพชาติก่อนๆ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ขณะที่เกิดมาเป็นมนุษย์ จากเด็กเป็นผู้ใหญ่จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ก็ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาอยู่ในระดับหนึ่ง
ทำไมถึงว่าได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมา เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กเป็นเด็กเล็ก เด็กโตเด็กใหญ่ ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน รู้จักผิดถูกชั่วดี รู้จักอะไรเป็นบุญเป็นกุศลเป็นอกุศล แต่เราอาจจะทำได้อยู่ในระดับหนึ่ง รู้จักขวนขวายมีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบต่อตัวเอง มีความความรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่การงาน ผ่านกาลผ่านเวลา ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีความอดทนอดกลั้น รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม อันนี้มีอยู่ระดับหนึ่ง
แต่การเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ ดูรู้ลักษณะของจิต แล้วก็รู้จักละกิเลส จากหยาบไปหาละเอียด ตรงนี้จะทำกันไม่ค่อยจะได้ต่อเนื่องกัน ก็เลยว่าตัวเราไม่ได้ปฏิบัติ
ตามความเป็นจริงทุกคนปฏิบัติกันมาแล้ว แต่ขาดการเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ การชำระสะสางกิเลสต่างๆ ที่ออกจากจิตของเรา จิตของเรามีความอยาก ความทะเยอทะยานอยากเป็นลักษณะอย่างไร เราละความอยากได้หรือไม่ จิตของเราเกิดความโกรธ เรารู้จักดับความโกรธขณะที่เขาเกิด แล้วก็รู้จักระงับรู้จักดับ รู้จักให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี คิดดี ความคิดเขาผุดขึ้นมาได้อย่างไร จิตของเราเขาไปหลงความคิดได้อย่างไร
อะไรคือลักษณะของสมมติ อะไรคือลักษณะของวิมุตติ อะไรคือลักษณะของอัตตาอนัตตา อะไรคืออนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า ในกองสังขาร ในร่างกายของเรา ตรงนี้แหละที่ทุกคนไม่ได้ค้นคว้าเก็บรายละเอียดทำความเข้าใจให้ชัดแจ้ง ก็เลยว่าพวกเราไม่ได้ปฏิบัติ แต่ในสภาพสภาวะรวม จิตของทุกคนก็เป็นบุญอยู่ น้อมเข้ามาในการทำบุญในการให้ทาน อาจจะระงับดับได้เป็นชั่วครั้งชั่วคราว ทำอย่างไรเราถึงจะละกิเลส คลายความหลงออกจากจิตจากใจของเรา
ในส่วนลึกๆ ก็คือจิตของเราหลงความคิด นี่แหละ ถ้าเราคลายตรงนี้ออกไปได้ เราก็จะมองเห็นการเกิดการดับ เข้าใจในเรื่องสมมติเข้าใจในเรื่องวิมุตติ เข้าใจในเรื่องอัตตาอนัตตา เราไม่เข้าใจแนวทาง เราถึงแสวงหาแนวทาง
ส่วนแนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ มีมาตั้งนานแล้ว แล้วก็เอามาเปิดเผยให้ทุกคนได้เดินตาม ทีนี้พวกเราจะเดินตามคำสั่งสอนของท่านหรือไม่ ใหม่ๆ ท่านบอกให้ละมานะละทิฏฐิ ละความคิดเห็นผิดเก่าๆ ออกไปเสียก่อน แล้วเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์
ดูรู้ให้ทัน รู้ไม่ทันก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเอาไว้ จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความคิดนั่นแหละ ความสงสัยความลังเลต่างๆ ก็จะหมดไป ความเห็นที่ถูกต้องก็จะปรากฏ หรือว่าสัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง ตามแนวทางของอริยมรรคในองค์แปด คือความรู้แจ้งเห็นจริง เราก็จะมองเห็นทาง
ทีนี้การทำความเข้าใจ การตามดูแล้วก็รู้เห็น แล้วก็รู้จักละออกจากจิตจากใจของเราต้องพยายาม เป็นงานของทุกคน อย่าว่าไม่ทำ ต้องทำ ต้องสังเกตต้องวิเคราะห์ต้องสำรวจตัวเราเอง ทำจิตของเราให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ อยู่ที่ไหนเราก็จะได้เข้าวัด อยู่ที่ไหนเราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เราอยู่ตลอดเวลา
สติที่เราสร้างขึ้นมาก็จะเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบจิตของเรา เวลาตากระทบรูปจิตยังนิ่งอยู่หรือไม่ หูกระทบเสียงจิตยังนิ่งอยู่หรือไม่ ทวารทั้งหกหูตาจมูกลิ้นกายเขาทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณและดวงจิตของเราทำหน้าที่อย่างไร มาอาศัยสมมติอยู่ มาอาศัยกายอยู่ ถ้าถึงวาระเวลาแล้วกายของเราก็ต้องแตกดับกลับคืนสู่สภาวะเดิม คือดินน้ำลมไฟ กลับคืนสู่สภาวะเดิม
ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ ยังมีลมหายใจอยู่ เราพยายามรีบทำความเข้าใจเสีย ไม่ให้จิตของเราเข้าไปลงเข้าไปยึด เราก็รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบต่อภาระต่อหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบต่อสังคม ต่อส่วนรวมต่อส่วนตัว มีความรับผิดชอบที่สูง มีความขยันหมั่นเพียร
ตามความเป็นจริงแล้วเราก็ได้ทำบุญตลอดเวลา ทำบุญให้ตัวเราทำบุญให้พ่อให้แม่ให้พี่ให้น้อง รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม ลึกลงไปก่อนที่จะคิดก่อนที่จะพูด อะไรเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์ อะไรเป็นกุศลหรือไม่เป็นกุศล ประโยชน์น้อยประโยชน์มาก ประโยชน์เร็วประโยชน์ช้า เราก็ต้องวิเคราะห์พิจารณาทั้งภายนอกภายใน
ค่อยๆ เดินไปเดี๋ยวก็ถึง ไม่ใช่ว่าไม่ทำความเข้าใจ ไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติ ก็เราปฏิบัติอยู่ทุกวันทุกเวลานั่นแหละ แต่ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจ จิตของเราก็ยังวิ่งยังเกิดยังหลงอยู่ เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจเสีย อย่าไปทิ้งบุญ อย่าไปทิ้งวัด พยายามทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ ทำใจให้เป็นบุญ กายวาจาใจของเราก็จะเป็นบุญ ทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา มีโอกาสก็ให้รีบทำ ถ้าเราไม่ได้ทำเราก็น้อมใจของเราเข้าไปอนุโมทนาสาธุในกองบุญกองกุศล เราก็พลอยได้อานิสงส์นั้นด้วย
พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกันนะ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน ทำจิตให้ว่างสมองให้โปร่ง จิตให้โล่ง กายให้สบาย มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ให้ต่อเนื่องกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟังนะ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปเพ่งนะ อย่าเอาส่วนบนหรือว่าส่วนสมองไปเพ่ง การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นมาทันที ความคิดต่างๆ ที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้าก็จะหยุด ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด นั่นแหละ ความรู้สึกเขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ เรียกว่า ‘สติ’ ความรู้ตัว
ทำอย่างไรเราถึงจะสร้างความรู้ตรงนี้ให้ต่อเนื่อง เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเราจะไปนึกเอาว่าจะคิดเอาว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อันนี้เป็นปัญญาของโลกิยะ ปัญญาของสมมติ
ปัญญาที่จะเข้าไปทำความเข้าใจกับจิต เข้าใจกับความคิด เข้าใจกับอารมณ์ เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องสร้างความรู้ตัวขึ้นมา แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอไปแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ๆ ถ้าเราไม่สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็ยากที่จะเข้าใจในเรื่องจิตซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เข้าใจในเรื่องความคิด ส่วนรูปธรรมเราก็มองเห็นด้วยตาเนื้ออยู่ อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองก็ไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีโอกาสทุกคนมีเวลา ทุกขณะลมหายใจเข้าออก
ทุกคนได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่หลายภพ ตั้งแต่ภพชาติก่อนๆ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ขณะที่เกิดมาเป็นมนุษย์ จากเด็กเป็นผู้ใหญ่จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ก็ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาอยู่ในระดับหนึ่ง
ทำไมถึงว่าได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมา เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กเป็นเด็กเล็ก เด็กโตเด็กใหญ่ ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน รู้จักผิดถูกชั่วดี รู้จักอะไรเป็นบุญเป็นกุศลเป็นอกุศล แต่เราอาจจะทำได้อยู่ในระดับหนึ่ง รู้จักขวนขวายมีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบต่อตัวเอง มีความความรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่การงาน ผ่านกาลผ่านเวลา ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีความอดทนอดกลั้น รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม อันนี้มีอยู่ระดับหนึ่ง
แต่การเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ ดูรู้ลักษณะของจิต แล้วก็รู้จักละกิเลส จากหยาบไปหาละเอียด ตรงนี้จะทำกันไม่ค่อยจะได้ต่อเนื่องกัน ก็เลยว่าตัวเราไม่ได้ปฏิบัติ
ตามความเป็นจริงทุกคนปฏิบัติกันมาแล้ว แต่ขาดการเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ การชำระสะสางกิเลสต่างๆ ที่ออกจากจิตของเรา จิตของเรามีความอยาก ความทะเยอทะยานอยากเป็นลักษณะอย่างไร เราละความอยากได้หรือไม่ จิตของเราเกิดความโกรธ เรารู้จักดับความโกรธขณะที่เขาเกิด แล้วก็รู้จักระงับรู้จักดับ รู้จักให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี คิดดี ความคิดเขาผุดขึ้นมาได้อย่างไร จิตของเราเขาไปหลงความคิดได้อย่างไร
อะไรคือลักษณะของสมมติ อะไรคือลักษณะของวิมุตติ อะไรคือลักษณะของอัตตาอนัตตา อะไรคืออนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า ในกองสังขาร ในร่างกายของเรา ตรงนี้แหละที่ทุกคนไม่ได้ค้นคว้าเก็บรายละเอียดทำความเข้าใจให้ชัดแจ้ง ก็เลยว่าพวกเราไม่ได้ปฏิบัติ แต่ในสภาพสภาวะรวม จิตของทุกคนก็เป็นบุญอยู่ น้อมเข้ามาในการทำบุญในการให้ทาน อาจจะระงับดับได้เป็นชั่วครั้งชั่วคราว ทำอย่างไรเราถึงจะละกิเลส คลายความหลงออกจากจิตจากใจของเรา
ในส่วนลึกๆ ก็คือจิตของเราหลงความคิด นี่แหละ ถ้าเราคลายตรงนี้ออกไปได้ เราก็จะมองเห็นการเกิดการดับ เข้าใจในเรื่องสมมติเข้าใจในเรื่องวิมุตติ เข้าใจในเรื่องอัตตาอนัตตา เราไม่เข้าใจแนวทาง เราถึงแสวงหาแนวทาง
ส่วนแนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ มีมาตั้งนานแล้ว แล้วก็เอามาเปิดเผยให้ทุกคนได้เดินตาม ทีนี้พวกเราจะเดินตามคำสั่งสอนของท่านหรือไม่ ใหม่ๆ ท่านบอกให้ละมานะละทิฏฐิ ละความคิดเห็นผิดเก่าๆ ออกไปเสียก่อน แล้วเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์
ดูรู้ให้ทัน รู้ไม่ทันก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเอาไว้ จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความคิดนั่นแหละ ความสงสัยความลังเลต่างๆ ก็จะหมดไป ความเห็นที่ถูกต้องก็จะปรากฏ หรือว่าสัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง ตามแนวทางของอริยมรรคในองค์แปด คือความรู้แจ้งเห็นจริง เราก็จะมองเห็นทาง
ทีนี้การทำความเข้าใจ การตามดูแล้วก็รู้เห็น แล้วก็รู้จักละออกจากจิตจากใจของเราต้องพยายาม เป็นงานของทุกคน อย่าว่าไม่ทำ ต้องทำ ต้องสังเกตต้องวิเคราะห์ต้องสำรวจตัวเราเอง ทำจิตของเราให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ อยู่ที่ไหนเราก็จะได้เข้าวัด อยู่ที่ไหนเราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เราอยู่ตลอดเวลา
สติที่เราสร้างขึ้นมาก็จะเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบจิตของเรา เวลาตากระทบรูปจิตยังนิ่งอยู่หรือไม่ หูกระทบเสียงจิตยังนิ่งอยู่หรือไม่ ทวารทั้งหกหูตาจมูกลิ้นกายเขาทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณและดวงจิตของเราทำหน้าที่อย่างไร มาอาศัยสมมติอยู่ มาอาศัยกายอยู่ ถ้าถึงวาระเวลาแล้วกายของเราก็ต้องแตกดับกลับคืนสู่สภาวะเดิม คือดินน้ำลมไฟ กลับคืนสู่สภาวะเดิม
ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ ยังมีลมหายใจอยู่ เราพยายามรีบทำความเข้าใจเสีย ไม่ให้จิตของเราเข้าไปลงเข้าไปยึด เราก็รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบต่อภาระต่อหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบต่อสังคม ต่อส่วนรวมต่อส่วนตัว มีความรับผิดชอบที่สูง มีความขยันหมั่นเพียร
ตามความเป็นจริงแล้วเราก็ได้ทำบุญตลอดเวลา ทำบุญให้ตัวเราทำบุญให้พ่อให้แม่ให้พี่ให้น้อง รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม ลึกลงไปก่อนที่จะคิดก่อนที่จะพูด อะไรเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์ อะไรเป็นกุศลหรือไม่เป็นกุศล ประโยชน์น้อยประโยชน์มาก ประโยชน์เร็วประโยชน์ช้า เราก็ต้องวิเคราะห์พิจารณาทั้งภายนอกภายใน
ค่อยๆ เดินไปเดี๋ยวก็ถึง ไม่ใช่ว่าไม่ทำความเข้าใจ ไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติ ก็เราปฏิบัติอยู่ทุกวันทุกเวลานั่นแหละ แต่ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจ จิตของเราก็ยังวิ่งยังเกิดยังหลงอยู่ เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจเสีย อย่าไปทิ้งบุญ อย่าไปทิ้งวัด พยายามทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ ทำใจให้เป็นบุญ กายวาจาใจของเราก็จะเป็นบุญ ทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา มีโอกาสก็ให้รีบทำ ถ้าเราไม่ได้ทำเราก็น้อมใจของเราเข้าไปอนุโมทนาสาธุในกองบุญกองกุศล เราก็พลอยได้อานิสงส์นั้นด้วย
พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกันนะ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน ทำจิตให้ว่างสมองให้โปร่ง จิตให้โล่ง กายให้สบาย มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ให้ต่อเนื่องกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟังนะ